ประตูลานบ้านถูกกระชากให้เปิดออกอย่างหยาบคาย กลุ่มบ่าวรับใช้ร่างกำยำในชุดสีเทาจำนวนสี่คนบุกรุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว
มู่เฟิงขมวดคิ้วมุ่น มองไปยังกลุ่มคนทั้งสี่ด้วยความสงสัย “พวกเ้าทำอะไร? ใครใช้ให้พวกเ้าบุกรุกเข้ามาในเรือนของข้า!"
“คุณชายเฟิง”
ในกลุ่มบ่าวรับใช้ทั้งสี่คน ชายร่างกำยำที่มีส่วนสูงราวๆ หกฟุตผู้หนึ่งกำหมัดคำนับมู่เฟิงอย่างคงไว้ด้วยมารยาท ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า "พวกข้าน้อยได้รับคำสั่งจากคุณชายชิงให้มาขนย้ายของออกไปขอรับ"
“ขนย้ายของ ขนย้ายอะไร?”
มู่เฟิงขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยถาม
"แน่นอนว่าต้องขนย้ายข้าวของของท่านขอรับ คุณชายชิงกล่าวว่าเรือนพักตานซินแห่งนี้สมควรเป็ของผู้มีพร์เป็อันดับหนึ่งของตระกูลมู่ ไม่สมควรเป็ของคนไร้ประโยชน์ นับั้แ่วันพรุ่งนี้คุณชายชิงจะย้ายเข้ามายังเรือนตานซิน ส่วนที่พักของท่าน คุณชายชิงได้จัดสรรไว้ให้ทางปีกฝั่งตะวันออกของจวนแล้วขอรับ”
ชายร่างกำยำผู้นั้นกล่าวด้วยใบหน้าแสร้งยิ้ม
มู่เฟิงหรี่ตาลงหลังได้ยินดังนั้น ไม่ทันไรท่าทางอวดดีของอีกฝ่ายก็เริ่มเผยออกมาให้เห็นแล้ว
คุณชายชิงที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึงคือมู่ชิง บุตรชายของอาสาม ซึ่งแก่กว่าเขาสองปี เวลานี้วรยุทธ์ของอีกฝ่ายอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นหนึ่ง เดิมทีมู่ชิงผู้นี้ก็มักจะไม่ลงรอยกับเขามาั้แ่เด็กแล้ว
บางทีสาเหตุอาจมาจากความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งระหว่างบิดาของพวกเขา ความสามารถของมู่เทียนบิดาของมู่เฟิงนั้นเหนือกว่ามู่เยี่ยบิดาของมู่ชิง นอกจากนี้นับั้แ่เด็กพร์ในการฝึกวรยุทธ์ของเขาก็นำหน้ามู่ชิงอยู่หนึ่งระดับมาโดยตลอดเช่นกัน
เรือนพักตานซินที่มู่เฟิงอาศัยอยู่นั้นคือเรือนพักที่ดีที่สุดซึ่งมีไว้สำหรับทายาทตระกูลมู่ เรือนพักแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็สี่ห้อง โดยห้องรับรองและห้องหนังสือจะอยู่ตรงส่วนหน้าของเรือน ส่วนด้านหลังของเรือนจะเป็ห้องพักและห้องฝึกซ้อม
่เวลาหลายปีที่ผ่านมามู่เฟิงล้วนฝึกฝนอยู่ในกองทัพมาโดยตลอด เขาพักอาศัยที่จวนตระกูลมู่ไม่บ่อยนัก ดังนั้นเขาจึงไม่มีบ่าวรับใช้ส่วนตัวในจวน
เรือนพักทางปีกตะวันออกของจวนตระกูลมู่เป็เพียงเรือนพักธรรมดาและค่อนข้างห่างไกล
เวลานี้มู่เฟิงได้กลายเป็คนไร้ประโยชน์ ส่วนบิดาของเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว มู่ชิงจึงแทบทนรอไม่ไหวที่จะเหยียบลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ของเขาให้จมลึกยิ่งกว่าเดิม
"รีบไปขนย้ายของออกมา!"
บ่าวรับใช้ร่างกำยำผู้นั้นไม่สนใจมู่เฟิงอีกต่อไป เขาสั่งการให้บ่าวรับใช้อีกสามคนเข้าไปขนย้ายของออกมาโดยเร็วที่สุด
"หยุดนะ!"
มู่เฟิงะโเสียงดัง และก้าวรุดมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาคว้ามือของบ่าวรับใช้เอาไว้ ก่อนจะยกมือขึ้นตบหน้าอีกฝ่าย
“ใครใช้ให้พวกเ้ากล้าขนย้ายของของข้า มู่ชิง เขาจะนับเป็อะไรได้”
ใบหน้าของมู่เฟิงดูเ็าอย่างยิ่ง เมื่อครู่เขาตบบ่าวรับใช้ผู้นั้นแรงเสียจนฟันร่วงออกจากปาก ใบหน้าข้างหนึ่งของอีกฝ่ายบวมเป่งพร้อมทั้งมีเืไหลออกมา
บางทีอาจเป็เพราะมู่เฟิงทำให้หัวหน้ากลุ่มของบ่าวรับใช้พวกนั้นโกรธ เขาจึงกล่าวอย่างเ็าว่า "คุณชายเฟิง เมื่อครู่ข้ายังให้ความเคารพเ้าในฐานะคุณชาย ในเมื่อเ้าไม่รับน้ำใจ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ไว้หน้าคนไร้ค่าที่ไม่มีบิดามารดาอย่างเ้าอีก ไปขนของออกมา!"
บ่าวรับใช้ผู้นั้นสั่งการอีกครั้ง จากนั้นบ่าวรับใช้อีกสามคนจึงรีบเข้าไปในเรือนและเริ่มขนย้ายข้าวของ
ดวงตาของมู่เฟิงฉายแววอาฆาต ในส่วนที่ลึกลงไปมีประกายแสงสีแดงกำลังส่องสว่างอยู่
บ่าวรับใช้ตะคอกสวนกลับอย่างเ็า ก่อนจะเดินผ่านร่างของมู่เฟิงไปโดยไม่ใยดี แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นมู่เฟิงก็พลันเคลื่อนไหวในทันใด ขาของเขาเหวี่ยงเตะลงไปที่กลางอกของบ่าวรับใช้ผู้นั้น อีกฝ่ายเซไปตามแรงเตะจนเกิดเสียงล้มดังโครม
จากนั้นมู่เฟิงได้รุดกายเข้าหาอีกฝ่าย ร่างของเขาพุ่งทะยานรวดเร็วราวกับลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากคันศร เด็กหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งแทนอาวุธ พลังปราณสีขาวห่อหุ้มอยู่บนนิ้วมือของเขา ก่อนที่เขาจะใช้มือข้างนั้นแทงไปยังลำคอของบ่าวรับใช้ราวกับว่ามันเป็กระบี่เล่มหนึ่ง
"เอ่อ... อึก..."
บ่าวรับใช้ผู้นั้นคว้ามือของมู่เฟิงเอาไว้ ก่อนจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา เืสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากลำคอ เขาคาดไม่ถึงว่ามู่เฟิงจะลงมือสังหารอย่างฉับพลันเช่นนี้
บ่าวรับใช้อีกสามคนต่างตกตะลึงจนเผลอวางของในมือลง พลางจ้องมองมู่เฟิงด้วยสายตาหวาดหวั่น
มู่เฟิงใช้มือข้างหนึ่งสังหารชายผู้นั้น เืสีแดงสดที่ไหลทะลักจึงเปรอะเปื้อนลงบนแขนของเขา ดวงตาที่เด็กหนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายมีประกายสีแดงวาดผ่าน
“เ้ารู้หรือไม่ เดิมทีแล้วเ้าไม่ควรต้องมาตายเช่นนี้ แต่ในชีวิตของข้า ข้าเกลียดชังคนที่มันบังอาจกล่าวถึงบิดามารดาของข้าเป็ที่สุด ดังนั้นเ้าจึงสมควรตาย”
พรึ่บ!
มู่เฟิงกระซิบลงที่ข้างหูของบ่าวรับใช้ผู้นั้น ก่อนเขาจะออกแรงที่มืออีกครั้ง เพื่อบดขยี้ลำคอของอีกฝ่ายให้แตกหักโดยตรง
าแในใจของมู่เฟิงนั้นมีสองเื่ หนึ่งคือเื่มารดาของเขา เด็กหนุ่มไม่เคยพบหน้ามารดาของตนมาก่อน ดังนั้นในเวลาที่เขาเห็นผู้อื่นออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของมารดา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโหยหามันมากเพียงใด
ในสมัยที่เขายังเป็เพียงเด็กเล็กไม่ประสีประสา เขามักจะมีคำถามเดิมๆ ที่ถามบิดาอยู่บ่อยครั้ง “ท่านพ่อ เหตุใดผู้อื่นจึงมีมารดา แต่ข้ากลับไม่มีล่ะขอรับ?”
ทุกครั้งที่เขาเอ่ยถามคำถามนี้ บิดาของเขามักจะกำลังนั่งดื่มอยู่เพียงลำพัง แม้อีกฝ่ายจะลูบหัวปลอบโยน แต่กลับไร้ซึ่งคำตอบให้กับเขา เมื่อโตขึ้นเขาจึงสามารถมองเห็นร่องรอยความเศร้าโศกในดวงตาของผู้เป็บิดาได้ และนับจากนั้นเขาก็ไม่เคยเอ่ยถามเื่นี้อีกเลย
มู่เทียนนั้นมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในกองทัพ เนื่องจากมู่เฟิงไม่มีมารดาคอยดูแลอยู่ข้างกาย เขากลัวว่าบุตรชายของตนจะขาดการอบรมเลี้ยงดู ดังนั้นเขาจึงพาเด็กหนุ่มเข้าร่วมกองทัพด้วย ในทุกๆ ปีจะกลับจวนตระกูลมู่เพียงสองเดือนเท่านั้น
เื่ของมารดาเป็าแในใจของมู่เฟิงมาโดยตลอด และการตายของบิดาได้สร้างาแใหม่ให้กับเขา คำพูดเมื่อครู่ของบ่าวผู้นี้จึงไปสะกิดาแทั้งเก่าและใหม่ของเด็กหนุ่มเข้า จึงไม่ใช่เื่แปลกที่มู่เฟิงจะลงมือสังหารบ่าวผู้นี้โดยตรง
ตุบ!
มู่เฟิงโยนร่างของบ่าวรับใช้ลงบนพื้น เขาสะบัดมือที่เปื้อนเืออก และเหลือบมองไปยังบ่าวรับใช้อีกสามคน
ทั้งสามคนหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ สายตาอันเฉียบคมของมู่เฟิงที่มองมานั้นแฝงไว้ด้วยความอาฆาต แววตาเ็าและความรู้สึกมุ่งร้ายรุนแรงเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เด็กอายุสิบห้าปีจะมีได้
เพราะในเวลานี้เขาคือเด็กหนุ่มผู้กล้าหาญที่ร่วมสู้ศึกอยู่ในกองทัพใหญ่ มู่เฟิง!
“คุณชายเฟิงโปรดไว้ชีวิต คุณชายเฟิงโปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วย!”
คนทั้งสามต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะรีบคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตา
ในความเป็จริงพวกเขาล้วนไม่ใช่คนธรรมดา แต่ละคนสามารถเปิดเส้นลมปราณได้หกถึงเจ็ดจุดแล้ว แต่พวกเขาหวาดกลัวกลิ่นอายสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวของมู่เฟิง คนทั้งสามยังไม่เคยสังหารใครมาก่อน ดังนั้นเมื่อเห็นฉากนองเืตรงหน้า พวกเขาย่อมใกลัวเป็ธรรมดา
"ไสหัวออกไป! กลับไปบอกมู่ชิง ให้เขาเลิกยุ่งกับข้าเสีย"
มู่เฟิงกล่าวอย่างเ็า คนทั้งสามรีบร้อนลุกขึ้นจากไปในทันที โดยพวกเขาไม่ลืมที่จะนำศพของบ่าวอีกคนจากไปด้วย
ทว่าทันใดนั้นภายในใจของมู่เฟิงกลับนึกบางสิ่งบางอย่างออกพอดี เขาจึงรีบะโออกมาทันทีว่า "ช้าก่อน!"
บ่าวทั้งสามหยุดชะงักลงทันใด
"ทิ้งศพเอาไว้"
มู่เฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย ทั้งสามคนต่างมองหน้ากัน
‘หรือคุณชายเฟิงจะไม่ยอมปล่อยแม้กระทั่งศพของขุยซาน?’
บ่าวรับใช้ทั้งสามรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว ต่างก็พากันคาดคะเนมั่วซั่วไปหมด พวกเขาวางศพลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบวิ่งออกจากเรือนตานซินไปราวกับควบม้า
มู่เฟิงเดินไปปิดประตูลานบ้าน ก่อนจะอุ้มร่างของขุยซานด้วยมือข้างเดียว เขาลากอีกฝ่ายไปยังห้องฝึกฝนซึ่งอยู่ถัดจากห้องพักของตนและอยู่ส่วนหลังของเรือน ทำให้บนพื้นมีรอยคราบเืปรากฏให้เห็นเป็ทางยาว
มู่เฟิงเปิดประตูห้องฝึกฝนที่ทำมาจากศิลาออก ภายในห้องนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากหินผาและเหล็กกล้า กระทั่งยอดฝีมือระดับหนิงกังก็ไม่อาจทำลายได้
ปกติแล้วด้านในนั้นจะดูเรียบง่ายเป็อย่างมาก มีเพียงเบาะนั่ง กระถางธูปที่ทำจากไม้จันทน์และโต๊ะน้ำชาเท่านั้น
แต่ในเวลานี้ภายในห้องได้เปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยเืจากซากศพแล้ว
มู่เฟิงนั่งลงบนเบาะ ก่อนจะหลับตาและปรับสมดุลลมหายใจ เมื่อสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว เขาก็วางมือข้างหนึ่งลงบนศพของขุยซาน ก่อนจะเริ่มโคจรพลังตามรูปแบบของเคล็ดวิชาชูร่าที่ฝังอยู่ในหัว
เด็กหนุ่มมองเห็นพลังบางอย่างที่ออกมาจากฝ่ามือของตน จากนั้นเืที่อยู่ภายในร่างศพของขุยซานก็เริ่มเดือดขึ้นมา ก่อนที่มันจะถูกแผดเผากลายเป็ไอสีโลหิต
ไอเืนี้ได้ไหลซึมเข้าสู่ร่างกายของมู่เฟิง ผ่านจุดฝังเข็มทั่วทั้งร่าง ก่อนจะไหลเวียนเข้าสู่เส้นลมปราณสีแดงเื และเคลื่อนตัวไปยังเส้นลมปราณในจุดที่สี่
ภายใต้การหล่อเลี้ยงจากไอโลหิตนี้ เส้นลมปราณในจุดที่สี่ของเขาก็เริ่มฟื้นฟูขึ้นมาทีละน้อย!
จากนั้นไม่นาน ร่างศพตรงหน้าก็ได้แปรสภาพเป็มัมมี่ที่ไม่มีเืเหลืออยู่เลยแม้แต่หยดเดียว กลายเป็ร่างเนื้อแห้งเหี่ยวลงภายใต้เสื้อผ้าเปื้อนเื ิัหุ้มติดกระดูก ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง กระทั่งเืที่ไหลนองอยู่บนพื้นยังระเหยหายไปจนหมด!
แต่หลังจากที่มู่เฟิงถอนหายใจออกมา แววตาของเด็กหนุ่มก็ได้ปรากฏร่องรอยของความยินดี
เขาสามารถฟื้นคืนเส้นลมปราณกลับมาได้หนึ่งในสามส่วนแล้ว!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้