หนีเจียเอ๋อร์ไม่คิดว่าต้วนอวิ๋นหลานจะเก่งกาจ ถึงขั้นเรียนรู้จนแตกฉานได้ั้แ่เยาว์วัย ทั้งยังเป็แม่ทัพซึ่งอายุน้อยที่สุด และอาจจะเป็เพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ทำเช่นนี้ได้!
สิ่งที่ประทับใจที่สุด ก็คือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเื่ของความเมตตา ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น มันยังออกมาจากปากของแม่ทัพผู้หนึ่ง
หญิงสาวจึงพูดอย่างจริงใจ “ได้สนทนากับท่านแม่ทัพ ดีกว่าอ่านหนังสือมาเป็สิบปี”
ต้วนอวิ๋นหลานรีบโบกมือปฏิเสธ พลางหรี่ตาลง “แม่นางหนีช่างมากไปด้วยพร์ สิ่งที่ข้ากล่าวออกมานั้น เป็เพียงการลักจำความคิดผู้อื่นมาผนวกกับความเห็นของตัวเองเท่านั้น”
หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกว่าท่าทีถ่อมตนที่เขาแสดงออกมาอย่างไม่ตั้งใจนั้น ช่างน่ารักจนอดขบขันมิได้
ต้วนอวิ๋นหลานยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างเขินอาย พลางหัวเราะเจื่อนๆ
ท่าทางเช่นนี้ ทำลายความประทับใจแรกที่หนีเจียเอ๋อร์ที่มีต่อเขาอย่างสิ้นเชิง จากภาพลักษณ์ของแม่ทัพผู้น่าเกรงขาม เหลือเพียงชายหนุ่มผู้ซื่อตรงคนหนึ่ง
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังน่าเอ็นดู
พวกเขาพูดคุยกันอยู่นาน จนเวลาล่วงผ่านไปหนึ่งชั่วยามอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก จึงตกลงกันว่าจะไปดื่มชากันที่ห้องโถงใหญ่
ปัง!
นางกำนัลสองคนผลักบานประตู เพื่อเปิดทางให้พวกเขาออกมา
หนีเจียเอ๋อร์กับต้วนอวิ๋นหลานมองหน้ากันแล้วยิ้มขัน จากนั้นก็วางถ้วยชาลง ก่อนเดินออกไปพร้อมกัน
ที่หลังบานประตูสีแดงเข้ม มีต้วนอวิ๋นซินลอบมองคนทั้งสองด้วยรอยยิ้มยินดี หลังมองดูสักพัก ก็เดินเข้าไปหาพวกเขา
หนีเจียเอ๋อร์แอบยิ้ม ในใจก็นึกขอบคุณฮองเฮา ที่ทำให้นางได้รู้จักแม่ทัพต้วน
เมื่อนึกเช่นนั้น ใบหน้าหญิงสาวจึงเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ นางก้าวไปข้างหน้า พลางเอ่ย “ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”
ต้วนอวิ๋นหลานขมวดคิ้ว ได้แต่ยิ้มอย่างทำอะไรไม่ถูก “ถวายพระพรพี่หญิง”
ต้วนอวิ๋นซินจึงกล่าวว่า “ที่นี่ไม่มีใครอื่น ไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้น เร็ว!”
ว่าแล้ว ก็ถือวิสาสะเข้าไปรั้งมือหนีเจียเอ๋อร์ให้ลุกขึ้นอย่างสนิทสนม พร้อมกระซิบถาม “เสี่ยวเอ๋อร์ เ้าคิดอย่างไรกับอวิ๋นหลาน?”
หนีเจียเอ๋อร์เหลือบมองต้วนอวิ๋นหลานที่หันไปทางอื่น ก่อนตอบเบาๆ “ท่านแม่ทัพเฉลียวฉลาด มีอารมณ์ขัน และสุภาพอย่างไร้ที่ติ” นางหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อเสียงขึงขัง “แต่กระนั้น หม่อมฉันก็เพียงนึกชื่นชมจากใจจริงเท่านั้น หาได้พึงใจสมัครรักใคร่ในตัวเขา”
ได้ยินเช่นนั้น ต้วนอวิ๋นซินก็มิได้โกรธเคือง ยังคงยิ้มแย้ม “ไม่ต้องรีบร้อน”
จากนั้น ก็หันไปพูดกับน้องชาย “งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้ว คงไม่ดีนักหากเ้าไปสาย มาเถอะ!”
ถึงอย่างไร ก็สร้างโอกาสให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังจนเป็ที่พอใจแล้ว นางจึงพาคนทั้งสองไปยังรถม้าที่เตรียมไว้
หนีเจียเอ๋อร์และต้วนอวิ๋นหลาน เดินเคียงข้างตามไปด้วยกัน
ต้วนอวิ๋นหลานพลันเอ่ยขึ้น “ั้แ่ท่านแม่จากไป พี่สาวข้าก็ขึ้นเป็ฮองเฮา นางจึงเข้มงวดทั้งกับตัวเองและข้า แต่เพราะข้าเติบใหญ่แล้ว จึงไม่ต้องสั่งสอนอีก เื่เดียวที่นางเป็ห่วงยิ่งนัก ก็คือการแต่งงานของข้า ขนาดท่านพ่อยังไม่กังวลเท่านางเลย”
แม้คำพูดของเขาจะดูประชดประชันเล็กน้อย หากแต่ไร้แววขุ่นเคืองในน้ำเสียง เห็นได้ชัด ว่าเขาก็เคารพรักพี่สาวผู้นี้มากไม่ต่างกัน
หนีเจียเอ๋อร์มองไปยังด้านหลังของสตรี ผู้ขึ้นชื่อว่าสง่างามดั่งนางหงส์ ด้วยความทุ่มเทอย่างมหาศาลเช่นนั้น ไม่แปลกใจเลย ที่ฮองเฮาจะสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงส่งเช่นนี้ได้
ทันทีที่คนทั้งสามมาถึงห้องจัดเลี้ยง ก็พบเข้ากับกู่หังจิ่นที่เพิ่งมาถึง เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ฮองเฮา เขาก็ผุดรอยยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย
ต้วนอวิ๋นซินกล่าวชื่นชมหนีเจียเอ๋อร์ต่อหน้าฮ่องเต้ ซึ่งกู่หังจิ่นก็ได้ให้การยอมรับ ถึงกับเอ่ยชมหญิงสาวต่อหน้าผู้คนอยู่หลายคำ จนนางแอบเหงื่อตกอยู่ในใจ
นอกจากต้องระมัดระวังในการตอบคำถาม เพื่อมิให้เป็การดูิ่พระพักตร์ฝ่าาและฮองเฮาแล้ว หนีเจียเอ๋อร์ยังต้องเว้นระยะห่างจากต้วนอวิ๋นหลาน เพื่อแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ว่านางเพียงเคารพนับถือเท่านั้น ไม่มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่ถึงกระนั้น ต้วนอวิ๋นซินก็ไม่ละความพยายาม ยังคงคิดจะจับคู่พวกเขาต่อ
โชคดีที่ในงานมีสตรีชั้นสูงมากมาย แต่ละคนล้วนแต่งกายในชุดพิธีการ ทว่ายังคงไว้ซึ่งความงดงามตามแบบฉบับของตนเอง
พอเห็นพวกนางพยายามเข้าหาต้วนอวิ๋นหลาน หนีเจียเอ๋อร์ก็ฉวยโอกาสหลบมุม ไปลิ้มรสอาหารในวัง
หญิงสาวเพลิดเพลินกับโลกใบเล็กของตน ขณะที่ต้วนอวิ๋นหลานกำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยสตรีกลุ่มใหญ่อย่างเบื่อหน่าย ดังนั้น เขาจึงหาข้ออ้างกับฝ่าาและฮองเฮาเพื่อปลีกตัวออกมา หมายจะกระชับความสัมพันธ์กับหนีเจียเอ๋อร์
เพราะต้วนอวิ๋นซินช่วยพูดอีกแรง ฝ่าาจึงยอมปล่อยตัวคนทั้งสองออกมา
ส่วนเื่การเดินทางกลับของหนีเจียเอ๋อร์ ฮองเฮาก็ไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะต้วนอวิ๋นหลานจะพาหญิงสาวไปส่งเอง นางจึงกำชับเพียงว่า “อวิ๋นหลาน เ้าต้องไปส่งเสี่ยวเอ๋อร์กลับบ้านอย่างปลอดภัยนะ เข้าใจหรือไม่?”
ต้วนอวิ๋นหลานถอนหายใจ ก่อนตอบ “พี่หญิงไม่ต้องห่วง เช่นนั้น พวกเราขอทูลลา”
ฮองเฮาหันมาพูดกับหนีเจียเอ๋อร์อีกครั้ง “เสี่ยวเอ๋อร์ น้องชายของข้านั้น วันๆ ก็อยู่แต่กับศึกา จึงมิได้อ่อนโยนเหมือนบุรุษอื่นๆ ดังนั้น หากเขาพูดหรือทำอะไรให้เ้าไม่พอใจ ก็อย่าถือโทษโกรธเคืองเลย”
หญิงสาวค้อมตัวอย่างนอบน้อม “เหตุใดฮองเฮาตรัสเช่นนั้น เสี่ยวเอ๋อร์ไหนเลยจะกล้าตำหนิท่านแม่ทัพ ผู้มีคุณงามความดีต่อแผ่นดินมากมายได้”
ต้วนอวิ๋นซินฟังคำตอบของนางแล้ว พลันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ด้วยไม่เห็นความขัดเขินปรากฏบนใบหน้าอีกฝ่าย ซ้ำยังดูสุภาพและห่างเหินอีกด้วย
ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ปล่อยพวกเขากลับทันที
คนทั้งสองเดินไปยังประตูรถม้าอันหรูหรา ที่จอดรออยู่นานแล้ว ต้วนอวิ๋นหลานประคองหญิงงามขึ้นรถม้า พลางเอ่ยถาม “ท่านจะกลับไปที่จวนสกุลหนี หรือเรือนบนเขา?”
หนีเจียเอ๋อร์ตอบทันที “เรือนบนเขา”
หลังบอกคนขับรถม้าว่าให้มุ่งหน้าไปยังเรือนบนูเา ต้วนวอิ๋นหลานก็โพล่งถามอย่างมิได้ตั้งใจ “ความสัมพันธ์ของท่านกับคุณชายสกุลโจว ผู้ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง เป็เช่นไรหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์เหลือบมองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้าม ด้วยไม่ทราบว่าเขามีความมุ่งหมายอย่างไร นางจึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “แม่นมข้าเป็มารดาเขา พวกเราเติบโตมาด้วยกัน เขาจึงเป็ดั่งพี่ชายข้า”
ต้วนอว๋นหลานพยักหน้า หยุดชะงัก และเปลี่ยนน้ำเสียง “แท้จริงแล้ว ข้าก็มีเื่ที่เสียใจอยู่ประการหนึ่ง”
“เสียใจเื่ใดหรือเ้าคะ?” หนีเจียเอ๋อร์นึกอยากรู้
ต้วนอวิ๋นหลานจึงยิ้ม แล้วตอบว่า “ข้ามีสหายรักผู้หนึ่ง เขามีน้องสาวที่ดีมากๆ ทั้งสองรักและเกื้อกูลกัน ข้าละอิจฉาพวกเขาจริงๆ ข้าเองก็อยากจะมีน้องสาวให้ปกป้องเช่นกัน”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ ต้วนอวิ๋นหลานก็ถอนหายใจ “ข้าจึงนึกอิจฉาโจวชิงหวานัก”
ดูเหมือนว่า นี่จะเป็ถ้อยคำบอกใบ้?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของหนีเจียเอ๋อร์ก็ทอประกาย “หากท่านแม่ทัพไม่รังเกียจ พวกเรามาเป็พี่น้องร่วมสาบานกันดีหรือไม่?”
ต้วนอวิ๋นหลานตบต้นขาอย่างแรง ตอบตกลงอย่างเห็นด้วยทันที “ดีมาก! เช่นนั้นั้แ่วันนี้เป็ต้นไป พวกเราถือเป็พี่น้องร่วมสาบานกัน!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้