ตอนที่ 58 มอบของขวัญตอบแทน
มู่อวิ๋นจิ่นพลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ ฉู่ลี่ได้ยื่นมือเข้าช่วยนางให้พ้นจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเอาไว้ จึงหยิบตะเกียบคีบกระดูกหมูใส่ชามของฉู่ลี่เป็การตอบแทน
ฉู่ลี่ปรายตามองกระดูกหมูชิ้นนั้น แล้วหันมองมู่อวิ๋นจิ่น “เปิ่นหวงจื่อไม่ทานกระดูกหมู”
“เช่นนั้นเปลี่ยนเป็อย่างอื่นแล้วกัน” มู่อวิ๋นจิ่นอมยิ้มพร้อมกับยื่นมือไปคีบเนื้อไก่มาใส่ชาม “ทานอันนี้”
“
“เปิ่นหวงจื่อไม่ทานเนื้อไก่” ฉู่ลี่ปฏิเสธอีกครั้ง
มู่อวิ๋นจิ่นกัดฟันกรอด ๆ มองเห็นหูหลัวปัวจึงยื่นมือคีบมาวางให้ฉู่ลี่
พอเห็นหูหลัวปัวในถ้วย ฉู่ลี่ขมวดคิ้ว ก่อนจจะแสดงสีหน้ารังเกียจออกมา
“
“พระชายา… องค์ชายเกลียดการทานหูหลัวปัวมากที่สุดขอรับ” ติงเซี่ยนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยให้นางฟัง
มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับวางตะเกียบลงด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะปรายตามองด้วยความขัดเคือง “ในหูหลัวปัวประกอบด้วยวิตามินเอ ทานเข้าไปช่วยบำรุงสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยเื่สายตาพร่ามัวขององค์ชายได้ดี…”
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็หยุดพูด ด้วยว่าี้เีพูดต่อไปแล้ว
ฉู่ลี่ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยสายตาแปลกไป ถึงแม้ไม่ค่อยเข้าใจว่าวิตามินคือสิ่งใด แต่พอเดาได้อยู่บ้าง
เขาจึงยอมแหกกฎของตนเอง หยิบตะเกียบขึ้นคีบหูหลัวปัวเข้าปาก และค่อย ๆ เคี้ยวไปอย่างเชื่องช้า ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลา
ติงเซี่ยนและแม่นมเสิ่นหันมาสบตากันอย่างแปลกใจ พลางมองไปยังมู่อวิ๋นจิ่นที่มักจะทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงในความสามารถของนางอยู่เสมอ
“ไม่อร่อยสักนิดเดียว” ฉู่ลี่โยนหูหลัวปัวอีกครึ่งที่อยู่ในมือลงถ้วย
ติงเซี่ยนและแม่นมเสิ่นหันมาสบตากันอีกครั้ง ที่แท้องค์ชายก็ยังเป็องค์ชายหกคนเดิม
มู่อวิ๋นจิ่นมองด้วยแววตาดูแคลนที่ฉู่ลี่โยนหูหลัวปัวอีกครึ่งลง จึงแกล้งคีบหูหลัวปัวเข้าปากเคี้ยวไปสามชิ้น
“อืม อร่อยเหลือเกิน” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยขึ้น
…
หลังจากที่งานเลี้ยงเสร็จสิ้นและระหว่างที่กำลังจะเดินทางออกจากวังหลวง
ติงเซี่ยนถือโคมไฟใหญ่เพื่อส่องสว่างทางเดินให้ฉู่ลี่อยู่ด้านข้าง
มู่อวิ๋นจิ่นที่เดินอยู่ด้วยกันถึงกับมองตาขวาง ด้วยรู้สึกไม่อยากแยแส
ในระหว่างที่เดินมาถึงมุมเลี้ยวตรงกำแพง มู่อวิ๋นจิ่นกลับหยุดฝีเท้าลง หันผายมือให้ฉู่ลี่พร้อมเอ่ยว่า “องค์ชายและบ่าวกลับไปจวนกันก่อนแล้วกัน”
สิ้นเสียงแล้ว นางก็วิ่งไปอีกทางอย่างรวดเร็ว
ฉู่ลี่มองมู่อวิ๋นจิ่นวิ่งจากไปด้วยแววตาแน่นิ่ง จนกระทั่งนางวิ่งห่างจนลับตาไป
มู่อวิ๋นจิ่นวิ่งเสียงเงียบมาหยุดลงด้านหลังต้นไม้ใหญ่ โดยเห็นฉู่ชิงเฉียงมองมู่อวิ๋นหานเบื้องหน้าด้วยความเขินอาย
“ได้ยินมาว่าเ้าชื่ออวิ๋นหาน” ฉู่ชิงเฉียงหันมาถามมู่อวิ๋นหาน ด้วยสายตาที่เป็มิตรอย่างยิ่ง
มู่อวิ๋นหานพยักหน้ารับอย่างมีมารยาท
“เคยได้ยินเสด็จพ่อเล่าว่าเ้าเก่งกาจ การออกศึกในครั้งนี้สร้างผลงานได้ดีไม่น้อย” ฉู่ชิงเฉียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“องค์หญิงห้าชมเกินไปแล้วขอรับ คุณชายฉินและคุณหนูฉินต่างหากที่สร้างผลงานไว้ อวิ๋นหานเป็เพียงลูกมือช่วยเหลือเท่านั้นขอรับ” มู่อวิ๋นหานกล่าวอย่างถ่อมตัว
ด้านฉู่ชิงเฉียงกลับส่ายหน้า “ท่านไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก จากที่เปิ่นกงรู้มา พวกท่านทั้งสามร่วมมือกันจนสามารถกำชัยได้หลายเมือง… อวิ๋นหาน ท่านช่างเก่งเหลือเกิน!”
มู่อวิ๋นหานรู้สึกประหม่า แต่กระนั้นเขากลับมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่อยากจะสนทนากับฉู่ชิงเฉียงต่อแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า “เวลานี้ก็เย็นแล้ว องค์หญิงรีบกลับตำหนักพักผ่อนเถอะขอรับ”
“อืม” ฉู่ชิงเฉียงเม้มปากแน่นก่อนตอบ จากนั้นชำเลืองมองมู่อวิ๋นหาน ด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกรักใคร่เสน่หา “ได้ยินมาว่าท่านยังมิได้แต่งงานออกเรือนอย่างนั้นหรือ?”
“เอ่อ…” มู่อวิ๋นหานปิดปากเงียบมิได้ตอบกลับ
ฉู่ชิงเฉียงรู้ตัวว่าคำพูดของตนอาจทำให้มู่อวิ๋นหานใจนไปต่อไม่ถูก จึงก้มหน้าก้มตาเอ่ยต่ออย่างเขินอาย “เปิ่นกงจู่ก็ยังไม่ได้ออกเรือนเช่นกัน”
สิ้นเสียงแล้วฉู่ชิงเฉียงกลับอมยิ้มหันหลังเดินจากไป โดยที่มู่อวิ๋นหานยืนมองจากข้างหลัง
เมื่อได้สติสัมปชัญญะกลับมา สายตามู่อวิ๋นหานจับจ้องไปตรงต้นไม้ใหญ่ที่มีคนแอบดักฟังอยู่ แล้วเอ่ยด้วยความขัดเคืองว่า “เ้านี่ใจกล้าขึ้นเยอะ ช่างกล้ามาแอบดักฟังพี่คุยกับคนอื่น!”
มู่อวิ๋นจิ่นพยายามฝืนไม่ให้ยิ้ม ก้าวเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ เลียนแบบท่าทางและคำพูดของฉู่ชิงเฉียงที่ส่งสายตาทอดมายังมู่อวิ๋นหาน “อวิ๋นหาน ท่านช่างเก่งเหลือเกิน”
“เ้าเด็กบ้า อยากตายหรืออย่างไร!” มู่อวิ๋นหานเขกไปที่หัวของมู่อวิ๋นจิ่นอย่างแรงไปทีหนึ่ง
“พูดตามตรงองค์หญิงห้าดูเหมือนจริงจังกับพี่มาก สงสัยอยากจะแต่งกับพี่กระมัง” มู่อวิ๋นจิ่นยืนกอดอกมองไปที่มู่อวิ๋นหาน
มู่อวิ๋นหานสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาก่อนจะพูดอย่างไม่ค่อยสุขใจเสียเท่าไหร่ “พี่ไม่มีทางแต่งกับองค์หญิงห้า!”
“เห้อ แต่ถ้าฝ่าาพระราชทานงานสมรส พี่ก็ไม่มีทางปฏิเสธได้แล้ว มิอย่างนั้นจะถือว่าขัดต่อราชโองการ” มู่อวิ๋นจิ่นพูดอย่างถอดใจ
“ค่อยว่ากันทีหลังแล้วกัน” มู่อวิ๋นหานไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับมู่อวิ๋นจิ่นแล้ว
เมื่อมองว่ามู่อวิ๋นจิ่นมาที่นี่คนเดียวจึงบอกว่า “เดี๋ยวพี่ไปส่งที่จวน”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ
…
หลังจากที่เดินออกจากวังหลวง รถม้าขององค์ชายหกยังคงจอดอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน ติงเซี่ยน แม่นมเสิ่นรวมทั้งจื่อเซียงยังคงยืนอยู่ข้างรถม้า
“พระชายาหกเชิญเ้าค่ะ” แม่นมเสิ่นเอ่ยกับมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นตอบรับและก้าวเดินไปยังรถม้า โดยปรายตามองติงเซี่ยน “ประคองข้าขึ้นไปที”
ติงเซี่ยนชะงักอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนที่มู่อวิ๋นจิ่นะโลงจากรถม้า โดยที่ไม่ต้องให้เขาประคอง
หลังจากขึ้นไปบนรถม้า มู่อวิ๋นจิ่นก็นั่งลงตรงมุมแล้วยกมือขึ้นกอดอก
“เ้าหนาวหรือ?” ฉู่ลี่ปรายตามองและเอ่ยถามขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะกลบเกลื่อนกลับ “เวลายามเย็นจะค่อนข้างหนาวอยู่แล้ว…”
“อ่อ” ฉู่ลี่ถามจบและหันมองไปทางอื่น
กระทั่งรถม้าเดินทางกลับมาถึงจวน มู่อวิ๋นจิ่นเตรียมตัวลงเดินกลับเรือนลี่เฉวียน แต่แม่นมเสิ่นกลับดึงชายเสื้อของนางเอาไว้ “ช่วยองค์ชายถือโคมไฟนำทางเ้าค่ะ”
จากนั้นติงเซี่ยนก็ยัดโคมไฟใส่มือของมู่อวิ๋นจิ่น
นางแอบบ่นที่โดนยัดโคมไฟอยู่ใส่มือ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ก้าวเดินนำส่องให้แสงสว่างนำทางฉู่ลี่กลับไปที่เรือนลี่เฉวียน
ตลอดทางมู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้สนใจมองฉู่ลี่ว่าจะเห็นทางข้างหน้าหรือไม่ นางตั้งใจเดินนำหน้าเล็กน้อย พลางส่งพึมพำในลำคอที่ต้องมาถืออะไรเช่นนี้
“
“หยกประจำตัวล่ะ?” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยปากถาม
“ไม่ได้หยิบติดตัวมา” ฉู่ลี่ตอบกลับนาง
มู่อวิ๋นจิ่นจึงเบือนปากจ้องเขม็งไปที่ฉู่ลี่ “สายตาของเ้าพร่ามัวอย่างหนักในเวลากลางคืนอย่างนั้นเลยหรือ?”
“อืม” ฉู่ลี่ตอบด้วยเสียงราบเรียบ
“เช่นนั้นต้องกินตับหมู กับหูหลัวปัวมากหน่อยแล้ว!”
ฉู่ลี่ได้ฟังพลันหรี่ตาลง ก่อนจะกวาดสายตาไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตว่าเ้าพูดมากความถึงเพียงนี้?”
พูดมากความ…
ตอนนี้มู่อวิ๋นจิ่นกลับความเดือดดาลเป็อย่างยิ่ง
นางหยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวเดิน และนำโคมไฟในมือตนยัดใส่มือของฉู่ลี่แทน ก่อนจะพูดอย่างไม่พอใจ “เ้าเดินกลับไปเองแล้วกัน!”
สิ้นเสียงแล้ว นางก็รีบสาวเท้าวิ่งกลับเรือนลี่เฉวียนไป ด้วยกลัวฉู่ลี่จะหันมาจัดการนางแทน
หลังจากที่กลับไปเรือนของนางแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นจงใจไม่จุดโคมไฟในห้องขึ้น กลับแอบอยู่หลังประตูสังเกตสถานการณ์ กระทั่งเวลาล่วงเลยไปเพียงครู่ ฉู่ลี่ค่อย ๆ เดินถือโคมไฟนำทาง เดินเข้าไปในห้องที่เยื้องติดกัน
ไม่นานนัก แสงสว่างในห้องก็ถูกจุดขึ้นมาจนสว่างไสว
…
ในเช้าวันต่อมา มู่อวิ๋นจิ่นถูกเสียงประทัดปลุกขึ้นจากภวังค์แห่งความฝัน
เมื่อได้สติตื่นขึ้นมา มู่อวิ๋นจิ่นมัวเงียรำคาญใจกับเสียงประทัดที่จุดอย่างต่อเนื่อง ราวกับเสียงนั้นมาอยู่ข้างหูนางก็มิปาน
มู่อวิ๋นจิ่นเกิดรำคาญจนทนไม่ไหว เลยลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่ประตู
ระหว่างที่ตัดสินใจเปิดประตูออก ควันกลุ่มใหญ่ได้พุ่งเข้ามาในห้องมู่อวิ๋นจิ่น โดยที่พื้นด้านนอกมีเศษประทัดกระจัดกระจายไปทั่ว
จากนั้นไม่นาน เสียงประทัดจึงหยุดลง
กลุ่มควันขาวคละคลุ้งตลบอบอวล มู่อวิ๋นจิ่นจึงมองไปยังห้องทีเยื้องกัน ก็เห็นฉู่ลี่และติงเซี่ยนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าสาแก่ใจ
“เช้าตรู่ขนาดนี้ ทำไมต้องจุดประทัดที่นี่ด้วย?” มู่อวิ๋นจิ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์
ฉู่ลี่เหมือนได้ยินจึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ข้ามอบของขวัญตอบแทนให้กับเ้ายังไงเล่า!”
มอบของขวัญตอบแทน?
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ กวาดสายตามองประทัดที่อยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้นนึกถึงเื่เมื่อคืนที่ปล่อยให้ฉู่ลี่เดินกลับห้องเพียงลำพัง
โธ่เอ้ย! ช่างเป็คนเ้าคิดเ้าแค้นอะไรขนาดนี้?
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะโดนเอาคืนโดยการจุดประทัดั้แ่เช้าตรู่แบบนี้
พอเห็นมู่อวิ๋นจิ่นปะติดปะต่อเื่ราวจนทราบที่มาที่ไปแล้ว ติงเซี่ยนที่ยืนข้างฉู่ลี่จึงค่อยถอนหายใจอย่างจนปัญญาที่องค์ชายของตนดูเหมือนจะทำเกินไปหน่อย
องค์ชายหกของเขามาเอาคืนกับคุณหนูสาม ด้วยวิธีการที่ดูจะเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ แม้กระทั่งองครักษ์ที่ติดตามอารักขาเขามานานยังมิอาจทนดูได้
หลังจากนั้นไม่นาน สำรับอาหารเช้าถูกจัดวางจนเต็มโต๊ะ
มู่อวิ๋นจิ่นที่หลับยังไม่เต็มอิ่มมีรอยดำรอบดวงตา ต้องมานั่งทานอาหารเช้าไปด้วยหาวไปด้วย ด้วยความง่วงที่มิอาจประมาณได้
ด้านฉู่ลี่กลับนั่งทานโจ๊กอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่มู่อวิ๋นจิ่นทานอาหารไปด้วยความอยากนอน
แม่นมเสิ่นที่ยืนคอยรับใช้อยู่ด้านข้าง เห็นท่าทางของเ้านายทั้งสองกลับอมยิ้มคิกคักขึ้นมา ก่อนจะมองไปยังฉู่ลี่และพูดว่า “ถึงองค์ชายจะไม่ได้เห็นหน้าพระชายามานานนับเดือน ทว่าก็ต้องให้อภัยพระชายาด้วย เพราะพระชายาเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นก้าวข้ามจากเด็กกลายเป็ผู้ใหญ่เต็มตัวเมื่อไม่นานมานี้เอง คงต้องให้เวลาหน่อยเพคะ”
“หือ…” มู่อวิ๋นจิ่นพ่นโจ๊กที่อยู่ในปากพุ่งออกมา จากนั้นมองไปยังแม่นมเสิ่นทันที “แม่นมอย่าพูดจาไปเรื่อยแบบนั้น!”
แม่นมเสิ่นคิดว่ามู่อวิ๋นจิ่นเกิดเขินอายขึ้นมา จึงพยักหน้าอมยิ้ม “เ้าค่ะ บ่าวไม่พูดไปเรื่อยแล้ว แต่ก็ดีเพราะอีกไม่นานในจวนนี้คงมีเื่ดี ๆ เกิดขึ้น”
มู่อวิ๋นจิ่นเบะปากออกมาจ้องเขม็งไปทางแม่นมเสิ่นที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ในระหว่างที่ทั้งสองต่อปากต่อคำกันอยู่ ฉู่ลี่กลับทานอาหารอย่างเชื่องช้าโดยไม่ได้สนใจ ราวกับไม่ได้ยินได้ฟังบทสนทนาของทั้งคู่ จู่ ๆ เขาได้เอ่ยขึ้นว่า “สกปรกเหลือเกิน ครั้งหน้าไม่อนุญาตให้พ่นอาหารกระจัดกระจายเช่นนี้อีก”
มู่อวิ๋นจิ่นรีบหันกลับมามองค้อนฉู่ลี่ในทันที
หลังจากทานอาหารเช้าเป็ที่เรียบร้อย มู่อวิ๋นจิ่นเตรียมตัวกลับไปเรือนลี่เฉวียนเพื่อหลับเอาแรงเสียหน่อย ทว่าแม่นมเสิ่นกลับรั้งนางไว้ ก่อนจะกระซิบกระซาบกับนางว่า “พระชายา ใกล้วันเกิดองค์ชายหกแล้วนะเ้าคะ”
“
“วันที่เจ็ดเดือนหน้าเป็วันเกิดขององค์ชาย ปีนี้เป็ปีแรกที่พระชายากับองค์ชายหกแต่งงานด้วยกัน ควรตระเตรียมของขวัญแสดงความยินดีล่วงหน้าเ้าค่ะ” แม่นมเสิ่นยิ้มอย่างสุขใจ
มู่อวิ๋นจิ่นที่ได้ฟังเกิดนึกสนุกอะไรขึ้นมาได้… ตระเตรียมของขวัญวันเกิดอย่างนั้นหรือ?
ถ้ารู้อย่างนี้ก็น่าคืนหยกประจำตัวชิ้นนั้นให้ช้ากว่านี้ก็คงดี…
ระหว่างที่เดินกลับมาเรือนลี่เฉวียน ในหัวของมู่อวิ๋นจิ่นเอาแต่คิดเกี่ยวกับเื่ของขวัญอยู่ตลอดเวลา และเมื่อย้อนคิดขึ้นมาได้ว่าฉู่ลี่มอบเงินให้นางสามหมื่นตำลึงทอง เช่นนั้นนางจึงอยากไปเดินเล่นข้างนอกเสียหน่อย เผื่อจะได้ของดีกลับมา
“จื่อเซียง พวกเราออกไปเดินเล่นนอกจวนกันเถอะ!” พูดจบมู่อวิ๋นจิ่นจึงหมุนตัวกลับไป เพื่อหมายจะวิ่งไปหน้าจวนแทน
จื่อเซียงพยักหน้ารับ “คุณหนู เมื่อครู่นี้แม่นมเสิ่นแอบกระซิบอะไรกับคุณหนูเ้าคะ?”
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ใกล้ถึงวันเกิดฉู่ลี่แล้ว แม่นมให้ข้าตระเตรียมของขวัญ เ้ามีความคิดอะไรดี ๆ แนะนำข้าบ้างหรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นถามขึ้นมา
จื่อเซียงส่ายหน้าไปมา “บ่าวเป็คนฐานะต่ำต้อย ไม่เคยได้พบได้เห็นของดี ๆ จึงไม่กล้าบอกว่าของสิ่งใดเหมาะเป็ของขวัญให้องค์ชายหกเ้าค่ะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้