“พักอยู่นี่ก่อนเถิดเ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะให้สืออีเข้ามาพยุงท่าน อย่าขยับ ระวังาแจะฉีก” เวินซีพูดกับต้วนจิงเย่พลางขมวดคิ้ว
เนื่องจากอาการาเ็ของเขา ทำให้นางมีท่าทีที่ดีต่อเขามากขึ้นไม่น้อย
“แต่แม่ทัพต้าน...” ต้วนจิงเย่มองจ้าวต้านอย่างลังเล
“เขาไม่ถือหรอกเ้าค่ะ” เวินซีพูดนิ่งๆ
“ขอรับ เช่นนั้นขอรบกวนคุณหนูเวินกับแม่ทัพต้านด้วยขอรับ” ต้วนจิงเย่กลับลงมานั่งตัวตรง
เขาหยิบหนังสือออกมาจากอ้อมแขนและเริ่มอ่านอย่างตั้งใจ
เวินซีละสายตาจากเขาแล้วกลับไปมองที่จ้าวต้าน “ท่านจำได้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น?”
จ้าวต้านส่ายศีรษะด้วยความสับสน แต่เมื่อมองดูนางและาแที่อยู่บนตัว เขาก็พอจะคาดเดาได้
“ข้าขอโทษ” เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา
“ไม่ต้องขอโทษเ้าค่ะ ไม่มีผู้ใดโทษท่าน ปัญหาหลักตอนนี้คือเนี่ยนหานกู่ในร่างท่านแทบจะควบคุมไว้มิได้แล้ว สภาพแวดล้อมในเมืองซู่เหอก็ส่งผลดีกับมันเกินไป” เวินซีถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ในใจของนางกลับเต็มไปด้วยความรำคาญ
“ข้าจะจากไปให้เร็วที่สุด” จ้าวต้านคิดอยู่นานก็เอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขามองดูเวินซี อารมณ์ภายในแววตานั้นสั่นไหว หลังจากนั้นก็เอ่ยปากอีกครั้งอย่างไม่มั่นใจ “เ้า...จะไปกับข้าหรือไม่?”
“ข้าไม่รู้ ข้าต้องคิดดูก่อนเ้าค่ะ”
คำเชิญที่มาอย่างกะทันหันทำให้สมองของเวินซีสับสน แววตาของนางมืดลง แล้วตอบไปนิ่งๆ
ท่าทางของนางสะท้อนอยู่ในดวงตาของจ้าวต้าน ริมฝีปากบางของเขาเม้มเป็เส้น ร่างกายเกร็งไปทั้งตัว
“ทราบแล้ว” เขานอนกลับลงไปพลันเอ่ยอย่างผิดหวัง
“ข้าง่วงแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ ท่านพักผ่อนเถิด ข้าจะให้สืออีเข้ามาดูแลท่าน มีเื่อันใดก็เรียกเขานะเ้าคะ”
เมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องแปลกไป เวินซีจึงลุกขึ้นและรีบเดินออกไป
ประตูปิดลงช้าๆ สายตาของจ้าวต้านจ้องมองไปที่ต้วนจิงเย่
“ท่านแม่ทัพต้าน หากมีเื่อันใดก็ถามมาเถิดขอรับ ท่านเอาแต่มองข้าเช่นนี้ ข้าทำอันใดผิดไปหรือขอรับ?” ต้วนจิงเย่ปิดหนังสือลงแล้ววางไว้ที่โต๊ะ เขาถามอย่างสง่างาม บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ แต่ดูจอมปลอม
“คุณชายต้วนไม่เจ็บแผลแล้วหรือ?” จ้าวต้านเอ่ยอย่างเ็า
“จู่ๆ ก็ไม่เจ็บแล้วขอรับ”
“หากข้าจำไม่ผิด ตอนนั้นอาการของคุณชายต้วนสาหัสกว่าตอนนี้มากเลยนี่ เวลานั้นไม่เห็นว่าคุณชายจะอ่อนแอขยับตัวมิได้เช่นนี้เลย”
“สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปหมดแล้วขอรับ ข้าเป็บัณฑิตมานาน ร่างกายย่อมอ่อนแอลงเป็ธรรมดา”
“เข้าใจแล้ว ข้าก็นึกว่าคุณชายต้วนแกล้งทำเสียอีก”
มีความนัยในคำพูดของทั้งสอง แต่พวกเขาก็หักลบกันได้ทุกครา สู้รบปรบมือกันได้อย่างไม่ตกหล่น
“คุณชายต้วน อย่าไปยุ่งเื่ของคนอื่นจะดีกว่านะขอรับ” จ้าวต้านพูดเตือนด้วย “ความเมตตา”
“หากเป็เื่ของผู้อื่นจริงๆ ข้าย่อมไม่คิดจะเข้าไปยุ่งขอรับ ท่านแม่ทัพต้าน พักผ่อนเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว” ต้วนจิงเย่พลิกกาย จงใจหันหลังให้
จ้าวต้านโกรธมาก เขาจ้องแผ่นหลังของต้วนจิงเย่ด้วยสายตาเ็า
หากอีกฝ่ายมิใช่เหมินเค่อที่องค์ชายใหญ่ส่งมา เพียงแค่ความคิดที่มีต่อเวินซีนั่นก็มากพอที่จะทำให้เขาจัดการ น่าเสียดาย...
ดวงตาของเขาหรี่ลงครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ ปิดลง
......
“พี่สะใภ้ แม่ทัพต้านเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?” เมื่อเห็นเวินซีออกมา ซูเหอก็เข้ามาหานางทันทีและเอ่ยถามอย่างรีบร้อน
สืออี โจวอวี่ชาง หรานอิ่งชุน ก็เข้ามาล้อมรอบนางเช่นกัน
“ไม่มีอันใดร้ายแรง” เวินซีพูดแล้วหันไปมองสืออี “สืออี ต้องรบกวนเ้าดูแลพวกเขาสองคนด้วย คอยดูจ้าวต้านไว้หน่อย หากเขามีความผิดปกติอันใดรีบทุบให้เขาสลบไปก่อนเลยนะ”
“ขอรับ คุณหนูเวินซี” สืออีพยักหน้าตอบรับพลันก้าวเข้าไปในห้อง
“แยกย้ายกันเถิด ทุกท่านลำบากมากแล้ว”
เวินซีกำลังจะเดินออกไป แต่ก็ถูกซูเหอสกัดไว้
“พี่สะใภ้ อาการป่วยของแม่ทัพต้านร้ายแรงหรือไม่เ้าคะ?” นางมองไปที่ประตูที่เปิดเพียงครึ่งเดียวก็ถามอย่างกังวลใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ใช่ว่าจะไม่มียารักษา เรา้าเพียงหญ้าหิ่งห้อยร้อนก็จะสามารถรักษาเขาได้”
“หญ้าหิ่งห้อยร้อน? นี่ต่างจากไม่มียารักษาเช่นไรเ้าคะ? ยาตัวนี้ล้ำค่ายิ่งนัก ใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะมีสักต้น เคยได้ยินคำบอกเล่าว่ามันมีแค่ในพระราชวัง”
“หากมันอยู่ในวังหลังของพระสนมก็ยังพอว่า เราขโมยมาได้ หากเป็ในวังของฮ่องเต้แสนตระหนี่นั่น เขาไม่มีทางให้แน่ เขาอยากจะให้แม่ทัพต้านตายเสียยิ่งกระไร”
ซูเหอมีสีหน้ารำคาญ นางยกเท้าขึ้นเตะเศษกรวดหินข้างเท้าออกไป
“จะอยู่ที่ใดเขาย่อมขโมยได้ทั้งนั้น ขอเพียงแค่รู้ตำแหน่ง มันไม่ยากเกินฝีมือของจ้าวต้านหรอก เ้ามิต้องกังวล” เวินซีปลอบใจนาง
ซูเหอพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“ท่านพี่ ยียีตื่นหรือยังเ้าคะ?” เวินซีหันไปถามโจวอวี่ชางที่ยืนเงียบอยู่
“ตื่นแล้ว กำลังคัดอักษรอยู่น่ะ จะไปหาเขาหรือไม่?”
“เขามิได้ตื่นเพราะเสียงเอิกเกริกหรอกกระมัง?”
“มิใช่ เพื่อที่จะรักษาอาการของเขา ข้าได้ให้เขาอยู่ในเรือนด้านในสุดน่ะ เขามิได้ยินความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทางนี้หรอก”
“เช่นนั้นก็ดีเ้าค่ะ ท่านพี่นำทางไปหน่อยสิเ้าคะ”
“ได้ ไปกันเถิด”
เวินซีเดินตามโจวอวี่ชางไป
หรานอิ่งชุนมองไปที่ซูเหอแล้วมองไปหาเวินซี ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตามนางไปด้วย
พวกนางเดินผ่านป่าไผ่และทางเดินยาวถึงสี่ครั้ง ในที่สุดก็มาถึงห้องเพียงห้องเดียวของยียีที่อยู่ภายในมุมเรือน
ทุกคนหยุดอยู่ข้างนอกห้อง
โจวอวี่ชางเหยียบบันไดขึ้นไป พลันเคาะประตูเบาๆ
“ยียี เ้าว่างหรือไม่? มีคนอยากจะเจอเ้า เปิดประตูให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ภายในห้อง
“ยียี อยู่ในห้องหรือไม่?” เขาพูดเสียงดังขึ้นแต่ก็ยังไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เขาหันหน้าไปมองเวินซีด้วยความลำบากใจ “เวินซี หรือเ้าจะลองมาเคาะดู? เขาได้ยินเสียงเ้าน่าจะออกมาเปิดประตูให้แน่”
“เ้าค่ะ”
เวินซีเดินไปที่ประตู ยกมือขึ้น ในตอนที่กำลังจะเคาะ จู่ๆ ประตูก็เปิดออกเองจากด้านใน
ยียียืนอยู่ที่ประตูด้วยใบหน้าเ็า เขากวาดสายตาไปมองทุกคน และในที่สุดก็หันไปที่เวินซี
ดวงตาของเขาเป็ประกายขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาเปิดออกช้าๆ เขาเรียก “พี่สะใภ้” อย่างแ่เบา
เวินซีได้เห็นเขาก็เม้มปาก นั่งยองลงพลันเอามือลูบศีรษะเขาด้วยความรัก “ยียี เ้าชอบที่นี่หรือไม่?”
ยียีพยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจและตอบโต้ได้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเวินซีก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
“ยียีอยากไปสำนักศึกษาหรือไม่? พี่จะพาเ้าไป”
“ไม่...ไม่...ไม่ไป” ยียีพูดอย่างแข็งทื่อ
“เช่นนั้นก็ไม่ไป ข้าฟังเ้า เ้าคิดถึงเอ้อเอ้อร์ ซันซานหรือไม่? พี่ขอเข้าไป เราช่วยกันเขียนจดหมายให้พวกเขาดีหรือไม่? เอ้อเอ้อร์นางคิดถึงยียีทุกวันเลยนะ” เวินซีพยายามกล่อมเขาอย่างระมัดระวัง
ยียีพยักหน้า เบี่ยงตัวออกทำให้มีช่องว่างให้นางเข้าไปได้
เวินซีเดินเข้าไป ในตอนที่โจวอวี่ชางกำลังจะเข้าไปด้วย ทันใดนั้นประตูก็ปิดลง ทำให้เขาชะงักอยู่กับที่ เมื่อได้สติกลับมาเขาก็ถอนหายใจด้วยความจนปัญญา จึงถอยออกไปรอข้างๆ หรานอิ่งชุน
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เสียงผิวปากก็ดังขึ้นจากในห้อง นกพิราบสื่อสารที่บินไปมาอยู่แถวนั้นก็บินลงมา และจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักเวินซีก็เดินออกมา พลันปิดประตูอย่างอ่อนโยน “ยียีพักผ่อนแล้ว เราไปกันเถิดเ้าค่ะ”
“พักผ่อนหรือ?” โจวอวี่ชางพูดด้วยความประหลาดใจ
“ก็เขาบอกว่าเมื่อคืนเขานอนไม่หลับ เขาฝึกเขียนอักษรถึงดึก เราไปกันเถิดเ้าค่ะ ข้ายังมีเื่ต้องทำ”
“ก็ดี”
ทั้งสามคนเดินไปที่ลานหน้าด้วยกัน
พวกนางไปถึงโถงหน้าอย่างรวดเร็ว นี่ก็ใกล้ถึงเวลานัดที่จวนหรานแล้ว เวินซีพาหรานอิ่งชุนขึ้นไปนั่งบนรถม้าที่เตรียมไว้พลันเดินทางไปที่จวนหราน