แม้ว่าร่างของไป๋เซี่ยเหอจะถูกฮั่วเยี่ยนไหวห่ออย่างมิดชิด ทว่าเขาก็ไม่เต็มใจที่จะให้ผู้อื่นตรึงสายตาอยู่บนร่างกายของนาง
แม้จะเป็ลูกน้องของเขาก็ไม่ได้
อิ๋งเฟิงตัวสั่นทันที เขารุดหน้าไปเลิกม่านออกอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะกล่าวพร้อมกับยิ้มตาหยี “กระหม่อมนั่งท่าม้าอยู่ที่นี่นั้นเื่เล็ก แต่จะให้ท่านอ๋องขับรถม้าด้วยพระองค์เองได้อย่างไรใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? นอกจากนี้หวังเฟยยัง้าให้ท่านอ๋องคอยดูแลอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วเยี่ยนไหวอุ้มไป๋เซี่ยเหอเข้าไปในรถม้า แล้ววางร่างของนางลงบนเบาะอ่อนนุ่มที่มีผ้าปูอยู่หลายชั้นอย่างอ่อนโยนและระมัดระวัง จากนั้นก็เลิกผ้าม่าน เหลือบมองอิ๋งเฟิงทีหนึ่ง
“ไม่ได้เื่ ยังไม่รีบไปอีก”
“พ่ะย่ะค่ะ จะไปประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
อิ๋งเฟิงถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ เห็นทีจวนเซ่อเจิ้งอ๋องจะมีนายหญิงเพิ่มขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ดีจริงๆ!
ฮั่วเยี่ยนไหวดึงม่านลงอย่างพิถีพิถัน แม้ว่าจะมีลมพัดมา ก็ไม่อาจทำให้ม่านเปิดได้
กระทั่งภายในรถม้าถูกปิดกั้นอย่างแ่าแล้ว ฮั่วเยี่ยนไหวจึงเลิกผ้าห่มที่ห่อร่างของไป๋เซี่ยเหอออก
ใบหูที่มีขนปุกปุย พวงแก้มร้อนผ่าวจนแดงเรื่อเล็กน้อย รูปโฉมวิจิตรงามล้ำ
จิ้งจอกน้อย...
ไม่ว่าเ้าจะเป็ไป๋เซี่ยเหอหรือจิ้งจอกน้อย ในเมื่อเ้าเป็ฝ่ายเข้ามาในชีวิตของข้า เ้าก็ต้องอยู่ข้างกายข้า
ไม่อนุญาตให้หนีหายตลอดชั่วชีวิต!
เส้นทางในหุบเขานั้นขรุขระ รถม้าจึงแล่นไปอย่างเชื่องช้า
กระทั่งไม่เห็นเงาของรถม้าบริเวณหน้าถ้ำแล้ว สตรีที่สวมชุดดำคนหนึ่งก็เดินออกมาจากมุมมืด
ทั่วสรรพางค์กายของนางถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ชุดดำ ส่วนใบหน้าถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าสีดำ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่งเท่านั้น
นางพึมพำถ้อยคำที่แอบได้ยินมาเบาๆ “เืจิ้งจอก...น่าสนใจ”
ภายในเรือนทังย่วนที่ดูหรูหรา
เตียงหลังใหญ่สลักลายดอกไม้ที่ประณีตงดงามหลังหนึ่งวางอยู่ ม่านที่หน้าต่างถูกสายลมภายนอกพัดเข้ามาจนดูราวกับคลื่นถาโถม
เมื่อไป๋เซี่ยเหอตื่นขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือสถานที่อันแปลกตาเช่นนี้
‘เอี๊ยด’
นางได้ยินเสียงผลักประตู
สตรีในชุดกระโปรงยาวสีขาวเดินลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า เรือนผมสีหมึกถูกมัดหลวมๆ อย่างลวกๆ ใบหน้าไร้การแต่งแต้ม ดูหยิ่งยโสโดยกำเนิด อาภรณ์ปลิวไสวอย่างงดงาม
“หวัง...คารวะแม่นางไป๋”
อิ๋งเฟิงเฝ้าอยู่หน้าประตู เขากำลังจะเอ่ยเรียกหวังเฟย จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่านางยังไม่ได้สมรสกับท่านอ๋อง จึงเก็บคำพูดไปทันที
เื่ในวันนั้นเขาได้ยินมาหมดแล้วว่า สตรีตรงหน้าได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านอ๋อง
สตรีเช่นนี้ต่างหากที่คู่ควรจะเป็หวังเฟยในจวนเซ่อเจิ้งอ๋องของพวกเขา!
เมื่อเห็นอิ๋งเฟิงมีสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม ไป๋เซี่ยเหอก็ไม่ค่อยชินนัก ทว่ายังคงไม่เผยอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย “ที่นี่คือ?”
อิ๋งเฟิงร้องอุทานออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะแนะนำอย่างตื่นเต้น “ที่นี่คือเรือนทังย่วนในจวนเซ่อเจิ้งอ๋องที่เตรียมไว้ให้หวังเฟยในอนาคตขอรับ”
คำกล่าวของเขามีการชี้นำและตีสนิทอยู่ในนั้น
เขามองเห็นความเคร่งเครียดของท่านอ๋องอย่างชัดเจน ดังนั้นเขาต้องประจบประแจงหวังเฟยเป็อย่างดี
เขาจะไม่ร้องขอสิ่งอื่นใด เพียงขอให้ยามที่ท่านอ๋องลงโทษเขาในวันหน้า อย่าให้เขานั่งท่าม้าอีก...
“ท่านอ๋องเล่า?”
เมื่อไป๋เซี่ยเหอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองสลบไปในร่างมนุษย์ ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
นางไม่ทราบว่าตนเองกลายร่างเป็จิ้งจอกระหว่างนั้นหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นหากตอนนั้นนางกลายร่างเป็จิ้งจอกแล้วตอนนี้ตื่นขึ้นมาในร่างมนุษย์ นางควรจะอธิบายอย่างไรดี?
เกิดความเย็นเยียบเล็กน้อยบริเวณทรวงอก
“ท่านอ๋องอยู่ที่ห้องหนังสือ ข้าน้อยจะพาท่านไปขอรับ”
“ไม่จำเป็”
ไป๋เซี่ยเหอปฏิเสธโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว “ข้าไปเองได้”
นางรู้จักจวนแห่งนี้เป็อย่างดีมาเนิ่นนานแล้ว
เรือนทังย่วนเองก็ไม่ใช่ว่านางไม่เคยมา เพียงไม่เคยเข้าไปด้านในเท่านั้น ดังนั้นนางจึงรู้สึกงุนงงไปชั่วขณะตอนตื่นขึ้นมา
“อา?” อิ๋งเฟิงเกาศีรษะ “แต่ท่านมาที่จวนอ๋องเป็ครั้งแรกไม่ใช่หรือขอรับ?”
เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของอิ๋งเฟิง ไป๋เซี่ยเหอก็แก้ตัวโดยที่หน้าไม่แดง หัวใจไม่เต้นระรัว “ข้าหมายถึงข้าเดินไปเองได้”
อิ๋งเฟิงมีท่าทีเข้าใจขึ้นมา “โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว คุณหนูใหญ่สกุลไป๋รู้สึกเครียด และ้าสงบสติอารมณ์ จึงไม่อยากให้ผู้ใดติดตามอยู่ข้างกายใช่หรือไม่ขอรับ?”
“ประมาณนั้น”
ไป๋เซี่ยเหอเกาติ่งหู คิดไม่ถึงว่าคนเ็าอย่างฮั่วเยี่ยนไหวจะจัดแจงให้คนที่ถามมากเช่นนี้รับใช้อยู่ข้างกาย
จู้จี้ยิ่งกว่าฝูเอ๋อร์เสียอีก
“ขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยจะไม่รบกวนท่านกับท่านอ๋องแล้ว ห้องหนังสือของท่านอ๋องอยู่ทางนั้น ท่านไปเถิดขอรับ”
หลังจากบอกทางเรียบร้อยแล้วอิ๋งเฟิงก็ถอยออกไป กระทั่งไม่เห็นร่างของไปเซี่ยเหอตรงหน้าแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่า ห้องหนังสือของท่านอ๋องไม่ให้คนนอกเข้าไป
“จบแล้ว จบเห่แล้ว อีกประเดี๋ยวหากท่านอ๋องอารมณ์เสียขึ้นมา คงไม่ทำให้หวังเฟยโมโหจนหนีไปหรอกกระมัง”
อิ๋งเฟิงย่ำเท้าด้วยความหงุดหงิด แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปทางห้องหนังสือทันที
ไป๋เซี่ยเหอเดินไปทางห้องหนังสืออย่างชำนาญทางด้วยอารมณ์สับสน
ไม่ทราบว่าฮั่วเยี่ยนไหวค้นพบความผิดปกติของนางหรือไม่
นอกห้องหนังสือ
“พวกเ้าเข้าไปแจ้งท่านอ๋องสักคำได้หรือไม่? ข้าเข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็ออกมา”
น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนและเจือความอ้อนวอนเล็กน้อย ดวงตาของโหยวพิงถิงคลอด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร
กล่องอาหารที่ดูสวยงามถูกนางอุ้มไว้ในอ้อมแขน นางพยายามใช้อุณหภูมิร่างกายของตนเองทำให้อาหารข้างในไม่เย็นชืดเร็วเกินไปนัก
“เซ่อเจิ้งอ๋องไม่รับสำรับมาสองวันแล้ว พวกเ้าไม่ใช่ลูกน้องที่จงรักภักดีที่สุดหรือ? ไม่ใช่ว่าพวกเ้าควรยืนอยู่ฝั่งเดียวกับข้าแล้วบอกให้เขากินอะไรสักหน่อยหรอกหรือ?”
การวางมาดเป็จวิ้นจู่อะไรนั่นได้สลายกลายเป็ควันไปเนิ่นนานแล้ว สองวันนี้นางมาหาเขาสามครั้งต่อหนึ่งวันตามมื้ออาหาร ทว่าไม่อาจเข้าไปในห้องหนังสือได้เลยสักครั้ง จวิ้นจู่หรือเกียรติใดๆ นางไม่สนใจแล้ว ตอนนี้นางเพียง้าเข้าไปในห้องหนังสือเท่านั้น
“ขออภัย พวกข้าไม่อาจตัดสินใจเื่นี้ได้”
โหยวพิงถิงได้ฟังประโยคนี้มาสองวันแล้ว
แววตาที่ดูสุกใสและงดงามหม่นแสงลงทันที นางยิ้มอย่างดูแคลนตนเอง
นับั้แ่วันนั้น นางก็ไม่ได้พบฮั่วเยี่ยนไหวอีกเลย
เมื่อทำผิดพลาดร้ายแรง ก็กลายเป็ถูกเกลียดชังไปชั่วชีวิต
ทว่านางเพียง้าให้เขาห่วงใยและสนใจนางสักนิด เหตุใดถึงได้ยากปานนี้?
“คุณหนูใหญ่สกุลไป๋ รอข้าน้อยด้วยขอรับ”
อิ๋งเฟิงไล่ตามไป๋เซี่ยเหอมาอย่างกระหืดกระหอบ พลางเช็ดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงบนหน้าผาก
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคุณหนูใหญ่สกุลไป๋เดินเอื่อยๆ ราวกับกำลังเดินเล่น เหตุใดเขาที่วิ่งเหยาะๆ ถึงตามไม่ทัน? น่าแปลก น่าแปลกเกินไปแล้ว
โหยวพิงถิงได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงหันไปมอง ดวงตาฉายแววประหลาดใจ
นางรุดหน้าไป ก่อนจะกล่าวอย่างพยายามเก็บงำอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง “พี่สะใภ้ฟื้นแล้ว ไม่สบายตรงไหนอีกหรือไม่เ้าคะ? เหตุใดฟื้นแล้วถึงไม่ให้คนมาบอกข้า? ข้าจะได้ไปดูแลท่านเ้าค่ะ”
ระหว่างที่พูดก็วางท่าราวกับตนเองเป็นายหญิงของจวนเซ่อเจิ้งอ๋องก็ไม่ปาน
เมื่อไป๋เซี่ยเหอมองตาของอีกฝ่าย ก็เห็นเพียงแววตาอันสุกใส ไม่มีความชั่วร้ายหรือความไม่สบอารมณ์ในแววตาแต่อย่างใด กระทั่งตอนนี้ไป๋เซี่ยเหอก็ยังไม่ทราบว่านางเป็คนอย่างไรกันแน่
อิ๋งเฟิงสูดลมหายใจด้วยเกรงว่าไป๋เซี่ยเหอจะเข้าใจผิด ก่อนจะเอ่ยปากพร้อมกับยิ้มตาหยีทันที “เมื่อท่านอ๋องกลับมาก็จัดแจงให้ข้าอยู่ที่เรือนทังย่วน เพื่อให้ข้าคอยดูแลหวังเฟยในอนาคต ลำบากจวิ้นจู่เป็กังวลแล้วขอรับ”
โหยวพิงถิงหน้าซีด จวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “ข้า...ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น พี่สะใภ้ ท่านอย่าเข้าใจผิดนะเ้าคะ”
โหยวพิงถิงมีท่าทีใกล้จะร้องไห้ ราวกับถูกทำให้น้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง
เห็นแล้วไป๋เซี่ยเหอก็ปวดศีรษะเล็กน้อย “เ้าคิดมากไปแล้ว”
นางสลบไปนานปานนี้ โหยวพิงถิงยังไม่อาจเข้าไปในห้องหนังสือได้สักก้าว
ไม่มีความจำเป็ให้ต้องเข้าใจผิด
“อิ๋งเฟิง เ้าช่วยไปรายงานท่านอ๋องให้ข้าที”
การยืนรออยู่หน้าประตูห้องหนังสือ สู้การะโเข้าไปผ่านทางหน้าต่างอย่างอิสระไม่ได้เลยจริงๆ
หากเปลี่ยนเป็ผู้อื่นเอ่ยประโยคนี้ อิ๋งเฟิงคงเงยหน้าหัวเราะไปเนิ่นนานแล้ว
เบื้องหน้าคือสถานที่เช่นไร?
ห้องหนังสือของเซ่อเจิ้งอ๋องเชียวนะ!
นั่นคือสถานที่ที่นอกจากท่านอ๋องและอิ๋งเฟิงผู้เป็หัวหน้าของอินทรีโลหิตแล้ว ผู้อื่นล้วนไม่มีคุณสมบัติที่จะย่างกรายเข้าไป
โอ้ ไม่สิ ยังมีจิ้งจอกน้อยตัวนั้นที่ไม่เคารพกฎอีก
จนถึงตอนนี้ยังไม่มี ‘มนุษย์’ คนที่สามที่สามารถเข้าไปได้
เพียงแต่ในเมื่อนายหญิงในอนาคตเอ่ยปาก อิ๋งเฟิงก็เข้าไปแจ้งท่านอ๋องอย่างเชื่อฟัง
ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็เคยทำเื่เหนือความคาดคิดอย่างการอุ้มหวังเฟยในอนาคตมาแล้ว
ส่วนเื่เข้าไปในห้องหนังสือน่ะหรือ?
คงไม่จำเป็ต้องพูดกระมัง
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้