ขณะที่องค์หญิงทรงคิดว่าการประมือกับหนานิเหอวันนี้สมน้ำสมเนื้อ หนานิเหอเองก็คิดเช่นเดียวกัน การประลองกับองค์หญิงนับเป็่ที่กดดันที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับเขาเลย
แต่โชคดีที่ตานี้เขาฝืนเอาชนะมาได้
ณ วังหลวง
น้อยครั้งที่องค์หญิงจะรีบร้อนเข้าวังเช่นนี้ แต่ไม่กี่วันมานี้ฮองเฮาทรงพักกิจรักๆ ใคร่ๆ ไปเพราะเื่ของเยี่ยนเจาเจา จึงประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษรติดกันหลายคืน
เมื่อองค์หญิงมาถึง ฮองเฮาก็กำลังแก้ไขสารกราบทูลอยู่
เื่ของเยี่ยนเจาเจาอึกทึกครึกโครมมากจริงๆ โดยเฉพาะการกระทำบุ่มบ่ามขององค์หญิงที่บุกไปจับบุตรีของท่านโหวน้อยเยี่ยน ก่อให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โตไปทั่วเมืองเซียงเฉิงแล้ว
สารฟ้องร้องลอยกระแทกปั่กๆ ลงบนโต๊ะของฮองเฮา แม้พระองค์จะอยากปกป้องและเข้าข้างพระขนิษฐาของตนเองเพียงใดก็ยังต้องหาลู่ทางให้คนเหล่านี้ อย่าเมินกำลังของตนเองจนไปต่อต้านกับองค์หญิง
“เกิดอะไรขึ้น? วันนี้เจาเจาเป็อย่างไรบ้าง?”
แม้นฮองเฮาจะทรงทราบจากปากอาเหวินอาอู่ว่าเยี่ยนเจาเจาสบายดีแล้ว แต่เื่รายงานความปลอดภัยเช่นนี้ มีญาติพี่น้องของตนมาเอ่ยเองย่อมอุ่นใจกว่า
สายพระเนตรขององค์หญิงสอดส่ายมองนางกำนัลที่ปรนนิบัติรอบกายฮองเฮาด้วยสีพระพักตร์เคร่งขรึมแต่ไม่ไม่ได้ตรัสสิ่งใด
ฮองเฮากับพระขนิษฐาร่วมอุทรของพระองค์มักจะรู้เท่าทันกันเป็พิเศษ เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ขององค์หญิง พระองค์ก็ทราบทันทีว่าองค์หญิงมีธุระสำคัญจะสนทนาด้วย ฮองเฮาจึงเก็บแววหยอกล้อในดวงเนตรของตนเองลง แล้วส่งสายตาให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ถอยออกไปทั้งหมด
ประตูห้องทรงอักษรปิดสนิท นอกจากองครักษ์ลับคนสนิทไม่กี่นายของฮองเฮาแล้ว นางข้าหลวงทุกคนล้วนถอยห่างออกไปหลายสิบจั้ง ไม่ได้รับอนุญาตให้ฟังสารลับขององค์หญิงกับฮองเฮา
พระขนงขององค์หญิงขมวดมุ่นโดยไม่รู้ตัว “บ้านรองสกุลเยี่ยนสมคบคิดกับฝูอ๋อง”
สีพระพักตร์ฮองเฮาชะงักค้างไปชั่วขณะ พระองค์ทวนคำขององค์หญิง ก่อนวางฎีกาแนะนำในหัตถ์ตนเองลง พระขนงขมวดเล็กน้อย “มีหลักฐานหรือไม่?”
“เหตุการณ์ไข้ทรพิษของเจาเจาเป็หายนะที่แพร่ออกมาจากบ้านรอง ข้าสอบปากคำเสี่ยวจ้าวซื่ออยู่นานกว่าจะล้วงเื่ฝูอ๋องมาจากปากนางได้”
ระหว่างตรัสองค์หญิงก็ไม่เกรงใจ พระองค์ทรุดกายลงนั่งตรงข้ามฮองเฮาก่อนจะเคาะนิ้วลงบนโต๊ะแ่เบา “ระหว่างทางมาที่วัง ข้าก็ให้คนไปตรวจสอบแล้ว เื่ของซ่งฝูจินคราวนั้นอาจเกี่ยวข้องกับฝูอ๋องด้วย”
ฮองเฮาตอบรับเบาๆ และตกอยู่ในห้วงภวังค์
ทุกคนภายนอกก็รู้กันดังเช่นที่เยี่ยนเจาเจารู้ ว่าสมัยที่ฮองเฮาเหลียงฮุ่ยยังเป็พระธิดาองค์โตของฮ่องเต้ การที่พระองค์สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ก็เพราะฝูอ๋องผู้นี้มีคุณูปการอย่างยิ่งยวด ถึงขั้นเป็ขุนนางคู่กายชื่อเสียงเลื่องลือด้วยซ้ำ
แต่นอกเหนือจากทายาทสายตรงของฮองเฮาและผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนเล็กน้อยขององค์หญิง คนอื่นต่างไม่รู้ว่าฝูอ๋องคิดว่านี่เป็ความดีความชอบของตนเพียงฝ่ายเดียว ่ไม่กี่ปีมานี้เลยเริ่มเอาใจออกหากและซุ่มสะสมกองกำลังอย่างลับๆ
ฮองเฮาเองก็หวาดระแวงฝูอ๋องมานานแล้ว เพียงแต่ข้อพิพาทในราชสำนักไม่ใช่การละเล่นขายของ พระองค์ยังขาดหลักฐานสำคัญหลายอย่าง หากจะยกทัพทำาโดยไร้ข้ออ้าง เป็ใครก็คงไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามกับรากฐานที่หยั่งลึกหรอก อีกทั้งจวนฝูอ๋องยังเป็ที่รู้จักกันดีในหมู่ราษฎรด้วย
ตะเกียงกระเรียนสัมฤทธิ์ข้างพระวรกายฮองเฮาแว่วเสียงปะทุดัง “เปรี๊ยะ” ทำให้ความเงียบสงัดราวกับไร้ชีวิตในห้องทรงพระอักษรยิ่งชัดเจนมากขึ้น
ไม่นานเสียงเคาะประตูเบาๆ ขององครักษ์ลับพลันปลุกทั้งสองพระองค์จากห้วงความคิดของตน แล้วข่าวกรองที่เพิ่งออกมาสดๆ ร้อนๆ ฉบับหนึ่งก็ถูกวางลงบนโต๊ะของฮองเฮา
ปากของเสี่ยวจ้าวซื่อที่ว่าหนักแล้ว แต่บทลงโทษขององค์หญิงกลับหนักกว่า
หลักฐานที่ได้รับมาเพิ่มเติมจากปากของเสี่ยวจ้าวซื่อมีคำเชื่อมสำคัญอยู่ เมื่อตรวจสอบอีกครั้ง ทางฝั่งองค์หญิงก็คลำพบจุดโยงใยอีกเส้น
ชิงเหออ๋องทางตอนเหนือซึ่งเป็หอกข้างแคร่ของราชวงศ์ต้าซีเหมือนกัน ก็ได้ข้องเกี่ยวกับฝูอ๋องถึงขั้นต้องสงสัยว่ามีส่วนพัวพันด้วย
และเื่หนึ่งที่ชัดเจนที่สุดคือชิงเหออ๋องยืมมือฝูอ๋องตามหาคนสำคัญในเมืองเซียงเฉิง
ทว่าหลังจากสืบมาระยะหนึ่งก็ยังไม่พบตัวตนของคนผู้นี้ เลยคาดว่าน่าจะตายไปแล้ว คนของชิงเหออ๋องจึงผละจากไปั้แ่เนิ่นๆ
เมื่อฮองเฮาอ่านรายงานจบก็อดแย้มสรวลเ็าไม่อยู่ พระองค์ขว้างฎีกาแนะแนวในหัตถ์ของตนลงบนพื้น “จวนเยี่ยนช่างกำเริบเสิบสานนัก เขาคิดว่าขึ้นเรือของฝูอ๋องแล้วจะสุขสบายหายห่วงหรือ?”
ร่องรอยความกังวลมากมายปรากฏขึ้นในดวงเนตรขององค์หญิง “พวกเราไม่จำเป็ต้องวิตกเื่จวนเยี่ยน แต่เป็ฝูอ๋องมากกว่า”
พระองค์ใช้หัตถ์แตะน้ำชา เขียนตัวอักษร “ฝู” เลือนรางบนโต๊ะ
“เรารู้อยู่แล้วว่าเสด็จอาคงนั่งไม่ติด คิดแต่จะขึ้นมาแทนที่เราอยู่ทุกวี่ทุกวัน”
พระพักตร์ของฮองเฮาทั้งเยือกเย็นและงดงาม ดวงเนตรที่ปกติอ่อนโยนลึกซึ้งปรากฏความคมปลาบเฉกเช่นองค์หญิงขึ้นมา
“อาฮุ่ย หากแค่ฝูอ๋องเพียงคนเดียว พวกเรายังมีโอกาสชนะถึงเจ็ดส่วน แต่หากพัวพันถึงชิงเหออ๋อง โอกาสชนะคงจะไม่ถึงห้าส่วนแล้ว”
องค์หญิงถอนปัสสาสะ
ฝูอ๋องกับชิงเหออ๋องล้วนเป็หอกข้างแคร่ แต่เมื่อคิดดูแล้ว อย่างไรฝูอ๋องก็นับว่าเป็คนสกุลเหลียง ส่วนชิงเหออ๋องเป็อ๋องต่างแซ่ เมื่ออิงจากดินแดนในที่ทั้งสองเตรียมพร้อมบุกเหมือนกัน หากพวกเขาร่วมมือกันก็เกรงว่าอัตราชนะของฝั่งพวกนางค่อนข้างต่ำจริงๆ
แม้องค์หญิงจะเชี่ยวชาญการนำทัพกรำศึกและพลิกแพลงพิชัยยุทธ์ แต่ท่ามกลางแผนการร้ายเปลี่ยนถ่ายอำนาจเช่นนี้ ความสามารถของนางจึงค่อนข้างไม่อำนวยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อาฮุ่ย เอาอย่างไรดี?”
ฮองเฮาทรงพระสรวลเ็า
พระองค์มีความคิดนับพันวนเวียนอยู่ในพระทัย แต่ยังไม่ตรัสออกมา เพียงถามกลับอย่างกะทันหันว่ารอบนี้เยี่ยนเจาเจาพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร
เมื่อองค์หญิงอธิบายให้ฟังอย่างสั้นๆ และกระชับ ฮองเฮาก็พลันยกริมพระโอษฐ์สรวลเยียบเย็น “เจาเจายังหลอกได้ แล้วเหตุใดเราจะทำไม่ได้เล่า?”
ตราพยัคฆ์อีกชิ้นอยู่ในพระหัตถ์ของฮองเฮา พระองค์หยิบตราพยัคฆ์นั้นออกมาจากข้างตราราชลัญจกรหยกอีกฝั่ง ก่อนผลักตราราชลัญจกรหยกออกไปอย่างไม่ไยดี... “พวกเขา้าอะไร เราก็วางหราตรงหน้าพวกเขาเสียเลย”
สีพระพักตร์ขององค์หญิงเปลี่ยนฉับพลัน “แผนนี้ไม่บ้าบิ่นเกินไปหรือ!”
ดวงเนตรของฮองเฮาเฉียบขาดขึ้น “ในสถานการณ์ตอนนี้ หากยังประนีประนอมอีก พวกเราย่อมโดนตัดกำลังก่อนเป็แน่…ส่วนเื่ของบ้านรอง เมื่อถึงวันพรุ่งนี้จวนฝูอ๋องก็จะรู้ เ้าว่าเสด็จอาคนดีของพวกเราจะยังนิ่งเฉยได้อยู่ไหม!”
“หากชักจูงให้เสด็จอาลงมือก่อน เ้าคิดว่าตาแก่ชิงเหออ๋องนั่นจะนั่งติดหรือ? พวกเราเพียงนอนจำศีลในความมืดซุ่มดูพยัคฆ์กัดกันไปพลางๆ แล้วค่อยฉวยโอกาสโจมตี เมื่อนั้นอัตราชนะของพวกเราจะไม่ใช่ห้าส่วน แต่มีเก้าส่วนเป็อย่างต่ำ”
ความละโมบ ความปรารถนา และความโลภมักจะมาโดยไม่ได้รับเชิญ ซึ่งฮองเฮาก็ไม่มีวันปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เล็ดลอดออกไปสู่คนที่ไม่คู่ควรเด็ดขาด
ในบางแง่มุม นิสัยของฮองเฮาก็บ้าระห่ำและทำตามอำเภอใจยิ่งกว่าองค์หญิงเสียด้วยซ้ำ
องค์หญิงยังคงขมวดพระขนงโดยไม่ตรัสสิ่งใด ในพระทัยกำลังใคร่ครวญถึงผลสำเร็จจากเนื้อความนี้ ทว่าพระพักตร์ของฮองเฮากลับเผยความสนุกไม่จริงจังออกมาแล้ว
“ข้ารู้ว่าเ้าไม่เคยทำศึกที่ไม่เตรียมพร้อม แต่สถานการณ์ตอนนี้มีเพียงต้องประจัญบานเท่านั้น…หากสู้สำเร็จ ฝูอ๋องจะแตกพ่ายไปในคราวเดียว และชิงเหออ๋องก็ต้องบอบช้ำสาหัสแน่นอน
หมากตานี้ชิงเริ่มก่อนได้เปรียบ และเวลานี้คือ่ที่ดีที่สุด”
ฮองเฮาไตร่ตรองไว้ทั้งหมดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็แผนการร้ายหรือการเล่นกับอำนาจ…ล้วนเป็ทักษะที่ฮองเฮาเชี่ยวชาญมาั้แ่อยู่ในครรภ์พระมารดา หากพระองค์ไม่หยิ่งผยองกล้าได้กล้าเสีย ตำแหน่งฮองเฮาผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าซีของพระองค์ก็อาจจะไม่มั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้
พระเนตรงดงามของฮองเฮาสงบลง ก่อนจะตบพระหัตถ์ลงเบาๆ บนพระอังสาขององค์หญิงเป็การปลอบโยน พระสุรเสียงที่เอ่ยก็อ่อนลงด้วย “อาฉง หมากตานี้ครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับข้า อีกครึ่งขึ้นอยู่กับเ้า แผ่นดินของเสด็จพ่อพวกเราน่าจะอยู่ที่ศึกครานี้แล้ว”
ฮองเฮาไม่แทนตัวว่า “เรา” อีกต่อไป
จะว่าไปก็เป็เื่แปลก โดยปกติแล้วชนชั้นราชวงศ์มักเป็ครอบครัวที่มีความสัมพันธ์เ็าและฉาบฉวยต่อกันที่สุด โดยเฉพาะพี่น้องที่แก่งแย่งชิงดีกันก็ยิ่งเห็นบ่อยจนชาชินมาั้แ่โบราณกาล ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหลียงฮุ่ยกับเหลียงฉงกลับแตกต่าง
ฮองเฮาไม่เคยวางมาดสูงส่งคับฟ้าต่อหน้าองค์หญิง สายพระเนตรยามมององค์หญิงก็มักจะอยู่ระดับเดียวกันเสมอ บางคราถึงขั้นอ่อนลงด้วยความนับถือเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ฝนยามราตรีกาลทั้งเงียบสงบและเสียงดังไปในคราวเดียวกัน ลมกรรโชกแรงพัดพาละอองฝนมาตกกระทบลงบนผ้าโปร่งสีเขียวที่ติดอยู่นอกหน้าต่างอย่างหนาแน่นราวกับจะกระทบจิตใจของผู้คนในห้องทรงพระอักษรด้วย
เปาะแปะ เปาะแปะ เปาะแปะ
สามชั่วอึดใจ องค์หญิงก็เข้าพระทัย
ความจริงแล้วนี่นับเป็โอกาสทองดังว่า หากพลาดโอกาสนี้ไปก็คงจะลงมือกับฝูอ๋องที่เริ่มระวังตัวยากขึ้นไปอีก
ใครเล่าจะคิดว่าการขัดแย้งของขั้วอำนาจที่พลิกผันคาดเดาไม่ได้ที่สุดในต้าซีครานี้ จะค่อยๆ เปิดฉากขึ้นจากการทะเลาะของพี่น้องหญิงในเรือนหลัง?
องค์หญิงยกพระหัตถ์ตีแผ่นหลังของฮองเฮาอย่างหยอกล้อ ก่อนหยิบตราพยัคฆ์ของตนเองและของฮองเฮามาประกอบเข้าด้วยกัน แล้วพระพักตร์คล้ายคลึงกันของทั้งสองพลันฉายแววแน่วแน่ขึ้นมาเหมือนกัน
เมื่อองค์หญิงเห็นความร้ายกาจเหนือการควบคุมที่เล็ดลอดออกมาเล็กน้อยจากั์เนตรของฮองเฮา ในหัวของพระองค์ก็ปรากฏภาพบุตรสาวตัวน้อยขึ้นมาอย่างหาได้ยาก…ในดวงตาของเยี่ยนเจาเจาก็มักจะมีความกล้าหาญที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ หรือพระองค์จะแก่แล้วจึงอ่อนแอขี้กังวลขึ้นเรื่อยๆ กันนะ?
“เื่นี้ต้องขอบคุณเจาเจาจริงๆ”
ท่าทางของฮองเฮาผ่อนคลายลงชั่วขณะ ทว่าแม้จะผ่อนปรนลงเช่นนี้ แต่แผ่นหลังของพระองค์กลับไม่ค่อมเลยสักนิด แล้วพระองค์ก็เอื้อมมือไปหยิบม้วนผ้าไหมสีเหลืองทองออกมาจากช่องลับด้านข้าง ก่อนจะจุดไฟเผามัน
“ราชโองการแผ่นนี้เบาเกินไป หากเื่นี้สำเร็จแล้ว ค่อยเปลี่ยนอันที่ใหญ่ขึ้นให้เจาเจาเล่นใหม่”
ฮองเฮาอดเลียฟันเขี้ยวของตนไม่ได้ สีพระพักตร์ดุร้ายและกระตือรือร้นของพระองค์เหมือน่เวลาที่ตัดสินใจแย่งชิงอำนาจเมื่อสิบปีก่อนไม่มีผิด ราวกับสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดพลันได้กลิ่นคาวเืจนกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมา
“สำเร็จก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
องค์หญิงกล่าวหยอกล้อออกไป
เสียงฟ้าผ่านอกหน้าต่างดังครั่นครื้น สายฟ้าผ่าแบ่งท้องนภาออกเป็หลายซีก
“ในเมื่อตัดสินใจแล้วข้าก็จะไม่รั้งรออีก สิ่งต่างๆ ซับซ้อนรัดตัว น้องจะปฏิบัติตามคำสั่งให้สำเร็จ ฝ่าาได้โปรดวางพระทัย”
องค์หญิงเก็บสีหน้าหยอกล้อเล็กน้อยของตนเอง ก่อนจะลุกยืนขึ้นเบื้องหน้าฮองเฮา แล้วประสานมือ ถอยหลังครึ่งก้าว และคารวะอย่างเคารพสุดซึ้ง
เพื่อตอบแทนบุญคุณความเมตตาที่ปูนบำเหน็จของพระเ้าแผ่นดิน นางยินดีถือดาบรบจนตัวตาย
นับั้แ่่เวลานี้ องค์หญิงจะกลายเป็แม่ทัพที่สวมเสื้อเกราะเข้าสนามรบอีกครั้ง
รัตติกาลนี้ ได้ถูกลิขิตว่าเป็ค่ำคืนที่ไม่อาจหลับใหลแล้ว
ต้นคิมหันตฤดูในปีซุ่นเต๋อที่ 17 สวนมวลบุปผาหอมเกิดเพลิงไหม้ขึ้นอย่างกะทันหัน ทว่าองค์หญิงฉงหยางและธิดาเยี่ยนเจาเจาหลบหนีไม่ทัน จึงสิ้นชีพกลางกองเพลิง
ฮองเฮาพระทัยสลายจนโรคเก่ากำเริบ ทั้งยังไอเป็โลหิตคาท้องพระโรง หลังว่าราชการจบก็สลบไม่ได้สติไปในทันที
เมืองต้าซีวุ่นวายโกลาหล เื่ราวเหล่านี้เกิดขึ้นรวดเร็วฉับพลันจนใครก็ตั้งตัวไม่ทัน
องค์หญิงสิ้นพระชนม์แล้ว ส่วนฮองเฮาก็สลบไสล แต่ราชสำนักไม่อาจขาดพระเ้าแผ่นดิน
ทว่าฮองเฮาไม่เคยแต่งตั้งองค์รัชทายาท ราชสำนักจึงปั่นป่วนตามไปด้วย และท่าทีของแต่ละฝ่ายก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
อาณาประชาราษฎร์เองต่างก็แพร่กระจายข่าวลือว่าฮองเฮาคงจะสิ้นพระชนม์ในเร็วๆ นี้เช่นกัน เหล่าประชาชนจึงเชิญฝูอ๋องผู้เป็เสด็จอาเฒ่าที่ฝึกปรือความสามารถมานานแต่ยังไม่แก่ มาขึ้นรับตำแหน่งเป็ผู้สำเร็จราชการชั่วคราว และสนับสนุนองค์ชายใหญ่ที่เป็พระโอรสคนโตให้สืบราชบัลลังก์เพื่อชี้นำระบอบบ้านเมืองต่อไป
ดังนั้นาเย็นที่โชยกลิ่นคาวเืคละคลุ้งที่สุดนับั้แ่ก่อตั้งราชวงศ์ต้าซีจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ ณ บัดนี้ และทางประวัติศาตร์เรียกมันว่า “ฏจิงเซียง”
เยี่ยนเจาเจารู้สึกว่าตนเองหลับไปนานมากจริงๆ
นานจนกระทั่งััได้รางๆ ว่านางถูกใครบางคนอุ้มขึ้นมา โชคดีที่กลิ่นอายบนร่างคนผู้นี้เป็กลิ่นที่คุ้นเคย นางจึงไม่รู้สึกถึงอันตราย
หลังจากหลับๆ ตื่นๆ อยู่นาน นางก็ฟื้นขึ้นมาในท้ายที่สุด
เยี่ยนเจาเจารู้สึกได้ว่าร่างกายของตนโคลงเคลงเล็กน้อยจึงลืมตาขึ้น แต่ยังไม่ทันตั้งสติได้ดีก็รู้สึกว่าอ้อมแขนที่โอบรัดรอบตัวนางพลันคลายออก
เยี่ยนเจาเจาจึงสังเกตเห็นว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน บนร่างยังห่มเสื้อคลุมใหญ่หนาจนตัวนางไม่โดนความหนาวแม้แต่นิด
แผ่นอกของเขาช่างอบอุ่น กล่อมให้เยี่ยนเจาเจาเคลิ้มจวนจะหลับ
ทว่าเยี่ยนเจาเจาพลันรู้สึกตัวขึ้นมา เรือนเหมยแดงจะสั่นคลอนได้อย่างไร?
ใจของนางหวั่นผวา เลยลืมตาพรึ่บและชะโงกหัวออกมาจากใต้เสื้อคลุม
“พี่ชายรอง ที่นี่ที่ไหนเ้าคะ?”
เยี่ยนเจาเจาเอ่ยยังไม่ทันสิ้นเสียง สติสัมปชัญญะก็กลับมาครบถ้วน
เมื่อสังเกตรอบๆ หนหนึ่ง นางจึงพบว่าตนเองอยู่ในพื้นที่เล็กแคบ ซ้ายขวามีหน้าต่างอย่างละบาน ซึ่งตอนนี้มันปิดอยู่เลยไม่เห็นทิวทัศน์ข้างนอก
ชัดเจนว่ากำลังอยู่ในรถม้าสักคัน
แต่มันเป็รถม้าที่เรียบง่ายโกโรโกโสเกินไปสำหรับฐานะของเยี่ยนเจาเจา
รถม้าของนางล้วนปูพื้นจากผ้าแพรเกล็ดหิมะผืนละพันตำลึงทอง ทั้งยังบุด้วยขนห่านฟูฟ่องนุ่มนิ่ม ต่อให้เคลื่อนตัวบนถนนขรุขระก็ไม่มีทางโคลงเคลงอึดอัดเช่นนี้
“อยู่ชานเมืองหลวงแล้ว”
หนานิเหอตื่นพอดีเช่นกัน ั์ตาของเขายังคงฉ่ำน้ำจากตอนตื่น แต่กลับนิ่งสงบลงแล้ว
“ไปชานเมืองหลวงทำไมเ้าคะ?” เยี่ยนเจาเจาขมวดคิ้ว
“ยามนี้เมืองเซียงเฉิงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป องค์หญิงจึงหาอาจารย์ใหม่มาให้ข้ากับเ้า และส่งพวกเราออกจากเมืองเซียงเฉิงด้วยฐานะที่ต่างออกไป”