บทที่ 3 กระแสพลังิญญา
บนลานฝึกยุทธ์ ฉู่อวิ๋นนั่งขัดสมาธิ เริ่มต้นฝึกฝนด้วยตนเอง หายใจช้าๆ กระแสจิตของเขาโคจรตามเส้นลมปราณของร่างกาย และเริ่มไต่ไปตามเส้นทางของวงแหวนห้าิญญา เตรียมปลุกกระบี่บาป์
กระแสจิตของเขาค่อยๆ รวมตัวกันที่ระหว่างคิ้วและเข้าสู่ทวารรับแสงศักดิ์สิทธิ์
มองเห็นกระบี่สีดำเรียบง่ายที่หักท่อนอยู่ ตัวกระบี่หักหายไปครึ่งหนึ่ง มันลอยอยู่เงียบๆ คล้ายไร้ซึ่งร่องรอยของชีวิต
"วิ้ง--"
ในขณะที่กระแสจิตของฉู่อวิ๋นปกคลุมทั่วทั้งทวารรับแสงศักดิ์สิทธิ์ ิญญายุทธ์กระบี่บาป์ก็สั่นอย่างรุนแรงและเปล่งแสงสีดำเข้มออกมาทีละดวง
จากนั้นไม่นาน ิญญายุทธ์กระบี่บาป์ก็คล้ายเริงร่า หมุนวนไปมาในทวารรับแสงศักดิ์สิทธิ์
"ครืด-"
กระบวนท่าที่สาม ประกายทมิฬ ที่อันเงียบสงบรอบๆ ดูเหมือนจะถูกก้อนหินขนาดใหญ่ทลายลงใส่กะทันหัน ทำให้กระแสพลังดินฟ้าพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับคลื่นพายุที่ซัดเข้าหาชายฝั่ง พลุ่งพล่านไปทุกทิศทาง!
ราวกับได้ยินเสียงเพรียกของิญญากระบี่บาป์ กระแสพลังภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้[1]พุ่งไปยังลานด้านตะวันออกของตระกูลฉู่ราวกับคลื่นขนาดใหญ่ และในที่สุดก็รวมตัวกันเป็กระแสน้ำวนขนาดั์ที่ลอยวนอยู่เหนือศีรษะของฉู่อวิ๋น
“ครืน——”
กระแสพลังดินฟ้าถูกิญญากระบี่บาป์ดึงดูด กลายเป็งูพลังปราณขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งเริ่มลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของฉู่อวิ๋นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อััได้ถึงพลังปราณที่ถาโถม ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกยินดียิ่ง เขารักษาจิตใจให้ตั้งมั่นทันที ก่อนจะนำพลังปราณเข้าสู่ร่างกายต่อไป
กระแสปราณเคลื่อนที่ตามแผนภาพของวงแหวนห้าิญญา ทะลวงผ่านร่างกายของฉู่อวิ๋นอยู่หลายครั้งก่อนจะกลายเป็พลังปราณโบราณที่บริสุทธิ์และอ่อนโยน และหลั่งไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของเขาในที่สุด
ในเวลาเดียวกัน ปรมาจารย์ิญญาบางคนในเมืองไป๋หยางที่ััได้ถึงความผันผวนของกระแสพลังิญญาก็ตื่นขึ้น พวกเขาเดินออกจากห้องและมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
มองเห็นเมฆาเคลื่อนตัวไปทุกทิศทางในยามค่ำคืน แต่พลังิญญาที่มองไม่เห็นก็เหมือนกับคลื่นน้ำที่พลุ่งพล่านอย่างรุนแรง!
“หืม? ดึกขนาดนี้ ศิษย์บ้านใดกำลังฝึกฝนกัน ถึงขั้นเรียกกระแสพลังิญญาได้!”
"เรียกหากระแสพลังได้ขนาดนี้ ระดับิญญายุทธ์ไม่ใช่ย่อยเป็แน่!"
“หรือจะเป็นังหนูอัจฉริยะจากตระกูลฉู่คนนั้น ไม่สิ...ิญญายุทธ์ของนางเพิ่งอยู่ระดับหกเท่านั้น เรียกหากระแสพลังิญญาเช่นนี้ไม่ได้หรอก!”
“ดูเหมือนว่าในเมืองไป๋หยางจะมีอัจฉริยะเกิดขึ้นอีกคนแล้ว ไม่รู้ว่ามาจากบ้านตระกูลใด ได้บุตรเช่นนี้ ย่อมเป็์คุ้มครอง เส้นทางภายหน้าย่อมไร้อุปสรรคเป็แน่!”
แน่นอนว่าฉู่อวิ๋นไม่ได้ยินคำพูดชื่นชมเ่าั้ ครึ่งชั่วยามต่อมา จุดตันเถียนของเขาก็เต็มไปด้วยพลังปราณ เขาโคจรพลังปราณเข้าสู่ร่างกายเป็ครั้งแรก จนไปถึงจุดสูงสุดของระดับแรกของขั้นขอบเขตควบแน่นพลังปราณ
โดยทั่วไปแล้วสำหรับนักรบิญญาธรรมดา ครั้งแรกที่จะโคจรพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้สำเร็จต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ชั่วยาม แต่ฉู่อวิ๋นที่อาศัยกระแสพลังิญญาและประสิทธิภาพการฝึกของแผนภาพวงแหวนห้าิญญา จึงฝึกฝนได้เร็วกว่าผู้อื่นอยู่แปดเท่า
เขาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็โคจรพลังปราณสำเร็จ
“พลังปราณเต็มเร็วขนาดนี้เชียว เช่นนั้นก็มาเริ่มฝึกขั้นสองกันเถอะ! แต่การดูดซับพลังิญญานั้นเคลื่อนไหวมากเกินไป จำเป็ต้องควบคุมิญญากระบี่บาป์ไว้ให้ดี”
ใต้หล้านี้มีผู้มีบุญอายุน้อยนับไม่ถ้วนที่ถูกรัดคอตายั้แ่ยังแบเบาะ[2] หากถูกเ้าบ้านพบเข้า ผลที่ตามมานั้นเกินจะคาด ความระวังเดินเรือได้พันปี[3] ตื่นตัวไว้หน่อยจึงจะเป็การดี
ทันใดนั้น ฉู่อวิ๋นก็หยุดดูดซับพลังิญญา และเริ่มทะลวงปราณที่จุดตันเถียนเพื่อก้าวเข้าสู่ขั้นถัดไป
ขอบเขติญญายุทธ์แบ่งออกเป็สี่ขั้น ได้แก่ ขั้นขอบเขตควบแน่นพลังปราณ, ขั้นมหาสมุทร, ขั้นพื้นพิภพ และขั้นเทียมฟ้า ในแต่ละขั้นหลักก็จะแบ่งออกเป็เก้าระดับย่อย
ขั้นลำดับอันยิ่งใหญ่ทั้งสี่นี้ เรียกว่า สี่ขั้นแห่งมนุษย์ ส่วนลำดับขั้นที่สูงกว่านั้น นับว่าเกินคว้า หาใช่สิ่งที่มนุษย์อาจหาญเอื้อมได้
ระดับแรกของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ คือขั้นดูดซับพลังิญญา ตราบใดที่ิญญายุทธ์ตื่นขึ้นก็นับได้ว่ามีความก้าวหน้าแล้ว
จากนั้นก็มาถึงขั้นการปรับชีพจร
เส้นลมปราณในร่างกายของมนุษย์มีทั้งหมดหกสิบสี่เส้น ซึ่งแบ่งออกเป็เส้นลมปราณหลัก เส้นลมปราณเสริม และเส้นลมปราณอัศจรรย์
เส้นลมปราณหลักมีทั้งหมดสิบแปดเส้น ได้แก่ เส้นลมปราณหยาง[4]เก้าเส้น เส้นลมปราณหยิน[5]เก้าเส้น และมีเส้นลมปราณเสริมทั้งสิ้นสามสิบแปดเส้น โดยมีคุณลักษณะเป็กลางต่อร่างกาย
ในขณะที่ร่างกายมีเส้นลมปราณอัศจรรย์เพียงแปดเส้นเท่านั้น ซึ่งกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เป็เส้นลมปราณที่ยากที่สุดในการฝึกฝน
หลังจากที่นักรบิญญาเปลี่ยนพลังิญญาเป็พลังปราณได้ ก็สามารถรวบรวมพลังิญญาที่มีทะลวงเส้นลมปราณเส้นอื่นต่อ เพื่อให้เส้นลมปราณธรรมดาค่อยๆ เปลี่ยนเป็เส้นิญญาได้
การทะลวงเส้นลมปราณหลักหยางทั้งเก้าเส้น เป็ระดับสองของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ
การทะลวงเส้นลมปราณหลักหยินทั้งเก้าเส้น เป็ระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ
การทะลวงเส้นลมปราณเสริมทั้งสามสิบแปดเส้น เป็ระดับสี่ของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ
การทะลวงเส้นลมปราณอัศจรรย์ทั้งแปดเส้น เป็ระดับห้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ
แต่ละระดับซับซ้อนขึ้นทุกระดับ
แต่ละระดับยากเย็นขึ้นทุกระดับ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ทิศบูรพาปรากฏแสงแรกแห่งอุทัย เมฆซ้อนสลับสีขาวปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า
ในเวลานี้ ผิวของฉู่อวิ๋นอาบไปด้วยสิ่งสกปรกสีดำที่ไหลออกมาเนื่องจากการเปิดเส้นลมปราณ เมื่อมองไกลๆ ร่างเขาดูคล้ายดินเหนียว
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ลุกออกจากสถานที่นี้เลยนับั้แ่เริ่มทะลวงเส้นลมปราณ
"วา!"
ทันใดนั้น เสียงคำรามลึกลับก็ดังออกมาจากร่างของฉู่อวิ๋น ทะลวงเส้นลมปราณหลักทั้งหมดได้สำเร็จแล้ว!
และแล้วเส้นลมปราณหลักทั้งสิบแปดเส้นก็สว่างวาบ เส้นลมปราณหยินหยางเต็มไปด้วยพลังหยินและหยางกลมกลืน ก่อตัวเป็วงโคจรลึกลับ ขณะนั้น จุดตันเถียนขยายตัวอีกครั้ง และพลังปราณก็พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ ทะลวงสำเร็จ!
"สำเร็จแล้ว!"
ทันใดนั้นฉู่อวิ๋นก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นแสงระยิบระยับสะท้อนออกมา
ระดับพลังยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้นจากศูนย์ไปจนถึงระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณในชั่วข้ามคืน เร็วจนน่าใ! ขนาดฉู่เฮ่าที่ปลุกิญญายุทธ์ระดับสามได้ ยังต้องใช้เวลาหนึ่งปีเต็มเพื่อฝึกให้ถึงระดับนี้
“ในคืนเดียวก็ทะลวงได้ถึงสองขั้น!”
“สิ่งที่เรียกว่าพลังปราณโบราณ น่าอัศจรรย์นัก”
แต่ฉู่อวิ๋นก็แอบกังวลกับความเร็วในการฝึกฝนของเขาอยู่เช่นกัน เขารู้สึกว่าแผนภาพวงแหวนห้าิญญาที่นำมาใช้ฝึกพลังปราณโบราณนั้น ช่วยให้ทะลวงเส้นลมปราณได้อย่างราบรื่น
หลังจากที่เส้นลมปราณถูกเปลี่ยนเป็เส้นิญญาแล้ว ไม่เพียงแต่คุณสมบัติจะเปลี่ยนไป แต่ขนาดเส้นของพวกมันก็หนาขึ้นด้วย!
สิ่งนี้ทำให้ประสิทธิภาพการฝึกฝนพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นในทันที เมื่อครู่เพิ่งใช้พลังิญญาเพื่อฝึกฝนเส้นลมปราณ ทันใดนั้นจุดตันเถียนที่ว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยพลังปราณขึ้นมาอีกครั้ง
ดังนั้น แม้ว่าจุดตันเถียนของฉู่อวิ๋นจะมีพลังปราณเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็สามารถใช้ความเร็วนี้ทำให้เกิดผลการฝึกฝนที่น่าอัศจรรย์ขึ้นมาได้
ฉู่อวิ๋นลุกขึ้นยืนและเคลื่อนตัวไปมา เมื่อได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บของกระดูก เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที!
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพลังงานที่หลอมรวมและทรงพลังในร่างกาย แม้แต่าแลึกบนไหล่ของเขาก็ค่อยๆ กลายเป็แผลเป็
"ฟึบ ฟับ "
หมัดตรงสองสามหมัดถูกปล่อยออกไป ดุดันคล้ายเสือทะยานเต็มแรง!
“ช่างเป็พลังที่สมบูรณ์แบบ!”
ฉู่อวิ๋นกำหมัดไว้แน่น ก่อนสังเกตเห็นว่าร่างกายของเขาอาบไปด้วยชั้นตะกอนสีดำ ซึ่งเป็สิ่งสกปรกที่ถูกขับออกมาจากการเปิดเส้นลมปราณ ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นออกมา
เมื่อได้กลิ่นแปลกๆ ฉู่อวิ๋นจึงไปอาบน้ำอุ่นเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก จากนั้นสวมเสื้อผ้าที่สะอาดแล้วกลับไปที่ลานฝึกยุทธ์เช่นเดิม
“ตอนนี้ข้าฝึกมาถึงระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณแล้ว เช่นนั้นพลังของข้าจะเพิ่มขึ้นเท่าใดกัน?”
ฉู่อวิ๋นเดินมาหยุดที่หินสีดำน้ำตาลแดงบนลานฝึกยุทธ์ เตรียมพร้อมและกระตือรือร้นที่จะลองดูสักครั้ง
หินลึกลับนี้เป็หินทดสอบหลักที่ใช้ทดสอบความแข็งแกร่งของนักรบ หากออกหมัดแล้วทิ้งรอยประทับเอาไว้บนหินได้ ก็พิสูจน์ได้ว่าพลังนั้นสูงถึงสี่ร้อยจินแล้ว และอยู่ในระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ
ฉู่อวิ๋นปรับลมหายใจ เตรียมพร้อมในท่ายองๆ และะโเสียงดังออกมา หมุนเวียนพลังปราณ และออกหมัดลงบนหินด้วยพลังทั้งหมดที่มี
"ตึง!"
รอยฝ่ามือปรากฏลึกบนพื้นหินสีดำ
“ก็ไม่เลว ไปถึงสี่ร้อยจินได้… หืม?”
ยังไม่ทันจะพูดจบ ฉู่อวิ๋นก็พบว่ามีรอยแตกร้าวค่อยๆ กระจายออกมาจากบริเวณใกล้กับรอยฝ่ามือ จากนั้นไม่นาน หินสีดำทั้งก้อนก็แตกกระจายกลายเป็หินก้อนเล็กๆ
“มัน...แตกแล้วรึ?!”
ฉู่อวิ๋นสะดุ้งและจ้องมือของเขาอย่างไม่เชื่อ
การทำลายหินทดสอบพลังนั้น ต้องใช้แรงอย่างน้อยแปดร้อยจิน นั่นเป็มาตรฐานความแข็งแกร่งสำหรับนักรบระดับสี่ในขอบเขตควบแน่นพลังปราณ
แต่ตอนนี้ฉู่อวิ๋นกลับทำลายหินทดสอบด้วยฝ่ามือเดียว เห็นได้ชัดว่า พลังของเขาเกินระดับสามของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ และทะลุไปถึงระดับสี่ของขอบเขตควบแน่นพลังปราณแล้ว
ฉู่อวิ๋นหายใจอย่างรวดเร็ว เผยรอยยิ้มกว้างบนริมฝีปาก จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและพึมพำกับตัวเอง "เช่นนั้นข้าในตอนนี้ สามารถเทียบกับคนผู้นั้นได้หรือยังนะ?"
รูปร่างที่เคลื่อนไหวอย่างสง่างามปรากฏขึ้นในใจ และจู่ๆ ฉู่อวิ๋นก็เริ่มกังวล
สำหรับแผ่นหลังอันงดงามนั้นแล้ว เขาคล้ายจะมีความจงเกลียดจงชังมันอยู่ไม่น้อย
ฉู่อวิ๋นหายใจออกยาวๆ ไม่ได้หมกมุ่นกับมันนานเกินไปนัก แม้ว่าการฝึกฝนของเขาจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวะโ แต่เขาไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้จริง เส้นทางการฝึกฝนยังอีกยาวไกล
ตระกูลหลักร่ำรวยเงินทอง มีอำนาจจัดสรรเสาะหาของวิเศษมาช่วยให้นักรบรุ่นเยาว์ฝึกฝนได้ ทั้งยังมีคนคอยรับใช้มากมาย ในทางกลับกัน ฉู่อวิ๋นมีเพียงตัวคนเดียว ทั้งยังมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการฝึกสักเท่าใดนัก
“ข้ายังห่างชั้นจากพวกเขานัก เพื่อพลังที่แข็งแกร่ง ข้าต้องรีบฝึกทักษะกระบี่”
บนหอเทียนเซียงของเมืองไป๋หยาง ในห้องส่วนตัวที่หรูหรา ปรมาจารย์ิญญาหลายคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่รอบโต๊ะ
“ได้ยินมาว่าจวนหลินมีนักรบิญญาเพิ่มขึ้นมานี่ เช่นนั้นขอถามนายท่านจวนหลิน ไม่ทราบว่านักรบิญญาจวนท่านปลุกิญญายุทธ์อันใดขึ้นมาหรือ?”
“ผู้เฒ่ากุ่ย ท่านอย่าไปเชื่อเื่ตามลม[6]เช่นนั้น นังหนูบ้านข้าเพิ่งปลุกิญญายุทธ์ระดับสามขึ้นมาได้ ไหนเลยจะทำให้เกิดกระแสพลังิญญาได้…”
"หรือว่า...จะเป็คนจากจวนเ้าเมืองมู่หรง? ข้าพอได้ยินมาว่า เมื่อไม่นานมานี้ ป่าสนธยานอกเมืองเริ่มปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็ไปได้ว่าเพราะเ้าเมืองได้เชิญนักรบที่แข็งแกร่งมา!"
"ไม่น่าจะใช่กระมัง ทิศทางของกระแสพลังิญญาอยู่ทางตะวันออกของเมืองไป๋หยาง ส่วนจวนของเ้าเมืองตั้งอยู่ตรงกลางเมือง"
ผู้มีอำนาจกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันพูดคุยเื่มากมาย พวกเขาทุกคนต่างสงสัยและตื่นเต้นเกี่ยวกับกระแสพลังิญญาที่ปรากฏขึ้นในเมืองไป๋หยางเมื่อคืนนี้
ทว่า ผลลัพธ์ของการสนทนาดูเหมือนยังห่างไกลจากความจริงไปมากโข
ขณะที่ทุกคนกำลังสับสน ชายชราในชุดคลุมสีขาวที่สง่างามก็พูดติดตลกว่า “เมื่อคืนนี้ ข้าบังเอิญออกไปเก็บยา ขากลับเดินผ่านประตูบูรพา ดูเหมือนว่าแหล่งกำเนิดกระแสพลังิญญาจะอยู่ที่ลานตะวันออกของเรือนตระกูลฉู่”
“ฮ่าๆ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็เด็กหนุ่มที่ปลุกิญญายุทธ์พิการนั่นเรียกมาก็ได้นะ”
ทุกคนในที่นี้เมื่อได้ยินคำพูดของชายชราก็พากันขำ มองชายชราราวกับว่าเขาเป็คนโง่
“ผู้เฒ่าเหยา ท่านคงไม่หลอมธาตุจนโง่งมไปแล้วกระมัง? เ้าดาวหายนะนั่นเป็เศษเดนมาั้แ่เกิด จะไปพูดถึงการฝึกฝนทำไม แค่จะหนีจากการขับไล่ของตระกูลฉู่ยังเป็ปัญหา” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพูดขึ้น
“ถ้าเป็เด็กคนนั้นจริงๆ เขาคงต้องแลกพลังทั้งชีวิตเพื่อฝึกฝน แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีกระแสิญญาใดๆ บางทีอาจเพียงแค่มีปรมาจารย์ลึกลับคนหนึ่งเดินผ่านใกล้ลานตะวันออกของตระกูลฉู่เมื่อคืนนี้เท่านั้นเอง” ชายตระกูลหลี่กล่าว
“นั่นสิ ผู้เฒ่าเหยาท่านอย่าพูดอะไรไร้สาระเลย หากเป็ดาวหายนะแซ่ฉู่ที่ทำให้เกิดกระแสพลังิญญาจริง ข้าจะยอมยกโสมกระดูกหิมะอันล้ำค่าอายุนับศตวรรษให้ท่านเลย แถมจะเรียกเ้าเด็กนั่นว่าท่านปู่ให้ฟังกับปากข้าเองด้วย” ชายที่ชื่อผู้เฒ่ากุ่ยกล่าว
ชายชราในชุดคลุมสีขาวยิ้มและพูดว่า "หึหึ ในเมื่อพวกเ้าต่างก็ไม่เชื่อข้า หากข้าแพ้ก็ใช่ว่าจะมีสิ่งใดเสียหาย เช่นนั้นพวกเราก็มาพนันกันสักตั้งเถอะ”
เมืองไป๋หยางที่สงบเงียบกำลังปรากฏคลื่นใต้น้ำ และดูเหมือนว่าความสับสนวุ่นวายครั้งใหม่กำลังจะเกิดขึ้น
--------------------
[1] 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร
[2] ก่อนที่จะเกิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเกิดพลังบางอย่างขึ้น ให้ทำลายมันเสียก่อน
[3] การระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด จะสามารถนำไปสู่การพัฒนาที่มั่นคงได้เป็เวลานาน
[4] คือ พลังบวก มีลักษณะสีขาว เป็พลังแสงสว่าง
[5] คือ พลังลบ มีลักษณะสีดำ เป็พลังความมืด
[6] ข่าวลือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้