หลังจากนี้ก็คือการทำความรู้จักกับญาติมิตรยังมีท่านป้าท่านน้าจำนวนมากรอให้นางทักทายพวกเขาอยู่
ทุกคนล้วนใช้สายตาแปลกๆมองพิจารณาเซียวซู่ซู่ แม้ว่านางจะแสดงท่าทางอ่อนโยนเรียบร้อยเป็อย่างมากอีกทั้งบนใบหน้าก็ยังประดับด้วยรอยยิ้มที่แสนน่ารัก
แต่ถึงกระนั้นคนที่มีสติฟั่นเฟือนมาถึงสิบห้าปีกลับมีปัญญาเฉลียวฉลาดขึ้นมาอย่างกะทันหันก็ยังคงทำให้ผู้คนไม่อาจจะยอมรับได้
อีกทั้งยังเอ่ยออกมาแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ฮูหยินเฒ่าตื่นเต้นดีใจได้ถึงเพียงนั้น
“ท่านป้าใหญ่ ท่านป้ารอง...” เซียวซู่ซู่ได้ทักทายญาติของตนทีละคน
คนเ่าั้กำลังคิดวางแผนร้ายอยู่ในใจแม้ว่าสกุลเซียวจะเป็สกุลที่ใหญ่และมีธุรกิจการค้าอันใหญ่โตแต่ว่าหลายปีมานี้กลับตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ ซ้ำยังสูญเสียอำนาจที่อยู่ในราชสำนักของแคว้นป่ายฮวาไปแล้วเช่นกัน
ทางด้านบุ๋นและบู๊ก็ล้วนไม่มีผู้ใดโดดเด่นพอจะคว้าตำแหน่งจอหงวนเอาไว้ได้ จะใช้เพียงแค่ชื่อเสียงที่บรรพบุรุษสะสมมาเพื่อพัฒนาสกุลเซียวนั้นยังคงถือว่าไม่เพียงพอ
ในรุ่นที่สี่ของสกุลเซียวนอกจากเซียวซู่ซู่ที่เป็คนสติฟั่นเฟือนแล้วคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองล้วนมีแต่บุตรชายไร้ซึ่งบุตรสาว ตามกฎของแคว้นป่ายฮวา ผู้เป็บุรุษสามารถเลี้ยงดูในเรือนได้แต่ไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเื่ราชการของประเทศ
เซี่ยวซู่ซู่นั้นเป็บุตรสาวของคุณหนูสามปีนั้นเพราะว่าคลอดก่อนกำหนดทำให้เสียเืมากจนถึงแก่ชีวิตเหลือไว้เพียงแค่บุตรสาวที่สติไม่สมประกอบผู้นี้
สกุลเซียวที่ใหญ่โตก็เหลือเพียงหญิงสาวผู้นี้คนเดียวแต่นางกลับใช้ชีวิตอย่างคนสติไม่สมประกอบไปเรื่อยๆแม้ว่าจะมีรูปโฉมที่งามล้มแผ่นดินแต่กลับทำได้เพียงแค่ประดับไว้อยู่ในบ้านสร้างความสวยงามเท่านั้น
กระทั่งจะเทียบกับแจกันดอกไม้ที่ใช้ประดับบ้านยังไม่ได้
แต่เดิมคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองล้วนคิดว่าสกุลเซียวนั้นไม่ช้าก็เร็วจะต้องพังลงด้วยมือของพวกเขาทั้งสองเป็แน่เพราะว่าพวกเขานั้นไร้ซึ่งบุตรสาวสืบสกุลอีกทั้งหญิงสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวนั้นยังปัญญาอ่อนไปแล้วเสียอีก จึงไม่สามารถฝากฝังธุรกิจการค้าของบรรพบุรุษไว้กับนางได้อย่างสบายใจ
“เด็กดี”คุณหนูใหญ่สกุลเซียวนั้นเอ่ยออกมาอย่างปากอย่างใจอย่างพลางเดินหน้าขึ้นไปจับมือของเซียวซู่ซู่เอาไว้ “ซู่ซู่ฟื้นแล้วก็ดีฟื้นแล้วก็ดี” คุณหนูรองเองก็เอ่ยพูดจาเป็มิตรออกมาพร้อมกับมอบรอยยิ้มที่ไม่จริงใจมาให้
ในร่างของเซียวซู่ซู่ที่เกิดใหม่อีกครั้งนั้นคือิญญาของซูฉีฉีชาติที่แล้วนางรู้ดีถึงจิตใจที่ชั่วร้ายของมนุษย์เวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับท่านป้าใหญ่และท่านป้ารองที่มีรอยยิ้มที่ไม่จริงใจกับความมืดมิดในดวงตานางก็สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน
ทว่านางที่เพิ่งฟื้นขึ้นมานั้นก็มิได้แสดงท่าทีอะไรตอบกลับไปทำเพียงแค่จำเื่เกี่ยวกับทุกคนเอาไว้ในใจของตน
จากนั้นนางก็ได้เจอท่านลุงอีกหลายคนของตนเซียวซู่ซู่ก็ล้วนทักทายพวกเขาอย่างมีมารยาท มิได้แสดงท่าทีไม่สมควรอันใดออกมา
ซูฉีฉีนั้นเป็บุตรสาวของอัครมหาเสนาบดีเป็คุณหนูสกุลผู้ดีด้วยเหตุนั้นมารยาทและขนบธรรมเนียมเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เื่ยากสำหรับนางทำให้นางสามารถแสดงความเคารพออกมาได้อย่างสำรวมและนอบน้อม พวกผู้ใหญ่ล้วนยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจ รอยย่นกระจายออกเต็มใบหน้า
บุตรสาวคนเดียวของสกุลเซียวในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว
จากนั้นนางก็เจอพี่ชายอีกสิบกว่าคนของตนซึ่งซูฉีฉีต่อให้มีความจำเป็เลิศ เมื่อมองดูสิ่งใดก็จำได้ไม่รู้ลืมนั้นในเวลานี้ก็ยังอดเวียนศีรษะไม่ได้ นางทักทายผู้คนทั้งหลายพลางจับแขนของฮูหยินเฒ่าเบาๆ “ท่านยาย ข้าหิวแล้ว”
เมื่อได้ยินหลานสาวที่รักพูดว่าหิวแล้วฮูหยินเฒ่าก็รีบสั่งให้คนใช้ไปจัดเตรียมอาหารมาพลางโบกมือไล่คนอื่นๆ ออกไป “ทุกคนกลับไปที่ห้องพักตนเองเถิดข้าอยู่ที่นี่ดูซู่ซู่คนเดียวก็พอแล้ว” นางมีความสุขเสียจริงๆ จนเหมือนจะไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าเลย
เซียวซู่ซู่เข้าใจถึงความรู้สึกของฮูหยินเฒ่าจึงมิได้เอ่ยขัดความสุขของนางพลางยกมือขึ้นพยุงแขนนางไปนั่งบนเตียงอย่างเอาใจ “ซู่ซู่กินข้าวพร้อมกับท่านยายดีหรือไม่” ดวงตากลมโตของซู่ซู่นั้นใสดุจน้ำขณะจ้องมองไปที่ฮูหยินเฒ่าด้วยแววตาที่แสนจะอ่อนหวาน
และขณะที่ฮูหยินเฒ่ามองไปที่เซียวซู่ซู่ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่เช่นกัน
เวลานี้เซียวซู่ซู่ได้ปกปิดความเยือกเย็นและเ็าในใจของตนเองไปแล้วนางกำลังดื่มด่ำกับความอบอุ่นที่ยากจะได้รับ
ในอดีตมีเพียงมารดาของตนเท่านั้นที่จะประพฤติกับนางเช่นนึ้แต่ว่ามารดาของตนนั้นก็เป็คนอ่อนแอไร้ความสามารถ ไม่อาจปกป้องคุ้มครองนางได้จึงกลายเป็นางที่ต้องคอยปกป้องมารดาของตน
แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วมารดาของนางกลับยอมเสียสละตนเองเพื่อนาง จุดนี้กลายเป็ความเ็ปชั่วชีวิตในใจของซูฉีฉี เพียงเพราะว่าตอนนั้นคนเดียวที่นางคิดจะช่วยเหลือนั้นคือม่อเวิ่นเฉิน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เซียวซู่ซู่ก็รู้สึกเ็ปในหัวใจอย่างมากขึ้นมากะทันหัน
“ซู่ซู่ เ้าเป็อะไรไป?” ในรอยยิ้มที่พึงพอใจของฮูหยินเฒ่านั้นมีความกังวลปรากฏขึ้นเล็กน้อยเพราะว่าตอนนี้นางเห็นว่าเซียวซู่ซู่มีสีหน้าขาวซีดขึ้นมา
บนโต๊ะได้มีอาหารวางเรียงกันเต็มไปหมดเซียวซู่ซู่ที่เหม่อลอยไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินคำถามของฮูหยินเฒ่านางก็รีบดึงสติกลับมาก่อนจะยิ้มกลับอย่างอ่อนหวาน “ท่านยาย ข้าไม่เป็อะไรอาจเป็เพราะว่าหลายวันมานี้ไม่ได้กินอาหารจึงรู้สึกปวดกระเพาะอยู่บ้าง” ข้ออ้างนี้เหมาะสมเป็อย่างมากทำให้ฮูหยินเฒ่านั้นไม่สงสัยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่านางไม่มีทางเกิดความสงสัยขึ้น
เพราะว่าตลอดสิบห้าปีนั้นเซียวซู่ซู่นั้นสติฟั่นเฟือนมาเป็เวลาถึงสิบห้าปีต่อให้ฟื้นขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ ในสายตาของฮูหยินเฒ่านางก็ยังคงบริสุทธิ์ไร้เดียงสาราวกับกระดาษขาว
ไม่มีทางมีเื่อะไรในใจ
อาหารมื้อนี้ฮูหยินเฒ่าคอยคีบอาหารมาให้เซียวซู่ซู่ไม่หยุด บนใบหน้านั้นยังคงประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
รอยยิ้มนั้นเป็ยิ้มที่ออกมาจากใจ
“อายุสิบห้าต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด จะทำทุกอย่างนั้นเกรงว่าจะช้าไปเสียแล้ว” เวลานี้ในเรือนฝั่งตะวันตก คุณหนูใหญ่เซียวเหยียนและคุณหนูรองเซียวจู๋กำลังเอียงพิงเก้าอี้ตัวยาวอยู่คนทั้งสองนั้นสวมใส่กระโปรงผ้าบางเบาดุจปีกจักจั่นขณะปิดตาพักผ่อนสายตาและมีความสุขกับการให้บุรุษรับใช้บีบนวดร่างกายของพวกนางพลางปรึกษาหารือกันถึงเซียวซู่ซู่ที่ฟื้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“จริงด้วย เพราะฉะนั้นต่อให้ฮูหยินเฒ่าคิดจะมอบสกุลเซียวให้กับนางก็เกรงว่านางจะรับมาดูแลไว้ไม่ไหว”
“สติฟั่นเฟือนถึงสิบห้าปีไม่รู้หนังสือแม้แต่ตัวเดียว กลับวรยุทธ์นั้นก็ไม่มีพื้นฐานแม้แต่น้อย จะสอบจอหงวนไหนเลยจะทำได้ พวกเราพี่น้องพยายามกันมาั้แ่เล็กจนถึงสุดท้ายก็สอบไม่ติดแม้แต่อันดับล่างสุดน้องเล็กนั้นก็เป็เพราะว่ามีวรยุทธ์ที่โดดเด่นจึงได้รับความสนใจจากฮ่องเต้หญิงแต่เมื่อคิดถึงแม่หนูเซียวซู่ซู่ผู้นี้ นางจะทำอะไรได้? อย่างมากที่สุดก็แค่ไม่ใช่คนปัญญาอ่อนแล้วเท่านั้น...”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น...” ความกังวลที่มีในตอนแรกของสองพี่น้องนั้นได้มลายหายไปทันที
มิผิด สิ่งที่พวกเขาพูดล้วนเป็ความจริง
โดยทั่วไปแล้วต่อให้เซียวซู่ซู่จะฟื้นขึ้นมาจริงๆ แล้วแต่ว่าั้แ่เล็กนางก็มิเคยได้เรียนหนังสือมาก่อนและก็มิเคยได้ฝึกฝนวรยุทธ์มาแม้แต่น้อย นางที่มีอายุย่างเข้าสิบห้าแล้วนั้นไม่อาจจะคาดหวังอันใดได้อีก
เพราะว่าฮูหยินนั้นกำลังจมอยู่กับความสุขและความตื่นเต้นจึงมิได้คาดคิดไปถึงจุดนี้ตอนนี้นางเพียงรู้สึกว่าสกุลเซียวนั้นมีความหวังที่จะรอดแล้ว
บุรุษทั้งหลายในสกุลเซียวหรือก็คือลุงทั้งสามของเซียวซู่ซู่นั้นกลับล้วนมีท่าทีสงบนิ่ง
ในแคว้นป่ายฮวาบุรุษนั้นไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับปัญหาน้อยใหญ่ของประเทศมาโดยตลอด
และเพราะว่าสกุลเซียวนั้นเป็สกุลใหญ่ ทำให้บุรุษทั้งสามนั้นมิได้แต่งงานออกไปแต่กลับแต่งภรรยาเข้ามาอยู่ในสกุลเซียวแต่ว่าเื่ทั้งหมดในจวนสกุลเซียวนั้นคนที่สามารถจัดการเื่ราวได้มีเพียงเซียวเหยียนและเซียวจู๋
“แม่หนูซู่ซู่ผู้นี้เหมือนจะไม่ธรรมดาเท่าใดนัก” เซียวเหอแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์พลางยกแก้วสุราในมือขึ้นดื่มจากนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มิรู้ว่าพี่ชายทั้งสองสังเกตเห็นหรือไม่ถึงความน่าเกรงขามในดวงตาคู่นั้นของนาง”
บุรุษสองคนที่เหลือล้วนพยักหน้า “ข้าก็สังเกตเห็นเช่นกัน ทว่านางกลับปกปิดมันได้เป็อย่างดี”
“บางทีฮูหยินเฒ่าก็มองเห็นแล้วเช่นกันมีเพียงพี่สาวใหญ่และพี่สาวรองที่ไม่เห็นกระมัง” เซียวเหอนั้นมีท่าทางประหนึ่งคนที่มีความสุขภายใต้ความทุกข์ของผู้อื่นหลายปีมานี้พวกเขาล้วนเป็ฝ่ายที่ถูกกดขี่ข่มเหง คุณหนูทั้งสองของสกุลเซียวนั้นถือว่าครองอำนาจในจวนไปแทบจะทั้งหมด
“เช่นนี้ถึงจะน่าสนุก”
“ข้าเห็นด้วย อยากจะเห็นเสียจริงๆ ว่าใครจะเป็ผู้ชนะข้าตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้จะช่วยบุตรสาวของน้องหญิงสาม”
“ข้าก็ด้วย”
“ข้าก็ด้วย...”
“...”
คนทั้งสามคนเอ่ยตอบกับไปมาพูดคุยอย่างสนุกสนานแต่เพราะบทสนทนาของพวกเขาก็ได้กำหนดชะตากรรมของเซียวซู่ซู่ไปเสียแล้ว
ในขณะที่นางยังมิได้ลงมือทำอะไรนั้นก็ได้มีผู้สนับสนุนด้านหลังถึงสามคนแล้ว
อีกทั้งฮูหยินเฒ่ายังได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้บนตัวนางอีกด้วยต่อให้เซียวเหยียนและเซียวจู๋คิดจะทำอะไรนั้น คงไม่สามารถลงมือทำได้อย่างสะดวกนัก
ยังไงเสียพวกนางก็ต้องคอยดูสถานการณ์ให้ดี
ย่างเข้าตีสามแล้ว ซูฉีฉีที่กลายเป็ส่วนหนึ่งของสมาชิกสกุลเซียวนั้นก็ยังคงไม่อาจข่มตาหลับได้ตอนนี้นางคือเซียวซู่ซู่มิผิดแน่ เช่นนั้นนางซูฉีฉีก็จะมีชีวิตอยู่ให้ดีแทนซู่ซู่ชาตินี้นางจะต้องเป็ดุจวิหคที่เหาะเหินกลางนภาจะต้องเอาชื่อเสียงลาภยศของแผ่นดินนี้มาไว้ในมือตน จะใช้ความสามารถที่โดดเด่นและรูปโฉมที่งดงามนี้มาเหยียบย่ำบุรุษที่ลุ่มหลงสตรีงามให้อยู่แทบเท้าของตนให้จงได้...