หลงเซี่ยวอวี่ก้าวขึ้นมาข้างหน้าโดยทันทีรับมู่จื่อหลิงที่ล้มพับไปเข้ามาในอ้อมกอด ท่าทีไม่ใส่ใจเปลี่ยนเป็อ่อนโยน
คิ้วเข้มของเขาขมวดน้อยๆ หลุบตาลงมองใบหน้าซีดขาวของมู่จื่อหลิงที่เป็ลมล้มพับไปในอ้อมแขน ั์ตาที่ดำขลับดั่งน้ำหมึกปรากฏแววอาทรและปวดใจโดยแม้แต่เ้าของก็มิทันได้รู้สึกตัว
หลงเซี่ยวอวี่อุ้มมู่จื่อหลิงในท่าเ้าสาวหมุนกายในทันที จากนั้นเดินไปหาห้องรับรองแขกได้อย่างแม่นยำ สาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าไปในห้อง
เล่อเทียนและมู่เจิ้นกั๋วเมื่อเห็นว่ามู่จื่อหลิงหมดสติไปในอ้อมแขนของหลงเซี่ยวอวี่ก็ใขึ้นมาโดยพลัน
“หลิงเอ๋อร์!” มู่เจิ้นกั๋วอุทานอย่างใ รีบก้าวเท้าตามเข้าไป
เล่อเทียนอดที่จะโอดครวญในใจไม่ได้
จบสิ้นแล้ว น่าอนาถนัก ฉีหวางเฟยเหนื่อยจนเป็ลมไปจริงๆ
เล่อเทียนชะงักไปเพียงวินาทีเดียวเท่านั้น แล้วรีบก้าวเท้าตามไปโดยทันที
หลงเซี่ยวอวี่วางมู่จื่อหลิงลงบนเตียงด้วยความนุ่มนวล
“เซี่ยวอวี่ ข้าตรวจอาการหวางเฟยก่อน” ไม่ต้องให้หลงเซี่ยวอวี่เตือน เล่อเทียนก็เป็ฝ่ายรีบเดินขึ้นไป ทาบนิ้วมือลงบนข้อมือผอมเล็กของมู่จื่อหลิงเพื่อตรวจชีพจรโดยละเอียด
ทว่า เพียงแค่ตรวจจับชีพจร เล่อเทียนก็ต้องใ
ชีพจรมู่จื่อหลิงเบาบาง และหยุดชะงักเป็่ๆ หากมิได้ตรวจโดยละเอียดก็คงตรวจไม่พบโดยสิ้นเชิง และบริเวณหัวไหล่ยังมีลมปราณที่ไม่ทราบชื่อเคลื่อนไหวอยู่
ถ้าหมดสติไปเพราะอ่อนแรง ชีพจรไม่มีทางเต้นอ่อนจนเหมือนว่าชีวิตจะดับสิ้นในวินาทีต่อไปอย่างไรอย่างนั้น
ดวงตาดำมืดของหลงเซี่ยวอวี่นั้นเหมือนดั่งแสงจันทร์ที่ส่องสว่างที่สุดในท้องฟ้ายามราตรี จับจ้องเล่อเทียนเป็เวลานาน
“ท่านหมอเล่อ เป็อย่างไร?” สายตาของมู่เจิ้นกั๋วก็จับจ้องเล่อเทียนอย่างเคร่งเครียดถามด้วยความร้อนใจ
หัวคิ้วของเล่อเทียนขมวดเล็กๆ เอ่ยด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ชีพจรของหวางเฟยอ่อนแรง ดูไม่เหมือนผู้ที่เหนื่อยจนหมดสติ แต่เหมือนชีวิต...”
“ไม่เหมือน?” ดวงตาอันตรายของหลงเซี่ยวอวี่หรี่ลง จ้องเล่อเทียนอย่างเย็นเยียบ เอ่ยปากขัดคำพูดของเขา
ในใจเล่อเทียนสั่นสะท้านเล็กน้อย รีบเปลี่ยนคำพูด “ยังตรวจไม่ละเอียด ข้าขอตรวจดูอีกรอบ” ต่อให้ใบหน้าเล่อเทียนสุขุมเยือกเย็น แต่เมื่อได้รับสายตาเย็นเยียบของหลงเซี่ยวอวี่ในใจก็อดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้
เมื่อเห็นสีหน้ามู่จื่อหลิงซีดเผือด เป็อาการเหนื่อยจนเป็ลมไปอย่างแน่นอน ที่จริงเล่อเทียนไม่ต้องจับชีพจร เพียงดูก็รู้ว่ามู่จื่อหลิงเป็อันใดไป
และเมื่อครู่นี้เล่อเทียนเพียงจับชีพจรอย่างง่ายๆ เท่านั้น ไม่ได้ตรวจโดยละเอียด อาจจะวินิจฉัยผิดพลาดไปจริงๆ
เล่อเทียนยืดกายขึ้นครึ่งตัวเปิดเปลือกตาที่ปิดแน่นของมู่จื่อหลิง อังจมูกนาน ตรวจสอบโดยละเอียดอีกรอบ
รูม่านตาของมู่จื่อหลิงนั้นเล็กใหญ่เป็ปกติ ลมหายใจก็เข้าออกเป็ปกติ
“แปลกนัก” เล่อเทียนเอ่ยงึมงำ เขาดึงมืออีกข้างของมู่จื่อหลิงขึ้นมาจับชีพจรโดยละเอียด
ชีพจรก็เต้นเป็ปกติ
แต่ว่า
เล่อเทียนเปลี่ยนมาเป็มือข้างซ้ายที่จับก่อนหน้า ชีพจรก็ยังคงติดขัด และการไหลของลมปราณที่ไม่ทราบชื่อก็ดูเหมือน้าดันมือข้างซ้ายของมู่จื่อหลิงให้หลุดออกจากร่าง
เล่อเทียนเก็บสีหน้ายุ่งยากใจ ลุกขึ้นยืน
“ร่างกายหวางเฟยไม่มีปัญหาใด เพียงแต่เหนื่อยจนเกินไปจนหมดสติ” เล่อเทียนแน่ใจว่าเป็เช่นนี้ จึงเอ่ยตามจริง
กระแสพลังไม่ทราบชื่ออันพลุ่งพล่านบริเวณไหล่ของมู่จื่อหลิงดูเหมือน
เล่อเทียนชำเลืองสายตาไปที่มือซ้ายของมู่จื่อหลิงก็ชะงักไป ขมวดคิ้วน้อยๆ พูดต่อไป “ปัญหาอยู่ที่มือข้างซ้าย มีกระแสลมปราณอุดกั้นชีพจร หัวไหล่ของหวางเฟยได้รับ...”
ในเวลานี้เอง มู่จื่อหลิงที่อยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน เหลือบไปมองเล่อเทียนที่อยู่ข้างเตียง มองข้ามคนอื่นๆ ในห้องไปโดยสิ้นเชิง
นางขัดจังหวะเล่อเทียนอย่างร้อนรนและกระตือรือร้น “เล่อเทียน ข้ามีวิธีถอนพิษกัดกร่อนเนื้อในร่างกายท่านแม่ข้าแล้ว เร็วเข้า ้าความช่วยเหลือจากเ้าด้วย”
ในน้ำเสียงร้อนรนและกระตือรือร้นเจือแววอิดโรยอย่างเข้มข้น
พูดไป มู่จื่อหลิงก็ดิ้นรนใช้แขนยันกายลุกขึ้น
จู่ๆ บนหัวไหล่ก็มีความเจ็บแปลบเสียดกระดูกส่งมา
“อั้ก เจ็บมาก" ความเ็ปที่ไม่คาดฝันทำให้มู่จื่อหลิงร้องเสียงหลง
“หลิงเอ๋อร์ เ้าเป็อันใด?” มู่เจิ้นกั๋วพลันร้อนใจขึ้นมา
การร้องเสียงหลงนี้ เพียงครู่เดียวก็ทำให้หัวใจมู่เจิ้นกั๋วบีบรัดแน่นขึ้นมาโดยพลัน เขาก้าวเท้าไปข้างเตียงอย่างร้อนรน
วินาทีต่อมา มู่เจิ้นกั๋วก็ชะงักฝีเท้าโดยฉับพลัน เพราะมีเงาร่างชิงพุ่งตัดหน้าเขาไปราวกับสายลม
“เจ็บที่ใด?” หลงเซี่ยวอวี่โน้มกายลงไปดูมู่จื่อหลิง ในสีหน้าปรากฏความเป็ห่วงและร้อนรนที่ยากรู้สึกตัว
มู่จื่อหลิงในขณะนี้มิได้มีใจไปคิดว่าเหตุใดจู่ๆ หลงเซี่ยวอวี่ก็ปรากฏกายขึ้น นางกุมหัวไหล่ด้วยมือเพียงข้างเดียว ฟันที่กัดแน่นคลายลงเล็กน้อย “หัว...หัวไหล่”
ต่อให้เจ็บมากขึ้นมู่จื่อหลิงก็ไม่มีทางร้องออกมาอีก ความเ็ปเมื่อครู่นี้มาไม่ทันตั้งตัวจึงทำให้นางเผลอร้องออกมา
หลงเซี่ยวอวี่ยื่นนิ้วมือเรียวยาวที่เห็นข้อกระดูกอย่างชัดเจนไปทาบที่ชีพจรบริเวณข้อมือมู่จื่อหลิง
“หวางเฟย หัวไหล่ซ้ายของท่านเคยได้รับาเ็อันใดมา?” เล่อเทียนถามคำถามที่ถูกขัดจังหวะไปขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่รอให้มู่จื่อหลิงเอ่ยปาก หลงเซี่ยวอวี่ก็พูดเสียงขรึม “ฝ่ามือซื่อเสวียน”
เล่อเทียนพลันชะงักไป เขาเพียงแค่คาดเดาเท่านั้น
เป็ฝ่ามือซื่อเสวียนจริงๆ เสียด้วย!
ลมปราณบนหัวไหล่มู่จื่อหลิงเป็ผลมาจากฝ่ามือซื่อเสวียนจริงๆ ด้วย แต่ฝ่ามือซื่อเสวียนเป็วรยุทธ์จำเพาะสำนักชางฉยงมิใช่หรือ? ฉีหวางเฟยถูกฝ่ามือซื่อเสวียนได้อย่างไร
ฝ่ามือซื่อเสวียน มิใช่สิ่งที่จะรักษาหายได้ด้วยวิชาแพทย์ และต่อให้วิชาแพทย์สูงส่งก็มิอาจตรวจพบได้ ผู้ที่ไม่มีวรยุทธ์ ไม่มีกำลังภายในมองการมีอยู่ของฝ่ามือซื่อเสวียนไม่ออกโดยสิ้นเชิง
วรยุทธ์ของหลงเซี่ยวอวี่นั้นสูงส่งยากคาดเดา กำลังภายในก็ลึกล้ำจนมิอาจหยั่งรู้ เพียงครู่เดียวก็มองออกแล้ว เล่อเทียนจึงไม่ประหลาดใจ
มู่เจิ้นกั๋วเองก็ชะงักงันไป แม้ตัวเขาจะอยู่ในราชสำนักมาหลายปี แต่ก็รู้เกี่ยวกับเื่ของยุทธภพไม่น้อย หลิงเอ๋อร์ไปมีเื่กับคนของสำนักชางฉยงเมื่อใดกัน?
มู่จื่อหลิงไม่รู้ว่าฝ่ามือซื่อเสวียนที่หลงเซี่ยวอวี่พูดคืออะไร อย่างไรเสียยามนี้นางก็รู้เพียงว่าไหล่ซ้ายของนางราวกับจะถูกฉีกออกก็มิปาน ความเ็ปทวีคูณ
ไหล่ข้างนี้คือข้างที่ถูกคนชุดดำโจมตีเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้นางไม่อยากพูดเื่ที่นางถูกลอบสังหารต่อหน้ามู่เจิ้นกั๋ว
ระบบซิงเฉินตรวจสอบออกมาแล้วว่าไหล่ไม่มีปัญหา เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา บางทีอาจจะเจ็บพักหนึ่งก็หายแล้ว
อาการป่วยของหลี่เอินรอไม่ไหว มู่จื่อหลิงในยามนี้เจ็บจนไร้หนทางจะลุกขึ้น เื่นี้ได้แต่ให้เล่อเทียนช่วยเหลือแล้ว
มู่จื่อหลิงสูดลมหายใจเงียบๆ ในใจ อดทนต่อความเ็ป เตรียมฮึบลมหายใจให้พูดจบภายในเฮือกเดียว “เล่อเทียน ข้าคิดวิธีรักษาท่านแม่ข้าออกแล้ว ตอนนี้รีบไป...”
เพียงแต่ มู่จื่อหลิงยังไม่ทันพูดจบก็ถูกน้ำเสียงที่เย็นเยียบเกินกว่าจะหาที่เปรียบขัดจังหวะขึ้น
“เ้ากล้าไปก็ลองดู!” ดวงตาเย็นเยียบอันดำมืดของหลงเซี่ยวอวี่จับจ้องมู่จื่อหลิง เสียงเย็นเยียบเจือแววตักเตือนอย่างเข้มข้น
เพียงชั่วพริบตาเดียว!
อุณหภูมิในห้องที่อบอุ่นมาแต่เดิมก็ลดลงสู่จุดเยือกแข็ง!
เล่อเทียนพลันรู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นวาบ ลมหายใจเย็นเยียบแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของเขา ปกคลุมดวงใจอันอบอุ่นของเขาไว้
ในชั่ววินาทีนี้ เล่อเทียนก็ได้รู้ในที่สุดว่า สิ่งใดคือไฟไหม้ประตูเมือง โชคร้ายยันปลาในบ่อ [1]
ฉีหวางเฟย ท่านปกป้องตัวเองยังยากแล้ว อย่าได้อวดเก่งไปเลย
แม่ทัพใหญ่มู่ผู้กุมอำนาจทหารเรือนนับแสน แข็งแกร่งไม่ยอมจำนน ในชั่วขณะนี้ก็ยังถูกท่าทีทรงอำนาจของหลงเซี่ยวอวี่ ทำให้ใจกระตุกไปเล็กน้อย
ในใจมู่จื่อหลิงสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที ทว่ายังคงกัดฟันแน่น ดวงตากระจ่างใสสบกับดวงตาเย็นเยียบของหลงเซี่ยวอวี่โดยไร้ซึ่งความอ่อนข้อ
เล่อเทียนเห็นฉากนี้ ก็ยกนิ้วโป้งให้มู่จื่อหลิงอย่างเงียบๆ ในใจโดยไม่รู้ตัว
ฉีหวางเฟยยอดเยี่ยมนัก!
ยามนี้แล้วยังกล้าสบสายตากับฉีอ๋องโดยไม่สะทกสะท้านอยู่อีก หากเป็ผู้อื่นคงใกลัวไปนานแล้ว
มู่จื่อหลิงปิดปากเงียบไม่ส่งเสียงสักแอะ ถลึงตาใส่หลงเซี่ยวอวี่อย่างมีโทสะ ดวงหน้าเล็กที่ซีดขาวเต็มไปด้วยความดื้อดึง
คนเลว คาดโทษนางอีกแล้ว ทั้งยังดุนางเช่นนี้อีก
นางอยากช่วยชีวิตมารดานางผิดตรงใดกัน?
และนางก็ไม่ได้พูดว่าจะไปด้วยตนเองเสียหน่อย ต่อให้นางในยามนี้มีใจก็ไร้เรี่ยวแรงแล้ว คนสารเลวผู้นี้รอให้นางพูดจบก่อนได้หรือไม่?
คิดไป มู่จื่อหลิงก็พลันรู้สึกน้อยใจเป็ที่สุด ดวงตาใสกระจ่างปกคลุมไปด้วยละอองน้ำโดยไม่รู้ตัว พร่ามัวน้ำตา
หลงเซี่ยวอวี่จ้องใบหน้าดื้อรั้นที่ทำท่าจะร้องไห้ด้วยท่าทางยุ่งยากใจ ั์ตาสีดำขลับทอแววจนปัญญา ใบหน้ายังคงเ็าและเคร่งขรึม “อยากมือขาด เปิ่นหวางก็ไม่ห้ามเ้า”
มู่จื่อหลิงตกตะลึงไป ไม่คิดว่าความเ็ปที่ไหล่ของนางจะร้ายแรงถึงขั้นนี้
ฝ่ามือซื่อเสวียนคือสิ่งใดกันแน่? เหตุใดแม้แต่ระบบซิงเฉินก็ตรวจออกมาไม่ได้?
แต่ นี่หลงเซี่ยวอวี่กำลังเป็ห่วงนางหรือ?
เพราะเป็ห่วง จึงได้ตักเตือนนางอย่างดุๆ เช่นนี้?
“ข้าไม่ได้พูดว่าจะไปเสียหน่อย ข้าเพียงจะบอกวิธีให้เล่อเทียนช่วยเหลือเท่านั้น” ท่าทีภายนอกของมู่จื่อหลิงจะไม่อ่อนข้อ แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็เจือแววอ่อนเพลียอย่างเข้มข้น เนื่องจากต้องข่มความเ็ปเอาไว้ จึงอ่อนลงไปมากอย่างกะทันหัน
แม้น้ำเสียงแ่เบา แต่คนทั้งสามในห้องกลับได้ยินอย่างชัดเจน
หากเป็เล่อเทียนในยามปกติต้องหัวเราะกลิ้งในใจด้วยท่าทางหยอกล้อหลงเซี่ยวอวี่แบบส่งเดชเป็แน่ เมื่อใดกันที่ฉีอ๋องผู้เ็าไร้ความรู้สึก ไม่มีเหตุผลเพียงเพราะสตรีผู้หนึ่ง
ทว่าในชั่วขณะนี้ บรรยากาศนั้นไม่ถูกต้อง เล่อเทียนไม่มีกะจิตกะใจโดยสิ้นเชิง ต่อให้อยากหัวเราะเขาก็ไม่กล้าหัวเราะ เขายังอยากมีอายุยืนยาวนี่นา
“หวางเฟยมีเื่ใดเชิญพูด” สีหน้าเล่อเทียนเคร่งขรึม ท่าทางพร้อมบุกน้ำลุยไฟ ไม่หวั่นต่อทุกสิ่ง
ดวงตาโตฉ่ำน้ำของมู่จื่อหลิงมองหลงเซี่ยวอวี่ตรงหน้าอย่างน่าสงสาร กำลังจะเอ่ยปาก
คล้ายว่าหลงเซี่ยวอวี่จะอ่านความหมายแฝงในั์ตาของมู่จื่อหลิงออก ไม่รอให้มู่จื่อหลิงเอ่ยปาก เขาจึงเอียงตัวนั่งลงบนขอบเตียง พยุงมู่จื่อหลิงขึ้นมาด้วยความอ่อนโยน ให้มู่จื่อหลิงที่อ่อนแรงพิงเข้ามาในอ้อมอกเขา
เล่อเทียนที่ยึดถือหลักเห็นสิ่งแปลกไม่ตื่นตระหนก สิ่งนั้นย่อมไม่นำภัยมาสู่ตน
ในยามนี้ เขาเสียสติไปแล้ว ถึงขั้นสับสนมึนงงท่ามกลางความไร้สตินั้น
นี่คือฉีอ๋องผู้เ็าไร้ไมตรี ฆ่าคนตาไม่กะพริบ ลงทัณฑ์คนโดยไม่สงสาร เพิกเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างหรือ?
จบแล้ว ฉีอ๋องถูกสิ่งใดเข้าสิงใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นจะมีวันที่ปฏิบัติกับสตรีอย่างอ่อนโยนเช่นนี้หรือ?
ทุกการกระทำของหลงเซี่ยวอวี่อยู่ในสายตามู่เจิ้นกั๋ว แม้จะตกตะลึงไปชั่วครู่หนึ่ง ทว่าดวงตาที่ปรากฏร่องรอยผ่านโลกมาอย่างโชกโชนก็ทอประกายความปลื้มใจ เขาเป็ผู้ที่ผ่านมาแล้ว ย่อมมองสิ่งใดออก
มู่จื่อหลิงลืมความเ็ปไปโดยพลัน เหลือบสายตาขึ้นมองหลงเซี่ยวอวี่ตามจิตใต้สำนึก หมอนี่รู้ได้อย่างไรว่านางอยากลุกขึ้น อยากเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเขา?
มู่จื่อหลิงพิงอกแข็งแกร่งของหลงเซี่ยวอวี่ ได้กลิ่นเหมยเย็นๆ อันคุ้นเคย จิตใจที่เหนื่อยล้าอันแสนสาหัสในเดิมทีก็ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ริมฝีปากที่เม้มแน่นคลายออกอย่างเชื่องช้า โค้งขึ้นน้อยๆ ทันใดนั้นเองในใจก็มีความอบอุ่นที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนไหลพรั่งพรูเข้ามาโอบล้อมหัวใจนางไว้อย่างเชื่องช้า......
------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ไฟไหม้ประตูเมือง โชคร้ายยันปลาในบ่อ หมายถึงลงมือช่วยเหลือเื่ใดเื่หนึ่ง เหน็ดเหนื่อยไม่พอแต่ยังซวยไปด้วย ปลาในบ่อในที่นี้คือปลาที่เลี้ยงในคูน้ำรอบกำแพงเมือง เมื่อประตูเมืองไฟไหม้จึงต้องวิดน้ำในบ่อขึ้นมาดับ ทำให้ปลาโชคร้ายไปด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้