หากเป็เวลาธรรมดาแล้วไซร้ ถ้าเป็เรือรบอินทรีั์เช่นนี้ หลิวจงหยวนไม่มีทางปล่อยผ่านไปแน่ ต่อให้ต้องลากเขาก็จะลากกลับทีละเมตร ไม่นับที่บนเรือรบอินทรีั์สองลำนี้มีร่างของผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจอีกมากมาย อาจซ่อนความลับของเผ่าปีศาจเอาไว้ หากได้สืบค้นและตรวจสอบอย่างละเอียด ต้องมีผลประโยชน์มากมายอย่างไร้กังขา
ทว่าตอนนี้เป็เวลาคับขัน
ไม่นับที่บนเรือเหาะอักขระมีม้วนกระดาษสีขาวที่บันทึกสภาพภูมิประเทศ กองกำลังทหารของเผ่าปีศาจแห่งทุ่งน้ำแข็งทลายหิมะในแต่ละจุดไว้ครบถ้วนอีกหลายสิบม้วน
จากนิยามความสำคัญของคำว่าา คุณค่าของม้วนกระดาษนี้อาจมากกว่าเรือรบปีศาจสองลำนี้ก็เป็ได้
ดังนั้นหลังกลับมาถึงเรือเหาะอักขระแล้ว หลิวจงหยวนก็สั่งให้เหาะเต็มอัตราเร็ว ไม่หยุดยั้งแม้แต่วินาทีเดียว
แซ่ด!
เรือเหาะผ่าชั้นเมฆา แหวกผ่านนภาราวกับลำแสงมุ่งตรงถึงที่หมาย
เรือรบอินทรีั์ราวกับเรือเหาะแห่งดวงิญญาหายไปกับสายตา
“ด้านล่างเป็รังัหิมะที่พวกเราเคยผ่านมาแล้ว” หลิวจงหยวนชี้เบื้องล่าง เขาเอ่ยอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “คราวนี้พวกเรารอดชีวิตจากความเป็ความตายมาได้จริงแท้นัก นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกพวกค้างคาวหมูพบเข้า ข้าเดาว่า หน่วยรบค้างคาวหมูนั่นน่าจะบังเอิญผ่านมาแล้วพบร่องรอยเส้นทางของพวกเราเข้า ถึงได้ตัดสินใจซุ่มโจมตี บางทีคงเป็เพราะพวกเราดวงไม่ดีเอง”
เ่ิูยิ้ม เขาไม่พูดอะไร
แต่ทอดตามองลงไปยังเบื้องล่าง
บนทุ่งน้ำแข็งนั้นเงียบสงบ
ัหิมะคงไม่แคล้วมุดลงใต้ผืนน้ำแข็งลึกไปแล้ว เข้าสู่สภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ดังนั้นจึงมิได้เห็นทิวทัศน์ประหลาดอย่างัหิมะพลิกกายา
“ทว่าจะเอ่ยว่าโชคไม่ดีอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เหมือนกับว่ามีภูตผีบางอย่างคอยคุ้มหัวพวกเราอยู่ เผ่าปีศาจบนเรือรบอินทรีั์นั่นถึงได้ตายจนหมดอย่างเหนือธรรมชาติ ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่ผ่านมาได้ราบรื่นเช่นนี้หรอก” หลิวจงหยวนคล้ายจะพูดมากไปหน่อย แม้ว่าเขาจะผ่านประสบการณ์มามากมาย เป็แม่ทัพร้อยศึกผู้โด่งดัง ทว่าการรอดจากความเป็ความตายครั้งนี้ ย่อมทำให้กระทบอารมณ์มิใช่น้อยเลย
เ่ิูว่าจะเอ่ยบางอย่าง ฉับพลันก็ขมวดคิ้ว
เขามองบนทุ่งน้ำแข็งด้านล่าง ยอดเขาน้ำแข็งรูปร่างประหลาดดูคุ้นตาชอบกล เมื่อครุ่นคิดดูดีๆ ใจก็พลันเต้นตึกตักอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ก่อนหน้านี้เคยผ่านยอดเขาน้ำแข็งนี้ด้วยหรือ?
จู่ๆ ทำไมยอดเขาน้ำแข็งนี่ถึงได้มาโผล่ที่ด้านล่างนี่ได้เล่า?
เ่ิูความจำเป็เลิศ มีความสามารถที่เห็นเพียงคราเดียวก็จำได้มิลืมเลือน เขามั่นใจว่าสิบอึดใจก่อนหน้านี้ เรือเหาะผ่านเขาน้ำแข็งมาแล้ว จากความเร็วที่เห็นของเรือเหาะอักขระ อย่างน้อยก็ต้องเหาะมาแล้วกว่าหลายสิบกิโลเมตร ไม่มีทางวกกลับไปได้แน่
ตอนนี้เองที่เ่ิูเหงื่อเย็นแตกพลั่กๆ ตามแผ่นหลัง
เขามองหลิวจงหยวนที่ตื้นตันใจ เด็กหนุ่มมองสำรวจต่อไปอย่างไม่แสดงสีหน้าใด
สิบอึดใจต่อมา
เ่ิูมีสีหน้าน่ากลัวขึ้นมาแล้ว
ตอนนี้เขายืนยันได้ร้อยในร้อยเลยว่า มีเื่อัศจรรย์พันลึกเกิดขึ้นกับเรือเหาะอักขระ
เพราะว่ายอดเขาน้ำแข็งนั้นมาปรากฏใต้เรือเหาะอักขระเป็ครั้งที่สาม
เรียกได้ว่า เรืออักขระเองก็กำลังเดินเครื่องเต็มกำลัง ทว่าในความเป็จริงกลับไม่ต่างอะไรกับเดินเท้าเลย ไม่อาจเหาะออกไปจากขอบเขตรัศมีห้าสิบลี้นี้ได้ เหมือนว่าถูกพันมัดเอาไว้อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
เ่ิูไม่อาจรอช้า เขาบอกผลที่ตนสำรวจได้ให้หลิวจงหยวนฟัง
“อะไร? มัน...มันเป็ไปได้ด้วยหรือ?” หลิวจงหยวนตะลึง เขายากจะทำใจเชื่อได้
ตอนกำลังเอ่ยอยู่นั้นเอง เสียงหนึ่งดังแว่วมาทางด้านหลัง
“ท่านทูตตรวจการณ์เย่พูดถูกแล้ว พวกเรากำลังวนอยู่บนพื้นจริงๆ แม่ทัพหลิว ให้เรือเหาะหยุดเถิด อย่าผลาญพลังงานเชื้อเพลิงอันมีค่าเลย” เสียงของเซียนภาพท่านชายหลิวนั่นเอง
ไม่รู้เมื่อไรที่ท่านชายหลิวปรากฏกายที่ด้านหลังของคนทั้งสอง
เ่ิูใจเต้น เขารีบเอ่ย “หรือว่าท่านชายหลิวจะพบเจออะไร?”
ท่านชายหลิวผู้มีใบหน้าเกลี้ยงเกลาตัดรอยยิ้มขื่นขมออกไปพลางตอบ “ข้าเองก็เพิ่งได้ยินเื่ของท่านทูตถือดาบตรวจการณ์เย่ ข้าถึงได้ล่วงรู้เื่บางอย่าง พวกเราน่าจะติดอยู่ในภพปิดผนึก หากไม่ทลายกระบวนออกไปอาจถูกขังไว้ในนี้ตลอดกาล สลัดไม่หลุด ไม่ว่าจะไปเร็วแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายก็จะวกกลับมาเหมือนเดิม...เรือเหาะอักขระแม้จะเร็วนัก แต่พื้นที่ในนี้มันโกลาหลยิ่ง ลำพังพึ่งแค่ความเร็วอย่างเดียวไม่มีทางออกไปจากที่นี่ได้หรอก”
เ่ิูสบตากับหลิวจงหยวน ต่างคนต่างก็ใจนถึงที่สุด
เป็ไปได้อย่างไร?
มันเกิดขึ้นตอนไหน?
ภพผิดผนึกคืออะไรกันแน่ ทำไมตัวเขาถึงไม่รู้สึกถึงมันเลยแม้แต่น้อย ทำไมถึงได้บุกทะลวงเข้ามาอย่างนี้?
“เช่นนั้นพวกเราควรทำเยี่ยงไร?” หลิวจงหยวนถามพลางย่นคิ้ว
เขาเองก็ค่อยๆ สงบจิตสงบใจลงบ้างแล้ว
“ข้าก็ไม่รู้...ตรวจตราดูก่อนค่อยว่ากันเถิด บางทีอาจมีโอกาส...” ท่านหลิวยิ้มขื่น เขาส่ายหน้ากำลังจะพูดต่อ
ทว่าตอนนี้เองที่เขาเห็นของบางอย่างที่เหนือจินตนาการ ใจตกลงตาตุ่ม เหมือนกลายเป็ก้อนหินที่เพิ่งตอบสนองได้ในพักต่อมา จากนั้นแววตาก็ฉายแววไม่อยากเชื่อ สายตาเหมือนมองเห็นผี เขายกมือชี้ไปไกลแสนไกล ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง เขาพูดอย่างไม่ปะติดปะต่อ “เ้า...เขา...นั่นมัน...เขานี่ ที่แท้ก็เขา....”
เ่ิูฉงนนัก เขามองตามสายตาของท่านชายหลิวไป จากนั้นก็ตะลึงอย่างไม่อาจห้าม
บนอากาศไกลออกไปร้อยเมตร ไม่รู้เมื่อใดที่ปรากฏร่างของคนๆ หนึ่งขึ้นมา
เป็มนุษย์ อายุอานามไม่น่าเกินสิบแปดสิบเก้า เพศชาย อ่อนเยาว์มาก ร่างกายผ่ายผอม ใบหน้าหล่อเหลาหาใดเปรียบมิได้ ผิวเนื้อราวกับหยก เอ่อท้นด้วยความเปล่งปลั่งอย่างประหลาด ใบหน้าเหมือนจะชั่วช้าและไม่เป็จริง สวมอาภรณ์ยาวสีขาว บั้นเอวมีาแที่น่าใ แทบจะถูกตัดเอวออกไป าแปรากฏเป็สีมรกตน่าพิศวงขยุกขยิกเชื่องช้าเหมือนของเหลว ราวกับกำลังฟื้นฟูสภาพ...
คนๆ นี้ปิดตาแน่น ขนตายาวระยับในสายลม
เขานอนพิงก้อนเมฆขาวก้อนหนึ่ง อกไหวขึ้นลง ใบหน้าสุขุมและเงียบสงัด ราวกับว่ากำลังหลับสนิทในความฝันอันแสนหวาน
แต่ไม่รู้เพราะอะไร วินาทีที่เห็นหน้าเขา เ่ิูกลับรู้สึกหวาดระแวงเหลือเกิน
เมฆขาวอ่อนพลิ้ว
ชายหนุ่มยังนอนอยู่บนก้อนเมฆอย่างสงบ
สีหน้าท่าทีของเขาสงบเยือกเย็น เหมือนคุณชายตระกูลสูงส่งมีการศึกษาหลับอยู่บนเตียงหยกอย่างไรอย่างนั้น
บรรยากาศรายล้อมด้วยความพิศวงอย่างเงียบสงบ
เวลาเหมือนจะหยุดเดิน
ผ่านไปยาวนาน
ท่านชายหลิวถอนใจยาวเหยียด ราวกับเพิ่งฟื้นตื่นจากฝันร้ายอันน่ากลัว
“เป็เขาตัวจริง เป็เขาจริงๆ...” ท่านชายหลิวหัวเราะขมขื่น พลันก็ส่ายหน้า “ชะตากับเวลาไม่ปรานีข้าเลย”
เ่ิูได้ยินคำแล้วชักรู้สึกไม่ดี นับั้แ่รู้จักท่านชายหลิวมา เขาเป็ดั่งคลื่นที่ไม่เคยตระหนก เป็คนที่มั่นคงยิ่งยวด แม้แต่ตอนเจอค้างคาวหมูหรือเรือรบอินทรีั์ทมิฬ เซียนภาพท่านนี้ก็ยังคงความใจเย็นและมั่นคงยากที่ใครจะมาควบคุม ทว่าตอนนี้ ไฉนคนที่นอนหลับอยู่บนก้อนเมฆนั่น เป็ใครมาจากไหน ถึงได้ทำให้เขาเสียอาการเช่นนี้ได้
“ท่านรู้จักเขาหรือ?” เ่ิูอดถามไม่ได้
หลิวจงหยวนมองท่านชายหลิวด้วยแววตาสงสัย
ท่านชายหลิวทอดถอนใจยาวๆ อีกครั้ง จากนั้นจึงพยักหน้า สีหน้าฝาดเฝื่อนนักเมื่อตอบ “รู้จัก”
“ใครกัน?” เ่ิูถามต่อ
ท่านหลิวเงียบอยู่หลายอึดใจ ท้ายสุดก็เหมือนตัดสินใจแล้ว เขาเอ่ยสามคำออกมาเบาหวิวนัก
“เยี่ยนปู้หุย!”
เยี่ยนปู้หุย?
ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย
เ่ิูชะงัก เขาถามอีก “ใครหรือ? เป็อย่างไรมาอย่างไร?”
ยังไม่ทันยินคำตอบจากท่านหลิว หลิวจงหยวนก็หน้าเปลี่ยนสีขนานใหญ่ จากชายผู้ไม่เคยขาดความกล้า แม่ทัพกองโจรผู้ที่ต่อให้พบเจอความตายอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางหวาดกลัว ร่างกายสั่นสะท้านเหมือนห้ามไม่อยู่ ดวงตามีแววตระหนก
เ่ิูฉงนนัก
“แม่ทัพหลิวรู้จักเขาด้วยหรือ?” เด็กหนุ่มถามไป
แต่หลิวจงหยวนยังคงไม่ตื่นจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน
เขาราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เ่ิูถาม สายตาจับจ้องมองแต่คนหนุ่มที่นอนอยู่ปุยเมฆอย่างจะเป็จะตาย
ท่านชายหลิวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก จากนั้นจึงแถลงไข “เยี่ยนปู้หุย คือคนๆ นั้น”
“คนๆ นั้น? คนๆ ไหน?” เ่ิูจับต้นชนปลายไม่ถูก
ทว่าตอนที่พูดนั้นเอง ทะเลห้วงความคิดเริ่มผุดแสงแวบวาบขึ้นมา เขาเข้าใจความหมายนั้นโดยทันที ใต้ความตะลึงลานอย่างหนัก เขาไม่อาจหักห้ามใจมิให้ถาม “เยี่ยนปู้หุย? คือคนทรยศที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ท่านบอก อัจฉริยะบันลือโลกแห่งด่านโยวเยี่ยน ที่เคยหักหลังอาณาจักรและเผ่าพันธุ์ตัวเองหรือ?”
“นั่นแหละเขา” หลิวจงหยวนคืนสติกลับมา
เขาผลาญเวลาไปมากมายจนสงบนิ่งลงได้ เขาเอ่ยต่อไป “เยี่ยนปู้หุยนามนี้ คือฝันร้ายตลอดกาลของคนมากมายในด่านโยวเยี่ยน หลายปีมานี้ ไม่ว่าจะนักรบหรือแม่ทัพ ล้วนไม่อยากเอ่ยนามที่ไม่ต่างกับฝันร้ายนี้ขึ้นมาเลย ตอนนั้นที่เกิดเื่ ข้าเป็เพียงแค่เด็กทารก ยังไม่เคยพบเจอเขา แต่ได้ยินนามนี้มาหลายครั้งเหลือ ไม่นึกเลย...ว่าวันนี้จะได้พบเจอตัวจริง”
เ่ิูะเืนัก
ในที่สุดเขาก็รู้สึกถึงความไม่สบายใจอย่างรุนแรง
ต่อมา เขาก็อดมองไปยังบุรุษอ่อนวัยผู้เหยียดกายนอนบนปุยเมฆนั้นมิได้
เป็ชายผู้นี้จริงๆ น่ะหรือ?
บุรุษผู้หล่อเหลา สง่างามและเพริศแพร้วราวกับคุณชายสูงศักดิ์ บุรุษที่ร่างกายผอมแห้งดูอ่อนแอ บุรุษที่งดงามใกล้เคียงกับอิสตรี คือคนทรยศที่สุดในประวัติศาสตร์ ฆ่านักรบแห่งอาณาจักรไปนับศพไม่ถ้วน ตอกย้ำพลทหารมหาศาลแห่งด่านโยวเยี่ยนไว้บนทำเนียบแห่งความอัปยศ?
เ่ิูใช่ว่าจะไม่เคยนึกจินตนาการภาพชายผู้นี้ในหัว
แน่นอนว่าไม่เคยนึกถึง ว่าจะเป็อีหรอบนี้
ใต้ใบหน้าอ่อนเยาว์และสงบเย็นนั้น ซ่อนจิตใจประเภทไหนไว้กันหนอ?
กองทัพโยวเยี่ยนวางแผนอย่างอุตสาหะมาตลอดเวลาอันยาวนานเพื่อต่อกรกับชายคนนี้ ท่านหลิวไม่ได้บอกว่าแนวหน้าได้เปรียบแล้วหรอกหรือ ทำไมเขาถึงมาโผล่ที่นี่ได้เล่า?
เห็นาแฉกรรจ์บนเอวแล้ว เ่ิูก็พอจะอนุมานขึ้นมาได้บ้าง
ยุทธการเดินทัพวายุว่องคงไม่สำเร็จ แม้จะโจมตีจนเยี่ยนปู้หุยาเ็ แต่กลับสังหารคนทรยศผู้นี้ไม่สำเร็จ
สายลมพัดพามา
บรรยากาศประหลาดและบีบเค้น
เยี่ยนปู้หุยนอนนิ่งอยู่บนปุยเมฆ หากมิใช่เพราะแผลที่เอวขยุกขยิกอยู่ หากมิใช่เพราะอกที่ขยับขึ้นลงเพราะหายใจ อาจทำให้คนคิดว่าเขาตายไปแล้ว
ธนูและปากกระบอกปืนล้วนเตรียมมาเพื่อเขา
แต่หลิวจงหยวนกลับไม่เหลือความกล้าจะสั่งยิง
ท่านชายหลิวเงียบอยู่นาน ท้ายสุดก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วเปิดปากพูด “ปู้หุย ไม่เจอกันนานนะ”
น้ำเสียงเขาราวกับได้พบพานสหายเก่าแก่และรำลึกความหลังร่วมกันอีกครั้ง
“ท่านชายหลิว นานเหลือเกินที่เราไม่ได้พบเจอกัน” ชายหนุ่มผู้นอนปิดตาสนิทบนปุยเมฆเอื้อนเอ่ย น้ำเสียงอ่อนโยนนัก ไม่มีแววดุร้ายพร้อมเข่นฆ่า แม้ว่าเขาจะหลับตาอยู่ แต่กลับพบการมีอยู่ของทุกคน และจำท่านชายหลิวได้