เฉินเหว่ยที่ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกบางเื่ขึ้นมาได้ วันนี้เขาบังเอิญได้ยินสองคนนั้นบอกว่าจะไปดื่มสุรากัน เช่นนั้นก็ต้องไปที่โรงสุรา “ข้านึกออกแล้ว ฉือเอ๋อร์ ตามข้ามา”
หนิงมู่ฉือพยักหน้าก่อนจะเดินตามหลังไป ทั้งสองคนตามหาอยู่นานจนมาถึงโรงสุราแห่งหนึ่ง ซึ่งทั้งคู่เห็นมาแต่ไกลว่า จ้าวซีเหอกับเฉินเกอนั่งอยู่ที่บันไดหน้าร้าน
หนิงมู่ฉือโมโหไม่น้อย ทั้งสองช่างใจกล้านัก ถึงกับกล้าแอบมาดื่มสุรากันโดยไม่บอกนางสักคำ นางพาความไม่พอใจเดินไปหาทั้งสองคน คาดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของทั้งสองคนจะเป็การยิ้มกว้างส่งให้นาง
จ้าวซีเหอมองหนิงมู่ฉือและเฉินเหว่ยที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา ส่วนเฉินเกอ เนื่องจากถูกความง่วงเข้าจู่โจม จึงก้มหน้านั่งหลับไปแล้ว
จ้าวซีเหอสะกิดปลุกเฉินเกอ “น้องเฉิน เ้าดูสิว่าผู้ใดมา หน้าตานางคุ้นเหลือเกิน”
เฉินเกอรับคำอืมคำหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แลเห็นสตรีวัยแรกแย้มผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง เฉินเกอมองสตรีผู้นั้นพร้อมกับยิ้มอย่างโง่งม “เอ๋ แม่นาง เ้ามาแล้วหรือ”
หนิงมู่ฉือชะงักไปชั่วครู่ มองเฉินเกออย่างไม่อยากจะเชื่อ อีกฝ่ายในตอนนี้ตัวเอนไปเอนมา ยิ้มอย่างโง่งมจนเห็นฟันขาวครบทุกซี่
ครั้นจ้าวซีเหอเห็นหนิงมู่ฉือ ถดตัวถอยหลังพร้อมกับเอ่ยว่า “เ้าอย่าเข้ามา!”
หนิงมู่ฉืออยากจะเป็บ้า มองเฉินเกอที่พอจะกล่อมง่ายหน่อยจึงยื่นมือออกไปตรงหน้า “มา กลับไปกับข้า”
เฉินเกอมองรอยยิ้มที่แสนจะอ่อนโยนของหนิงมู่ฉือ หญิงสาวตรงหน้าหน้าตางดงามเหลือเกิน จึงพยักหน้าออกไป
ขณะที่ยื่นมือออกไป คาดไม่ถึงว่าจ้าวซีเหอจะพุ่งเข้ามาปัดมือทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยกับเฉินเกอด้วยน้ำเสียงร้อนรน “น้องเฉิน เ้ารีบหนีไป นางเป็คนไม่ดี!”
“ท่าน!” หนิงมู่ฉือมีสีหน้าทะมึน มองจ้าวซีเหออย่างอ่อนใจ พร้อมกับพยายามสะกดโทสะที่พุ่งขึ้นสูงให้ลงไปสุดชีวิต
นางยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครา “เชื่อข้า ข้ามารับพวกท่านกลับ ฟ้ามืดแล้ว กลับจวนกับข้าเถิด”
จ้าวซีเหอยังคงส่ายศีรษะ ส่วนเฉินเกอยิ้มพร้อมกับจับชายแขนเสื้อของหนิงมู่ฉือเอาไว้ “ได้ ข้าจะกลับไปกับเ้า”
จ้าวซีเหอดื้อแพ่ง “ข้าไม่สน ข้าไม่กลับ ข้าจะดูดาวอยู่ตรงนี้ เ้าดูสิ วันนี้ดวงดาวเป็ประกายส่องแสงสว่างจ้ามากเลย”
นางมองไปยังทิศทางมือที่จ้าวซีเหอชี้ไป นั่นมันดวงดาวที่ไหนกัน นางกลอกตามองบนอย่างอ่อนใจ ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณสายตาให้เฉินเหว่ย ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ
เฉินเหว่ยเดินเข้าไปหาจ้าวซีเหอ ก่อนจะยื่นมือออกไป “ไปเถอะ กลับจวนกัน”
จ้าวซีเหอตีมือเฉินเหว่ยที่ยื่นออกมา เอามือกอดอกด้วยสีหน้าหยิ่งทะนง “ข้าไม่สน ข้าไม่กลับ”
เฉินเหว่ยยิ้มเ้าเล่ห์ “เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
เฉินเหว่ยยื่นมือไปฟาดที่หลังคอของจ้าวซีเหออย่างแรง จ้าวซีเหอถลึงตามอง ก่อนจะหมดสติไป หนิงมู่ฉือเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกสงสาร แต่กลับยิ้มอย่างสาแก่ใจ
ทว่าภาพนี้กลับทำให้เฉินเกอที่นั่งอยู่ด้านข้างะเืใจและตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เขายกมือกุมศีรษะพร้อมกับเอ่ยว่า “พี่สาว อย่าตีข้า”
“ได้ ไม่ตีๆ” เป็ครั้งแรกที่หนิงมู่ฉือเห็นเฉินเกอมีท่าทางเช่นนี้ จอมยุทธ์ผู้กล้าหาญตอนนี้กลับมีท่าทีไร้เดียงสาประหนึ่งเด็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เฉินเหว่ยอุ้มจ้าวซีเหอขึ้นมา ส่วนหนิงมู่ฉือเดินจูงมือเฉินเกอ ทั้งสี่คนมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของพวกทหารเก่า
เมื่อมาถึงบ้านของพวกทหารเก่า เฉินเกอที่ถูกความง่วงเข้าจู่โจมอย่างหนักแทบจะล้มลงไปนอนหลับตรงนั้นเสียให้ได้
เฉินเหว่ยวางจ้าวซีเหอไว้บนเตียงหลังหนึ่ง ก่อนจะพาเฉินเกอไปยังเตียงอีกหลังหนึ่ง เสร็จเรียบร้อยถึงค่อยถอนหายใจออกมา “สองคนนี้คออ่อนเหลือเกิน แค่สุราไม่กี่ไหก็เมาจนมีสภาพเช่นนี้”
หนิงมู่ฉือทำจมูกฟุดฟิดกับกลิ่นสุราที่ลอยหึ่งขึ้นมา นางขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “สองคนนี้ช่างใจกล้าจริง ถึงกับแอบไปดื่มสุรากัน อย่างน้อยก็น่าจะบอกข้าสักคำก่อน ข้าเป็ห่วงแทบแย่”
เฉินเหว่ยยิ้มออกมา ตบไหล่หนิงมู่ฉืออย่างเอ็นดู “เอาละ นี่ก็ดึกแล้ว คุณหนูรีบไปนอนพักผ่อนเถอะขอรับ”
นางพยักหน้า เดินไปยังห้องที่จัดเตรียมเอาไว้ให้ วันนี้นางเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด นางนอนลงบนเตียงก่อนจะหลับไป แล้วนางก็ฝัน ฝันว่าแก้แค้นให้บิดาได้สำเร็จจึงยิ้มกว้างอย่างดีใจออกมา
เช้าวันต่อมานางตื่นั้แ่เช้า ขยี้ตาก่อนจะเดินไปที่ห้องครัว คิดว่าป่านนี้จ้าวซีเหอกับเฉินเกอน่าจะตื่นแล้ว นางจึงรีบต้มน้ำแกงสร่างเมาให้ทั้งสอง
นางครวญเพลงเป็จังหวะขณะเดินเข้าไปในห้องครัว นำขิงไปล้างก่อนจะหั่นเป็ชิ้นเล็กๆ จากนั้นเดินไปหยิบเต้าหู้ที่นางทำเอาไว้เมื่อคืนออกมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันทำให้นางรู้สึกสดชื่น
นางหั่นเต้าหู้เป็สี่ชิ้นเล็ก วางทิ้งเอาไว้ด้านข้าง
นางเด็ดถั่วงอกที่เหล่าทหารปลูกเอาไว้มาล้างทำความสะอาด ก่อนจะนำพริกสีแดงมาหั่นเป็ชิ้นเล็กๆ จากนั้นสับกระเทียมและต้นหอมต่อ
นางตักน้ำใส่ในหม้อแล้วเริ่มต้ม น้ำที่ใช้ส่วนใหญ่ในเมืองเทียนหลิงล้วนเป็น้ำจากน้ำฝน แม้จะเป็น้ำฝน แต่ก็มีรสชาติหวานล้ำยิ่ง
เมื่อน้ำเดือดนางใส่กระเทียม เต้าหู้ และสาหร่ายทะเลลงไป ตามด้วยปลาแห้ง จากนั้นต้มจนน้ำกลายเป็สีขาว กลิ่นของกระเทียมหอมโชยขึ้นมาจากหม้อ นางสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด
ต่อมานางใส่ถั่วงอกและพริกแดงลงไป ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำมันงา ต้มต่ออีกสักพักกลิ่นหอมก็ลอยอวลไปทั่วทั้งห้องครัว
ทหารหลายคนพอตื่นขึ้นมาก็รีบวิ่งออกมาข้างนอก ครั้นได้กลิ่นหอมของน้ำแกงที่นางต้ม ต่างเดินมาที่ห้องครัวอย่างสงสัย “คุณหนูหนิง ท่านกำลังทำอาหารหรือขอรับ”
“แค่น้ำแกงสร่างเมานะ พวกเ้าหิวแล้วหรือ” นางตักน้ำแกงใส่ถ้วยขณะเอ่ยถาม ทหารผู้นั้นยกมือลูบด้านหลังศีรษะอย่างเขินอาย “กำลังหิวอยู่พอดีเลยขอรับ”
“เช่นนั้นเดี๋ยวข้าทำโจ๊กให้ น้ำแกงสร่างเมานี้ข้าทำให้สองคนนั้นที่ไปดื่มสุราจนเมากลับมาเมื่อวาน”
“ขอรับ เช่นนั้นข้าไปวิ่งออกกำลังกายก่อนนะขอรับ” ทหารผู้นั้นพยักหน้าก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป