เฉินโย่วที่ถูกจับไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เมื่อออกมาบนร่างก็ยังมีหยาดน้ำเกาะพราวราวกับต้นหอมน้ำ
ผมบนศีรษะที่เคยชี้โด่ชี้เด่ก็ลู่ลงมาปรกใบหน้าน้อยนั้น แม่นางหลัวจึงใช้ผ้าเช็ดแรงๆ ให้แห้ง
เช็ดแรงเสียจนร่างของเด็กหญิงแทบจะขึ้นเงา
เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย
“น้าหลัว ข้าตัวแห้งดีแล้ว ท่านไม่ต้องเช็ดต่อแล้ว ไม่เช่นนั้นหัวข้าคงได้หลุดมาด้วย”
ราชครูที่นั่งอยู่ใต้ต้นอู๋ถงด้วยความสับสน เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้าก็อดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
เอาเถิด
แต่เขาก็ใมากจริงๆ
ท่านหมอที่รักษาขาให้เขานั้นนับว่าวิชาการแพทย์เป็เลิศ กระทั่งราชครูที่เคยอยู่ในวังเช่นเขาก็ยังััได้ถึงความสามารถของท่านหมอ
ด้วยในวังนั้นหากใครเกิดขาหักขึ้นมาก็ต้องนอนพักสักครึ่งปี มิเช่นนั้นก็อย่าได้หวังว่าจะลุกขึ้นมาได้
ทว่าตัวเขาเองยังไม่ทันถึงเดือนก็เดินได้แล้ว เพียงแต่ไม่ค่อยมีแรงนักจึงไม่อาจออกแรงมากได้ นอกจากนั้นก็ไม่ต่างจากปกติเท่าใด
เขาเดิมทีก็ไม่ได้เดินไปไหนมากมายนัก จนมาอยู่ที่นี่ก็เดินเยอะขึ้นมากโข จึงรู้สึกว่าแข้งขาตนนั้นมีความว่องไวขึ้นไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้สิ่งที่แม่นางหลัวกล่าวย่อมไม่ใช่เื่โกหก
อย่างที่เ้าตัวเล็กนั่นบอก ยามมองหน้าคนที่ไม่ได้พูดความจริง เขาเองก็รู้สึกได้เช่นกัน ทว่าเขานั้นไม่ได้ตัดสินจากสีหน้า เื่นี้นับว่าเป็ความสามารถของตระกูลจ้งก็แล้วกัน เพียงแต่ขอบเขตของความสามารถนี้อาจจะไม่เท่ากัน
เขานั้นไม่นับว่าเก่งกาจ เพราะหากว่าเก่งกาจนั้นก็คงจะไม่ถูกฮองเฮาจ้าวและองค์หญิงให้ร้ายเช่นนี้
แต่ก็คงจะเป็เพราะเขานั้นไม่เก่งกาจ จึงทำให้เขาอายุยืนเช่นนี้
ด้วยความสามารถอันสูงส่งและอายุขัยของตระกูลจ้งนั้นนับว่าสวนทางกันเสมอมา
เ้าเด็กหญิงที่ท่านหมอว่าจะอยู่ไม่ถึงวัยปักปิ่นนั้นบัดนี้แข็งแรงราวกับลูกวัวตัวหนึ่ง ทั้งสะบัดหัวสะบัดผมวุ่นวายนัก
หยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ก็พลันถูกสะบัดกระจายเป็วง
ยามกระทบกับแสงแดด หยดน้ำเ่าั้ก็สะท้อนเห็นเป็แสงหลากสี
เด็กหญิงกระทั่งรองเท้าก็โดนเปลี่ยนใหม่มาสวมรองเท้าคู่เล็ก เท้าสีชมพูคู่น้อยที่สะบัดไปมาจึงปรากฏแก่สายตา
ราชครูมองนางด้วยความฉงน
ใบหน้าน้อยๆ เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ใครเห็นก็พลันรู้สึกปลอดโปร่งราวกับว่าบนโลกนี้ไม่เคยมีเื่ใดให้ปวดใจจนคนรอบกายอดยิ้มตามไม่ได้
ใบหน้าของชายชราก็พลันปรากฏรอยยิ้มตามเด็กหญิง ใบหน้ายับย่นด้วยรอยยิ้มนั้นพลันดวงตาร้อนผ่าว จากนั้นจึงมีหยดน้ำตาพร่างพราวไหลอาบหน้า
เขานั้นไม่ได้เศร้าใจให้เ้าเด็กนั่น ทว่ากำลังเศร้าโศกให้ตัวเอง
เมื่อนึกถึงตนเองจึงยิ่งทำให้น้ำตายิ่งไม่อาจหยุดไหล
แท้จริงแล้วฮองเฮาไม่จำเป็ต้องเปลืองแรงส่งคนมาไล่ฆ่าเขา เขาก็คงอยู่อีกไม่นาน เพียงแต่กลัวว่าจะวุ่นวายจึงได้เร่งเฟ้นหาศิษย์ั้แ่เนิ่นๆ
เมื่อหาผู้สืบทอดได้แล้ว เขาก็คิดจะออกไปท่องยุทธภพ
ที่กล่าวว่าท่องยุทธภพนั้น แท้จริงก็เพียงเพื่อตามหาสถานที่ไว้ฝังร่างตนเองเท่านั้น
ขั้นตอนของมันแค่คิดก็หนาวเหน็บนัก
ยิ่งไม่พูดถึงว่าต้องพบเจอมันจริงๆ
“พูดจาเหลวไหลอีกแล้ว หัวจะหลุดได้อย่างไร หากข้ารู้ว่าเ้าแอบอ่านตำราไร้สาระพวกนั้นอีก ข้าจะทำโทษไม่ให้เ้ากินข้าว” หลัวอู๋เลี่ยงแสร้งตีหน้าขรึมขู่เด็กหญิง
เฉินโย่วนั้นไม่นึกกลัวสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย จึงยิ้มแป้นแล้นตอบนาง “ไม่ให้กินข้าว ข้าก็กินบะหมี่ กินหมั่นโถว”
แม่นางหลัวได้ยินเช่นนั้นก็อดยื่นมือออกไปหยิกแก้มอ้วนๆ ของนางไม่ได้
ราชครูที่เพิ่งถูกเชิญให้ทานข้าวก็อดจะรู้สึกขวยเขินไม่ได้ รู้สึกว่าบุรุษตัวคนเดียวนั้นไม่อาจกินข้าวในเรือนสตรีเช่นนี้ได้
เฉินโย่วน้อยนั้นอารมณ์ขึ้นลงไวนัก บัดนี้ลืมสิ้นแล้วเื่ที่อาจารย์เพิ่งดุตนไป หน้าน้อยๆ ยื่นไปกระซิบข้างหูอาจารย์ว่า “อาหารเรือนน้าหลัวอร่อยนัก มีปลาตัวอ้วนๆ ประเดี๋ยวพวกพี่ชายก็จะมากินด้วยกัน”
เมื่อถึงยามพลบค่ำ เหล่าเด็กหนุ่มก็พากันกลับมา
แม้แต่อาสวินที่ปกติก็เอาแต่เงียบงัน สีหน้าก็ดูแดงระเรื่อขึ้นไม่น้อย
ดูท่าแล้วคงเบิกบานใจไม่เบา
นายท่านสามเองก็ลงเขาไปั้แ่เช้า บัดนี้ก็กลับมาพร้อมกับเด็กหนุ่ม ซ้ำยังทำหน้าหนาถึงอย่างไรก็จะขอมากินข้าวที่เรือนแม่นางหลัวกับพวกเด็กหนุ่มให้ได้
ราชครูมองเหล่าเด็กหนุ่มที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยโคลนกำลังพากันยื้อแย่งเข้ามาล้างกายในเรือนแม่นางหลัว
ความเยาว์ของวัยเยาว์ ความอ่อนเยาว์ที่แสนน่ามอง ความแข็งแรงที่แสนจะแข็งแกร่ง เขานั้นเห็นแล้วอิจฉานัก
เด็กหนุ่มร่างกำยำตักน้ำเย็นขึ้นราดกายทันใด ทว่าถึงจะอาบน้ำเย็นไปก็ไม่ป่วยไข้อยู่ดี
แสงสุดท้ายจากตะวันยามอัสดงสาดลงมาบนร่างกายท่อนบนของเด็กหนุ่ม จึงได้เห็นว่าพวกเขานั้นยังเด็กนัก
เสี่ยวอู่นั้นว่องไวที่สุด เพียงครู่เดียวก็รีบสาดน้ำล้างกายไปไม่กี่ทีก็เสร็จแล้ว จากนั้นก็รีบไปสวมเสื้อผ้าด้วยความไวที่ไม่ต่างกัน เพียงสวมลวกๆ เท่านั้น
ต่อมาก็เป็อาลู่ อาลู่ก็ว่องไวเช่นกัน ล้างเนื้อล้างตัวและสวมชุดเสร็จแล้วลูบผมเผ้าอีกทีสองทีให้เรียบร้อย
ส่วนคนที่ช้าที่สุดนั้นย่อมเป็อาสวิน
อาสวินนั้นค่อนข้างกลัวความเย็นจึงได้ค่อยๆ ลูบตัวช้าๆ ทว่าแม้แต่ซอกเล็บก็ยังทำความสะอาด จากนั้นก็หวีผม สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็รัดเข็มขัดให้แน่นสักหน่อย
เชือกของรองเท้าที่เขาสวมใส่อยู่ก็จำต้องรัดให้แน่นเช่นกัน
เด็กหนุ่มล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาดหมดจด
ราชครูที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ะเืใจมา ก่อนหน้าพักใหญ่ก็กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่แล้วเช่นกัน
แม้ชุดยาวที่บนเขามอบมาให้ตนมาจะเพียงเนื้อผ้าฝ้ายทั่วไปมิใช่ผ้าไหม ทว่าเขานั้นเกิดมาหน้าตาโอบอ้อมอารีเป็ทุนเดิมจึงดูแล้วมีสง่านัก โดยเฉพาะผมยาวสยายของเขาที่ดูที่เงางามเป็มัน
ยามราชครูมาถึงก็นั่งลงข้างโต๊ะ เสี่ยวอู่ที่แทบอดใจรอไม่ไหวก็ไปนั่งลงข้างๆ กัน
อาลู่นั้นคางเรียว ริมฝีปากบาง ดวงตาทั้งคู่เป็ประกาย ทั้งยังเป็ดวงตาดอกท้อที่เรียวยาว ยามยิ้มจึงชวนให้คนรอบข้างรู้สึกดี แม้จะเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว แต่ผมที่ยังชื้นอยู่นั้นไม่ได้ถูกมัดเก็บให้เรียบร้อย ปล่อยให้สยายลงมา ทำให้ใบหน้าหนุ่มน้อยนั้นดูมีแววเ้าชู้ไม่เบา
ความจริงแล้วอาลู่นั้นไม่ค่อยชอบยิ้มแย้มนัก ทั้งใบหน้านั้นก็ไม่มีลักยิ้ม จึงทำให้ยามยิ้มออกมาดูปลอมอยู่ไม่น้อย
มีเพียงยามที่เขามองน้องสาวเท่านั้น เขาจึงจะยิ้มจริงใจออกมา ทั้งดวงตาและคิ้วต่างราวกับจะรวมเป็หนึ่ง ดูแล้วผ่อนคลายนัก
ส่วนอาสวินที่เพิ่งจะออกมาเป็คนสุดท้ายนั้นได้เช็ดผมจนแห้งแล้ว ทั้งยังรวบเก็บเรียบร้อยไม่เหมือนราชครูที่ยังคงปล่อยให้ผมสยายเสียครึ่งหนึ่ง แล้วรวบไว้เพียง้าเท่านั้น เด็กหนุ่มนั้นขมวดผมเป็มวยใหญ่แน่น ใบหน้าหลังอาบน้ำเสร็จนั้นยังคงแดงระเรื่อ ดวงตายังคงสงบลุ่มลึก คิ้วเรียงสะอาด ริมฝีปากไม่หนาไม่บาง องคาพยพทั้งห้าล้วนดูกำลังดี มีแต่เพียงใบหูเท่านั้นที่ดูใหญ่โตอยู่สักหน่อย
ทั้งติ่งหูนั้นยังดูหนานัก อีกยังมีแต่เนื้อ
ดูแล้วงดงามราวกับพระพุทธองค์น้อย
ถึงกระนั้นต่อให้เด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความงามทั้งสามจะมานั่งรวมกัน ทว่าก็ยังไม่น่ามองเท่าเ้าเด็กผมทรงลูกนกที่นั่งอยู่อีกด้าน
อาลู่ช่วยน้องสาวรวบผมให้เรียบร้อย จากนั้นจึงปล่อยนางไป
ส่วนเสี่ยวอู่ก็ยื่นลูกอมให้นางกำหนึ่ง
ทางอาสวินช่วยนางจัดชุดให้เรียบร้อย
บรรยากาศในเรือนนั้นพลันเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
นายท่านสามก็มาแล้วเช่นกัน ร่างกำยำนั้นสวมชุดขาวตลอดร่าง รองเท้าที่กำลังย่างกรายเข้ามานั้นก็เปลี่ยนเป็คู่ใหม่แล้วเช่นกัน ทั้งร่างนั้นดูมีกลิ่นอายใหม่เอี่ยม และเพื่อปกปิดคิ้วที่บากไปกว่าครึ่งของตนนั้น เขาจึงจงใจปล่อยผมลงมาให้ปรกคิ้วไว้ครึ่งหนึ่ง ทำให้ใบหน้านั้นดูแปลกไปสักหน่อย
มีเพียงแม่นางหลัวที่ไม่เปลี่ยนชุดใหม่ ยังคงใส่ชุดเดิมก่อนหน้า
นายท่านสามเมื่อเห็นแม่นางหลัวก็ทำตัวลีบหลบไปนั่งอยู่มุมห้อง เสียงสนทนาอย่างออกรสออกชาติของชายหนุ่มเมื่อครู่ก็พลันเงียบลง ตอนนี้ดูแล้วยังดูเรียบร้อยกว่าเฉินโย่วน้อยเสียอีก
อาหารเย็นวันนี้ละลานตานัก
ทั้งยังมีปลาจริงๆ เสียด้วย
ปลานั้นยังคงวางไว้ตรงหน้าเฉินโย่ว ทว่านางนั้นกลับไม่ได้คีบเอง เป็อาลู่คอยคีบให้แล้วเอาก้างออก จากนั้นจึงค่อยคีบใส่จานคืนให้นาง
ส่วนนางนั้นแค่นั่งรอก็พอ
เสี่ยวอู่นั้นตะกละตะกลามนัก ทว่ายามคีบกับข้าวนั้นก็ยังคิดได้ว่าต้องคิดให้พี่ชายและน้องสาวด้วย
อาสวินนั่งกินอาหารอย่างสุภาพ ทว่าความเร็วในการกินก็ไม่ช้าแต่อย่างไร
“วันนี้ทุกคนดูดีใจถึงเพียงนี้ ไปพบเจอเื่อะไรกันมาหรือ” แม่นางหลัวเอ่ยปากถาม
เด็กหนุ่มจึงพร้อมใจกันหันหน้าไปทางนายท่านสาม
ชายหนุ่มจึงกระแอมขึ้นทีหนึ่ง เสียงที่ตอบออกไปมีแววสั่นน้อยๆ “เ้ารู้จักอาวุธของแคว้นจิงหรือไม่”
แม่นางหลัวมองนายท่านสามราวกับเหยียดหยามทีหนึ่ง ผู้ใดเล่าจะไม่รู้จักอาวุธแคว้นจิง
“พูดเนื้อหาสำคัญมาสิ!”
นายท่านสามที่เห็นแววตาราวกับกำลังสนใจของนาง ซึ่งความจริงแล้วก็คือแววตาเหยียดหยาม เขาก็พลันตื่นเต้นเสียจนพูดไม่ออก
นายท่านสามมองไปก็เห็นว่าบนโต๊ะยังมีท่านอาจารย์กัวนั่งอยู่......
แม่นางหลัวจึงกล่าวขึ้น “ท่านอาจารย์กัวเป็คนกันเอง”
ราชครู ‘ข้าไม่อยากเป็คนกันเองได้หรือไม่เล่า’
“ข้าเพิ่งเจอดินดำพิเศษที่แคว้นจิงใช้ในการผลิตอาวุธลังหนึ่ง อาสวินก็ยืนยันว่าต้องใช่แน่ เช่นนั้นก็น่าจะขายได้ราคาสูงยิ่ง”
แม่นางหลัวเมื่อได้ยินเช่นนั้นความใก็เผยบนหน้างาม ร่ำลือกันว่าดินที่ใช้สำหรับจุดอาวุธของแคว้นจิงนั้นมีมูลค่าเสียยิ่งกว่าทอง
นายท่านสามที่เพิ่งจะสามารถกู้หน้าจากแววตาเหยียดหยามเมื่อครู่ได้ ใบหน้ายิ้มกว้างนั้นจึงกล่าวต่อ “เสี่ยวอู่เป็คนไปเจอ เขาเห็นขบวนคาราวานนั่นทำท่าพิกลจึงได้ยึดลังนั้นไว้”
พวกพ่อค้ายามอยู่ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางนั้นก็ยืนยันว่าสินค้าของตนนั้นเป็สินค้าทั่วไป จะจ่ายแค่ค่าผ่านทางธรรมดา ด้วยหากเป็ราคาอาวุธจากแคว้นจิงนั้นก็ต้องถูกเก็บค่าผ่านทางเพิ่มขึ้นมากโข เมื่อฝ่ายตรงข้ามจงใจปกปิดเช่นนี้สินค้าจึงต้องถูกยึดเอาไว้
“แม้จะเป็ดินแคว้นจิงแน่ ทว่าก็ยังต้องกังวลเื่ปัญหาที่จะตามมา” อาสวินกล่าวเสริมขึ้นมา
เสี่ยวอู่ที่เพิ่งถูกชมจนตัวลอยก็อดใจรอไม่ไม่ไหวรีบไปยกลังที่วางแอบอยู่ตรงมุมเรือนเข้ามา จากนั้นก็ตักขึ้นมาช้อนหนึ่งด้วยความระมัดระวังแล้ววางลงบนโต๊ะ
กระทั่งลมหายใจของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเป็เบาลง
ราชครูเองก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความใ
ในตอนนั้นเองจึงได้เห็นเฉินโย่วน้อยปีนขึ้นมาบนเก้าอี้แล้ววางกระเป๋าหนังงูของนางลงบนโต๊ะ ก่อนจะเทของในกระเป๋าออกมา
หินก่อนหนึ่งพลันร่วงออกมาจากกระเป๋าน้อย หินก้อนนั้นก็มีสีดำเช่นเดียวกันกับดินดำตรงหน้าทุกคน