พอตกเย็นแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นพักอยู่ในห้องของตนเอง จื่อเซียงยกอาหารเข้ามา แล้วยกชาดอกไม้ที่ชงเสร็จเรียบร้อยมาด้วย
“คุณหนู ลองดื่มน้ำชานี้ดู” จื่อเซียงช่วยมู่อวิ๋นจิ่นรินน้ำชาแก้วหนึ่ง ส่งให้มู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นรับแก้วน้ำชามา เมื่อน้ำชาัักับริมฝีปาก กลิ่นหอมฟุ้งอบอวลที่คุ้นเคย “เอ๊ะ นี่ไม่ใช้ชาดอกไม้จากวัดสุ่ยอวิ๋นหรอกหรือ?”
“ใช่เ้าค่ะ บ่าวตั้งใจส่งคนไปถามหาที่วัดสุ่ยอวิ๋น บอกว่าพระชายาของพวกเราชอบน้ำชานี้” จื่อเซียงยิ้มพูด
“เ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบดื่ม ข้าแค่ดื่มครั้งเดียวที่วัดสุ่ยอวิ๋นก็เท่านั้นเอง” มู่อวิ๋นจิ่นยักคิ้ว
จื่อเซียงยิ้มเล็กน้อย “ข้าน้อยติดตามคุณหนูมาตั้งหลายปี นิสัยของคุณหนูทำไมบ่าวจะไม่รู้ วันนั้นเห็นคุณหนูดื่มน้ำชาที่วัดสุ่ยอวิ๋น แล้วชมไม่ขาดปาก ก็รู้แล้วว่าคุณหนูชอบเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นจิบชาอึกหนึ่ง ก่อนมองไปที่จื่อเซียง ในใต้หล้านี้รู้สึกโชคดีที่ยังมีคนจริงใจปฏิบัติต่อตนเช่นนี้
หลังจากจิบชาไปหลายอึก มู่อวิ๋นจิ่นจับตะเกียบขึ้นมา กำลังจะทานข้าว ด้านนอกมีเสียงบ่าวดังขึ้นจากด้านนอก
“พระชายา ด้านออกมีบ่าวใช้คนหนึ่งบอกว่า เป็คนของจวนซ่างขอเข้าพบเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นใ ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย บ่าวใช้จวนซ่างหรือ?
“จื่อเซียง เ้าไปดูข้างนอกสิ” มู่อวิ๋นจิ่นพูดกับจื่อเซียง
จื่อเซียงพยักหน้า รีบวิ่งออกไปทันที
ไม่นานนัก เมื่อจื่อเซียงกลับมา ด้านหลังมีบ่าวใช้เดินตามมาด้วย ที่แท้ก็เป็ชุ่ยอวิ๋น บ่าวใช้คนสนิทของมู่หลิงจู
“บ่าวชุ่ยอวิ๋น คารวะพระชายาหก” เมื่อชุ่ยอวิ๋นเข้าประตูมา ก็คุกเข่าลงบนพื้น ถวายความเคารพมู่อวิ๋นจิ่น
จื่อเซียงเห็นเช่นนี้ เดินไปอยู่ข้างกายมู่อวิ๋นจิ่น กระชิบข้างหูนางเสียงเบาว่า “ชุ่ยอวิ๋นเดิมทีเป็บ่าวใช้ทำหน้าที่ซักผ้าในจวนซ่าง หลังจากหงเซียถูกไม้โบยจนตาย ชุ่ยอวิ๋นก็ถูกนายท่านเรียกให้ไปปรนนิบัติคุณหนูสี่เ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นรับทราบแล้ว พยักหน้ามองไปที่ชุ่ยอวิ๋น “ดึกขนาดนี้แล้ว เ้ามีธุระอันใดหรือ?”
ชุ่ยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น เม้มปาก ดูเหมือนจะมีความลังเลอยู่บ้าง จากนั้นยื่นมือถอดกำไลหยกในข้อมือออกมา ยกถวายต่อหน้ามู่อวิ๋นจิ่น
“หมายความว่าอะไร?” มู่อวิ๋นจิ่นจ้องกำไลหยกนั้น ด้วยความรู้สึกคุ้นตา
“วันนี้บ่าวกลับจวนไปกับคุณหนูสี่ คุณหนูสี่ถูกพระชายาหรงรังแก จากนั้นด้วยอารมณ์โมโห จึงสั่งให้บ่าวไปปล่อยข่าวลือให้ทั่ว โดยมีเนื้อความว่าพระชายาหรงว่าพระชายาหกแย่งชายรักของคุณหนูฉิน หนำซ้ำยังให้บ่าวพูดอีกว่า ตระกูลฉินแอบสนับสนุนท่านอ๋องหรง ให้ขึ้นเป็ฮ่องเต้องค์ใหม่...”
ชุ่ยอวิ๋นพูดจบ แล้วก้มหัวคำนับมู่อวิ๋นจิ่น “บ่าวหวาดกลัวไม่น้อย รู้ดีว่าถ้าข่าวลือเื่นี้ถูกแพร่ออกไป ต้องเกิดเื่ใหญ่ขึ้นแน่นอน ในใจไม่รู้จะทำเช่นไร จึงตั้งใจมาขอร้องให้พระชายาหกช่วยชี้ทางสว่างให้เ้าค่ะ ”
“กำไลหยกวงนี้ เป็สิ่งที่คุณหนูสี่ตบรางวัลให้บ่าวเ้าค่ะ”
อวิ๋นจิ่นได้ฟังสิ่งที่ชุ่ยอวิ๋นพูดมา เอนหลังพิงเก้าอี้ ดวงตาคู่นั้นหรี่ลง และยากจะเอื้อมเอ่ยเหลือเกิน
หลังจากนั้นพักใหญ่ๆ มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจเบาๆ พูดเชื่องช้าว่า “คนอย่างมู่หลิงจูพูดอะไรไปกลัวตายเลยเสียจริง ดูแล้วไม่มีใครกล้าว่าตนที่หนึ่งแล้วล่ะ”
“เ้าลุกขึ้นก่อน” มู่อวิ๋นจิ่นพูดกับชุ่ยอวิ๋น
ชุ่ยอวิ๋นพยักหน้า แล้วลุกขึ้นยืน ดวงตาแดงก่ำ จ้องมองมู่อวิ๋นจิ่น “ไม่นานนี้บ่าวเพิ่งเห็นจุดจบที่น่าอนาถของหงเซีย ไม่อยากเดินซ้ำรอยเดิมของหงเซียอีกเ้าค่ะ”
“เ้ากลับไปก่อน เมื่อกลับไป ให้บอกมู่หลิงจูว่าได้ทำตามสิ่งที่สั่งไว้แล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยเสียงเรียบเฉย
ชุ่ยอวิ๋นใ ดวงตาแสดงความประหลาดใจ
“มู่หลิงจูเพิ่งเข้าไปอยู่ในจวนใหม่ แน่นอนสองสามวันนี้ พระชายาหรงต้องรังแกนางทุกวิถีทาง เกรงว่าพระชายาหรงคงต้องมีคนเป็หูเป็ตา ซ่อนอยู่ทุกจุดของจวนหรง นางคงไม่มีเวลาสนใจเื่ยิบย่อยพวกนี้”
มู่อวิ๋นจิ่นพูดจบ ลุกขึ้นยืน เดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เลือกกำไลหยกขาววงหนึ่งที่ไม่ค่อยสวมใส่
“อันนี้ให้เ้า” มู่อวิ๋นจิ่นเอากำไลหยกขาวใส่ไว้ในมือของชุ่ยอวิ๋น
“นี่...” ชุ่ยอวิ๋นก้มหัวดูกำไลหยกขาว ด้วยไม่เข้าใจ
มู่อวิ๋นจิ่นแสยะยิ้ม “เ้าเป็คนฉลาด นี่คือรางวัลที่เ้าควรได้รับ ส่วนกำไลหยกในมือเ้า หากมู่หลิงจูรู้ว่าเ้าทำงานไม่สำเร็จ ไม่แน่นางอาจจะเรียกคืน ข้าไม่อยากให้เ้าวิ่งเสียเวลาเปล่า”
“บ่าวขอบคุณพระชายาหกเ้าค่ะ ต่อไปบ่าวจะจงรักภักดีต่อพระชายาหก ถึงตัวตายก็ไม่ทรยศ” ชุ่ยอวิ๋นคุกเข่าลงอีกครั้ง ร้องไห้อย่างปลื้มใจ
“เอาล่ะ เ้ารีบลุกขึ้นเถอะ พระชายาของพวกเราไม่ได้กินเืกินเนื้อใครสักหน่อย เ้าเอาแต่คุกเข่าอยู่นั้นแหละ” จื่อเซียงพยุงชุ่ยอวิ๋น
“ชุ่ยอวิ๋นพยักหน้า ยกมือปาดเช็ดน้ำตา “ขอบคุณพี่จื่อเซียง”
หลังจากชุ่ยอวิ๋นจากไป มู่อวิ๋นจิ่นตักข้าวใส่ปากไม่กี่คำ ก็ครุ่นคิดเื่เมื่อครู่ที่ชุ่ยอวิ๋นพูด
ตอนนี้ดู จัดการซูปี้ชิงได้แล้วหนึ่งคน ยังเหลือซูปี้ชิงอีกนับพันนับหมื่นยังคนรอนางอยู่
ตระกูลฉิน ช่างเป็เื่ความยุ่งยากที่ใหญ่หลวงนัก
……
วันรุ่งขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นตั้งใจสวมอาภรณ์เรียบง่ายออกจากจวน ทรงผมถักเปียแบบเรียบง่าย ในมือถือผ้าคลุมตาข่ายไว้ แล้วเดินออกไปทางประตูหลังจวนองค์ชายหก
เมื่อไปถึงประตูหลัง มู่อวิ๋นจิ่นบังเอิญพบกับฉู่ลี่และติงเซี่ยน
พอมองไปดูรถม้าด้านข้าง มู่อวิ๋นจิ่นก็หันมองฉู่ลี่ “เ้าจะไปไหน?”
ฉู่ลี่ชายตามองมู่อวิ๋นจิ่น มองการแต่งตัวั้แ่หัวจรดเท้า มองเห็นผ้าคลุมตาข่ายในมือนาง จึงขมวดคิ้วสองข้างขึ้น “เ้าจะไปที่ไหนอีก?”
“ข้าไปเดินเที่ยวเล่น” มู่อวิ๋นจิ่นยู่ปาก แล้วมองไปที่รถม้าสีดำด้านข้างนั้น “เ้าจะเดินทางไกลหรือ?”
“อืม” ฉู่ลี่พยักหน้าจากไปโดยไม่ได้บอกว่าจะไปที่ไหน
มู่อวิ๋นจิ่นไม่แปลกใจที่เห็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เจอเหตุการณ์เช่นนี้มาสองครั้ง ครั้งนี้ฉู่ลี่จะไปไหน นางไม่คิดสนใจอะไรแล้ว
“อย่างนั้นขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย ข้าไปล่ะ” มู่อวิ๋นจิ่นโบกมือให้ฉู่ลี่ แล้วเดินออกจากประตูไปทางตลาด ยกคลุมผ้าคลุมหัวตาข่ายขึ้นมาใส่
ด้านหลัง ฉู่ลี่ชายตามองเงาหลังของมู่อวิ๋นจิ่น จากนั้นยิ้มเล็กน้อย
ติงเซี่ยนเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง พูดเสียงเบาว่า “องค์ชายเตรียมพร้อมแล้ว ตอนนี้พวกเราต้องไปรับคุณหนูฉินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เ้าส่งคนไปรับนาง จากนั้นเจอกันที่เมืองธารรัตติกร”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
……
มู่อวิ๋นจิ่นมาถึงถนนตลาด เดินั้แ่หัวถนนยังทายถนน ระหว่างทางได้ยินชาวบ้านพูดเื่ทั่วๆ ไป ไม่ได้ยินเื่ราวที่ชุ่ยอวิ๋นเล่าให้ฟังเมื่อคืนนี้ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
หาร้านน้ำชาที่เงียบสงบนั่งพัก มู่อวิ๋นจิ่นนั่งอยู่ในห้องรับแขกบนชั้นสองที่ติดกับหน้าต่าง นอกหน้าต่างขนานกับลำธารที่ไหลลงมาจากูเา ร้านน้ำชาแห่งนี้ดูเงียบกว่าร้านน้ำชาที่ขึ้นชื่อในใจกลางเมืองอย่างมาก
หลังจากนั่งพักได้สักพักหนึ่ง น้ำชากับของว่างถูกยกขึ้นมาวางไว้แล้ว มู่อวิ๋นจิ่นกำเมล็ดทานตะวันกำหนึ่ง แกะทานอย่างเพลิดเพลิน นางมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นรถม้าสีดำคันหนึ่งวิ่งผ่านถนนสายเล็กนั้นไป
มู่อวิ๋นจิ่นชะเง้อดูรถม้าที่ค่อยๆ วิ่งผ่านคันนั้น เห็นติงเซี่ยนนั่งอยู่ด้านออกคุมรถม้า ไม่ต้องบอกก็ทราบว่าฉู่ลี่ต้องนั่งอยู่ในรถม้าแน่นอน
เมื่อรถม้าไปไกลแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นนั่งท้าวแขนไปที่หน้าต่าง มองตามรถม้าที่วิ่งหายไป เกาหัวแล้วเกาหัวอีก ครุ่นคิดอย่างละเอียด ดูเหมือนว่ารถม้าน่าจะเดินทางไปที่เมืองธารรัตติกร......
มู่อวิ๋นจิ่นดูอย่างนั้นสักพักใหญ่ๆ เห็นว่าบนถนนคนน้อยลง พลันรู้สึกเบื่อขึ้นมา ถ้ารู้เช่นนี้เมื่อครู่น่าจะพาจื่อเซียงออกมาด้วยคน
คนเดียวนั่งกินดื่มที่นี้ ช่างไร้รสชาติขาดสีสัน
ขณะเตรียมตัวกลับนั้น ถนนนอกหน้าต่าง ก็มีรถม้าสง่าคันหนึ่งค่อยๆ วิ่งผ่าน ดูโครงสร้างของรถม้านั้น รู้ได้ทันทีว่าราคาสูงลิบลิ่ว
มู่อวิ๋นจิ่นบังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที ยื่นหน้าชะเง้อออกไปมองดูรถม้าที่ยิ่งวิ่งยิ่งใกล้เข้ามานั้น
ด้านนอกรถม้านั้นมีชายคนหนึ่งพบดาบติดตัวกำลังขับรถม้าอยู่ เมื่อรถม้าวิ่งใกล้หน้าต่างที่มู่อวิ๋นจิ่นยืนมองอยู่ มีสายลมพัดวูบไหวมา พัดม่านหน้าต่างข้างหนึ่งของรถม้า เผยใบหน้างดงามด้านข้างของสตรีคนหนึ่ง
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วทันที สีหน้าซีดขาว ครู่หนึ่งถึงได้สติกลับมา เห็นรถม้าคันนั้นกับรถม้าสีดำวิ่งไปทางเดียวกัน ในใจก็ยิ้มอย่างเ็า
ฉินมู่เยว่...
ฉี่ลี่พาฉินมู่เยว่ออกไปข้างนอกแล้ว
……
ระหว่างทางกลับจวน มู่อวิ๋นจิ่นไม่ตะขิดตะขวงใจ ในหัวสมองมีแต่ภาพหันข้างของฉินมู่เยว่
ภายในใจชักเริ่มสงสัยความสัมพันธ์ของสองคนนั้น ถ้าว่าฉู่ลี่มีความรักต่อฉินมู่เยว่แล้วล่ะก็ ทำไมทั้งสองอายุที่ถึงวัยแต่งงานได้แล้วกลับยังไม่แต่งงานกันอีก
หากไร้ความรัก ทำไมต้องปล่อยให้ฉินมู่เยว่พัวพันเขาตลอดทุกวันไปทำไมกัน
เมืองธารรัตติกร เมืองธารรัตติกร......
มู่อวิ๋นจิ่นคิดแล้วคิดอีก ในสมองปรากฏภาพดอกบัวดำที่ขึ้นอยู่ในถ้ำเมืองธารรัตติกร หรือว่าดอกบัวดำเ่าั้ ฉินมู่เยว่ก็รู้ด้วย?
แล้วสองคนนี้ กำลังมีแผนการอะไรกันอยู่?
มู่อวิ๋นจิ่นยิ่งคิดยิ่งอามารณ์เสีย กว่ากลับถึงจวน เวลาก็ล่วงเลย่บ่ายไปแล้ว
“พระชายากลับมาได้เสียที ไปที่ใดมาหรือเ้าคะ? บ่าวส่งคนไปตามหาพระชายาที่ตลาดรอบหนึ่งแล้วก็ไม่พบท่านเ้าค่ะ” แม่นมเสิ่นรีบกุลีกุจอมาต้อนรับ
“ทำไมหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นนั่งลง ไถ่ถามขึ้นมา
แม่นมเสิ่นถอนหายใจ “ฉินไท่เฟยส่งคนมาที่จวน เชิญพระชายาเข้าไปพบสนทนากับนาง และรับประทานอาหารเที่ยง ตอนนี้ล่วงเลยไปแล้ว...”
เมื่อได้ยินว่าเป็ฉินไท่เฟย มู่อวิ๋นพยักหน้า มองดูเวลา “ข้าไปเปลี่ยนชุด เข้าวังเดี๋ยวนี้แหละ!”
“เ้าค่ะ อย่างนั้นบ่าวจะส่งคนเข้าวังไปรายงานเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นกลับถึงห้องนอน นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ให้จื่อเซียงช่วยเกล้าผมให้ใหม่ ในเวลาเดียวกัน นางก็เอาแต่ถอนหายใจเป็ครั้งคราว ดูสิ่งใดก็ไม่สนใจทั้งนั้น
“คุณหนูเป็อะไรไปเ้าคะ? หรือเป็เพราะองค์ชายออกไปข้างนอนทำให้ไม่ดีใจเ้าคะ?” จื่อเซียงถามมู่อวิ๋นจิ่นด้วยรอยยิ้ม
เมื่อฟังจื่อเซียงพูดถึงฉู่ลี่ มู่อวิ๋นจิ่นก็ยังถอนหายใจดังขึ้น “อย่ากล่าวถึงเขาอีกเลย”
“ทำไมกันหรือ?” จื่อเซียงไม่เข้าใจขึ้นมา
“ไม่มีอะไร เ้ารีบเกล้าผมให้เร็วหน่อย ประเดี๋ยวต้องเข้าวัง”
“เ้าค่ะ คุณหนู”
……
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม รถม้าเดินทางมาจอดหน้าประตูวัง มู่อวิ๋นจิ่นลงจากรถม้า แล้วก็เห็นรถม้าอีกคันหนึ่งจอดตรงข้าม
รถม้าอีกคันหนึ่งนั้น เห็นบ่าวใช้กำลังยกมือช่วยพยุงพระชายาหรงค่อยๆ เยื้องย่างลงมา
มู่อวิ๋นจิ่นเดิมทีตั้งใจจะทำเป็มองไม่เห็น แต่ว่าสายตาของพระชายาหรงแหลมคม แค่แวบเดียวก็เห็นมู่อวิ๋นจิ่น ดังนั้นจึงะโเรียก “หลานสะใภ้บังเอิญจริงเชียว”
เห็นนางเรียกตนเองหลานสะใภ้อย่างอบอุ่น มู่อวิ๋นจิ่นจะเรียกท่านป้าหรงก็กระดากปาก จึงเรียกพระชายาหรงตามตำแหน่งเสียดีกว่า
ระหว่างกำลังครุ่นคิดอยู่ พระชายาหรงก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว
“หลานสะใภ้ เ้าไปไหนกัน?” พระชายาหรงยิ้มถาม
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปาก มองดูไปที่พระชายาหรงสายตาแน่นิ่ง “ไปเข้าเฝ้าฉินไท่เฟย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้