ในวันงานซูอินตื่นแต่เช้า ออกกำลังกายยามเช้าเสร็จเธอก็นั่งรถของตระกูลอวี๋
เมื่อชาติก่อนทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงวันเกิด ซูอินยืนหลบมุมด้วยความอาย ไม่อยากชื่นชมความสดใสและความงามของหลิงเมิ่ง กลับชาติมาเกิดครั้งนี้ เป็โอกาสที่หาได้ยากที่จะได้รับความร่วมมือจากตระกูลหลิง แน่นอนว่าเธอต้องฉลองวันเกิดปีนี้อย่างมีความสุข
คนที่ควรเชิญก็จำเป็ต้องเชิญ
เมื่อเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมทดลอง ทุกห้องจะมีหนังสือที่ระลึก นอกจากถ่ายรูปหมู่และรูปชีวิตประจำวันแล้ว ครูประจำชั้นและเพื่อนร่วมห้องต่างก็มีหน้าที่แนะนำตนเอง ในนั้นมีภาพถ่ายที่เป็ศิลปะสวยงาม ด้านข้างเขียนถึงสิ่งที่สนใจ งานอดิเรก ความปรารถนา และทิ้งช่องทางติดต่อไว้
เมื่อมีหนังสือที่ระลึกเล่มหนานี้อยู่ในมือ ซูอินจึงใช้มันในการติดต่อครูและเพื่อนๆ
หลังกลับชาติมาเกิด ปฏิสัมพันธ์ของเธอกับคนอื่นไม่ดีขึ้นเท่าไร แต่ก็ไม่รู้สึกพะวงในใจตลอดเวลาเหมือนชาติก่อน ครั้งนี้เธอต่างจากชาติก่อนโดยสิ้นเชิง
ั้แ่เกิดเธอไม่มีนิสัยเข้าได้กับทุกฝ่าย ราวกับถูกกำหนดไว้ว่าไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมอันซับซ้อนวุ่นวายเหมือนปลาในน้ำ โดยเฉพาะการทำร้ายตนเองที่ต้องโค้งคำนับเอาใจทุกคน แสดงกิริยาให้คนรัก แต่เมื่อเกิดปัญหา กลับไม่สามารถหาคนช่วยเหลือได้ สู้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ หาเพื่อนแท้สักหนึ่งหรือสองคนที่มีบุคลิกคล้ายกัน ไม่ยอมแพ้ และไม่ทอดทิ้งเวลาที่เกิดปัญหาก็พอ
ดังนั้นเธอจึงเชิญเพียงครูที่ปรึกษาอย่างหลินซิ่ว ส่วนเพื่อนนักเรียนเธอเชิญคนสนิทอย่างสวีเหวินเหวินและอวี๋ฉิงเท่านั้น
สวีเหวินเหวินทิ้งเบอร์โทรศัพท์บ้านตระกูลสวีไว้ให้ เมื่อได้ยินเสียงที่เหลืออดของแม่เฒ่าสวี เธอจึงไม่พูดอะไร และวางสายทันที
อวี๋ฉิงทิ้งเบอร์โทรศัพท์มือถือส่วนตัวไว้ให้ติดต่อ เมื่อโทรศัพท์ไปเป็เ้าตัวที่รับเอง เมื่อได้ยินคำเชิญ คุณหนูรีบตอบรับอย่างมีความสุข อีกทั้งยังเสนอว่าจะแต่งตัวให้เธอในวันงาน
ถึงแม้คุณหนูผู้นี้จะมีท่าทีเย่อหยิ่ง แต่ซูอินก็ชินเสียแล้ว และรู้ดีว่าในใจของอวี๋ฉิงไม่คิดอะไร มันเป็แค่บุคลิกของเธอ
เมื่อคนขับรถลงมาเปิดประตูหลัง ก็พบอวี๋ฉิงที่กำลังนั่งหาวอยู่ด้านใน
เมื่อพบเธอ อวี๋ฉิงหยุดหาวทันที “ั้แ่สอบขึ้นมัธยมปลาย ตอนเที่ยงฉันยังไม่ตื่นเลย วันนี้ตื่นเช้าขนาดนี้ก็เพื่อเธอเลยนะ”
เธอเข้าใจดีถึงการปล่อยตัวใน่ปิดเทอมของนักเรียนส่วนใหญ่ จึงพยักหน้าเบาๆ
“อืม ลำบากคุณหนูแล้ว”
อวี๋ฉิงยังคงมีท่าทีเย่อหยิ่งเช่นเคย “รู้แล้วก็ดี ดังนั้นวันนี้เธอต้องสู้เพื่อฉัน”
เมื่อประตูปิด รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างนิ่มนวล ได้ยินคำพูดประโยคนี้ซูอินแสดงสีหน้าประหลาดใจ “เป็อะไรหรือ”
หรือว่าคุณหนูก็มีความแค้นกับหลิงเมิ่ง จึงอยากให้เธอช่วยจัดการ
“ไม่ใช่อะไรหรอก…เื่นั้นน่ะ…”
เมื่อได้คำพูดที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงดูิ่ของอวี๋ฉิง ซูอินก็รู้ได้ทันทีว่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดของเื่นี้ ทั้งคู่แย่งชุดกระโปรงตัวเดียวกัน โดยหลิงเมิ่งได้เอ่ยคำพูดที่ไม่น่าฟัง
“ฉันน่ะเห็นชุดนั้นก่อน ก็ไม่อยากทะเลาะกับยายนั่นให้มากเื่ จึงรูดบัตรซื้อไปให้จบๆ"
อวี๋ฉิงกล่าวอย่างโล่งใจ ซูอินเห็นด้วยกับการกระทำนั้น “เื่บางอย่างควรทำตามลำดับขั้นตอน มันควรเป็แบบนั้นแหละถูกต้องแล้ว”
“ใช่ แบบนี้แหละดีแล้ว ง่วงจะแย่ ขยับไหล่เข้ามาใกล้ๆ หน่อย ฉันขอนอนสักแป๊บหนึ่ง”
ซูอินขยับไหล่เข้าไปใกล้ อวี๋ฉิงเอนศีรษะลงมาซบก่อนจะหลับไปอย่างรวดเร็ว
อวี๋ฉิงพาซูอินไปยังคลับเฮาส์ครบวงจรสำหรับสมาชิกกิตติมศักดิ์ระดับสูงที่อยู่ใจกลางเมือง ไม่ว่าจะเป็ยุคไหน ก็มักจะมีสถานที่แบบนี้สำหรับคนรวยเสมอ ซูอินคลับคล้ายคลับคลาว่า หลังจากที่หลิงเมิ่งร่ำรวย เมื่อชาติก่อนอู๋อู๋ก็ได้เข้าเป็สมาชิกของที่นี่ และมาใช้บริการเสริมความงามเป็ประจำ
คลับเฮาส์แห่งนี้ตกแต่งอย่างหรูหราและสะอาดสะอ้าน พนักงานบริการแต่งตัวเรียบร้อย เดินกันเงียบๆ ทุกด้านเป็ไปตามเกณฑ์มาตรฐานสูงของที่นี่
คุณภาพของสไตลิสต์ก็สูงมากเช่นกัน ตลอดระยะเวลาที่แต่งหน้าทำผม ซูอินไม่รู้สึกอึดอัดเลย
แน่นอนว่าสิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับ่เวลาในการดำเนินการด้วย
ถึงแม้จะใช้เวลาสั้นๆ แต่กลับไม่กระทบผลลัพธ์ที่ออกมา ซูอินไม่ใช่คนมีใบหน้างามสมบูรณ์แบบ แต่มีความสดใสผุดผ่อง ผิวขาวละเอียด ทำให้คนที่เห็นรู้สึกดีได้ไม่ยาก และเมื่อได้รับการปกปิดข้อบกพร่องโดยสไตลิสต์ก็ทำให้ใบหน้านั้นเปล่งประกายมากกว่าเดิม
ซูอินอดไม่ได้ที่จะนึกถึงน้ำจากน้ำพุแห่งจิติญญา หากการชำระล้างในร่างกายของเธอเสร็จสมบูรณ์ เธอจะเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับรูปลักษณ์ในตอนนี้ได้ไหมนะ
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะตั้งตารอเพื่อแผนที่วางไว้สำหรับงานเลี้ยงในคืนนี้
“ก็ดี ไม่เสียแรงที่ฉันตื่นแต่เช้า”
อวี๋ฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งเช่นเดิม เธอเงยหน้าก่อนจะส่งชุดที่อยู่ในห่อกระดาษขนาดใหญ่มาให้
“สวมชุดนี้สิ”
ซูอินรับมา ก่อนจะหยิบชุดกระโปรงเป็ชั้นสีชมพูออกมา ในนั้นมีใบเสร็จตกลงมาด้วย
เธอก้มลงไปหยิบก็พบว่ามีวันที่เขียนไว้ซึ่งบังเอิญตรงกับเมื่อวาน
“นี่คือ”
อวี๋ฉิงพยักหน้า “ยายนั่นดำจะตาย ยังอยากใส่สีชมพู ลองสวมดูสิ เธอใส่แล้วต้องดูดีมากแน่ๆ”
ด้านจิตใจนั้นซูอินไม่ได้อายุสิบหกปีเหมือนรูปร่างและหน้าตา เธอจึงไม่ชอบสีชมพูเท่าไร แต่ก็เข้าใจความหวังดีของอวี๋ฉิง อีกอย่างวันนี้เธอแต่งหน้าสวยขนาดนี้ หากจะสวมกระโปรงที่ไม่น่าดูนักก็คงไม่เป็อะไร
เธอเข้าไปในห้องแต่งตัวและเปลี่ยนกระโปรง เมื่อออกมาจึงเห็นรูปลักษณ์ใหม่ของตนเองในกระจก ถึงตอนนี้เธอสลัดความรู้สึกเฉยเมยก่อนหน้านี้ออกไปจนหมด
แท้ที่จริงสีที่เหมาะกับเด็กสาวสวย ก็ต้องเป็สีชมพูอย่างไม่ต้องสงสัย!
ชุดกระโปรงตัวนี้เข้ากับหน้าที่สไตลิสต์แต่งให้เธอมาก เมื่อรวมกันแล้วเหมือนเติมเต็มซึ่งกันและกัน เธอชื่นชมตนเองในกระจก ซูอินรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเหมือนขนมเค้กสตรอว์เบอร์รีที่แสนสดใส ทำให้ใครต่อใครอดไม่ได้ที่อยากกัดสักคำ
สีหน้าของสไตลิสต์เต็มไปด้วยคำชื่นชม
แม้แต่อวี๋ฉิงก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าชื่นชม “ฉันบอกแล้ว ถ้าเธอใส่ต้องสวย”
แม้แต่คุณหนูอวี๋ฉิงผู้เย่อหยิ่งก็ยังเอ่ยชม ดูเหมือนว่ามันคงไม่เลวจริงๆ เมื่อได้แต่งตัวสวย ในใจของซูอินก็รู้สึกดี นอกจากจะมีความสุข เธออดไม่ได้ที่จะตั้งตารอดูปฏิกิริยาของหลิงเมิ่ง
งานเลี้ยงวันเกิดนี้จัดขึ้นใน่เที่ยง ตอนที่ซูอินมาถึงคือราวๆ สิบเอ็ดโมง ที่จอดรถบริเวณหน้าโรงแรมหลิงกวงใกล้เต็มแล้ว
ประตูหน้าโรงแรมหลิงกวงสูงเท่าตึกสองชั้น มีัทองเอนกายอยู่บริเวณทางเข้าชั้นสอง ด้านล่างมีป้ายไฟ LED ที่เขียนว่างานเลี้ยงวันเกิด ซูอินกวาดสายตามองก็พบว่าชื่อของเธอถูกวางไว้หน้าชื่อของหลิงเมิ่ง
อย่างน้อยในจุดนี้หลิงจื้อเฉิงก็ใส่ใจมาก
เ้าของงานยกกระโปรงขึ้นเดินตรงไปที่หน้าประตู หลังจากที่แสดงตัวแล้ว พนักงานต้อนรับก็รีบเข้ามาต้อนรับเธออย่างนอบน้อมและพาไปยังห้องจัดเลี้ยง
ห้องจัดเลี้ยงอยู่ที่ชั้นสามของโรงแรมหลิงกวง ชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองจัดให้เป็ล็อบบี้ บันไดสีทองงดงามตรงประตูทางเข้าในตอนนี้ถูกปูด้วยพรมแดง เมื่อเดินขึ้นบันไดไปก็เจอห้องจัดเลี้ยง
ขั้นบันไดถูกออกแบบให้เหมือนกับสุสานของซุนยัดเซ็น ด้านล่างไม่สามารถมองเห็น้า แต่้ากลับไม่มีสิ่งกีดขวาง
หลิงเมิ่งอยู่ข้างกายมารดา ยืนต้อนรับผู้มาร่วมงานพร้อมกับรอยยิ้มไร้เดียงสา ก่อนจะหันไปเห็นคนที่เพิ่งขึ้นบันไดมา
เมื่อเห็นชุดที่อีกคนสวม ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง
และพอได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ เธอก็ยืนนิ่งอยู่กับที่
