“คนที่ข้าตามหาคือคนที่มีปราณิญญาสีรุ้ง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า...”
เมื่อได้ยินคำวิเคราะห์ของเขา หลิงเซียวไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่มองเขาท่าทียิ้มกริ่ม แม้ไม่ได้เอ่ยต่อ แต่สายตานั้นคือกำลังสงสัยไม่ผิดแน่
โหยวเสี่ยวโม่ที่ถูกสงสัยแปลงร่างเป็เ้าเม่นตัวน้อยที่แผ่ขนตั้ง สงสัยปราณิญญาของเขาก็เท่ากับสงสัยในตัวเขา ยกโทษให้ไม่ได้!
“ท่านๆๆ ท่านหมายความว่ายังไง? ข้าไม่เหมือนคนที่มีปราณิญญาสีรุ้งตรงไหน หากวันนี้ท่านไม่พูดให้รู้เื่ล่ะก็ ทีหลังข้าจะไม่ยุ่งกับท่านอีก” โหยวเสี่ยวโม่ผู้บอบบางจู่ๆ ก็แผลงฤทธิ์ขึ้นมาบ้าง
หลิงเซียวหลุดขำดังลั่น ดึงเขาเข้ามากอดแล้วขยี้หัวอีกรอบ ‘ไม่ยุ่งกับท่าน’ คืออะไรกัน? คำพูดนี้ฟังแล้วช่างน่าสนใจนัก
“ท่านยังไม่ตอบคำถามข้าเลย” โหยวเสี่ยวโม่ที่อยู่ในอ้อมกอดยังไม่วายเอ่ยถามอย่างเคืองโกรธ
ยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะกล้าแผลงฤทธิ์ต่อหน้าหลิงเซียว ผลคือ...เฮ้อ จริงทีเดียวที่ว่ามีพลังยุทธ์นั้นเป็เื่สำคัญ เขายังไม่ทันกำแหงได้เท่าไหร่ก็โดนข่มอีกแล้ว
“ที่จริงข้าควรคิดได้ตั้งนานแล้ว” จู่ๆ หลิงเซียวก็เอ่ยขึ้น
แม้ว่าโหยวเสี่ยวโม่ตอนนี้จะเป็เพียงนักหลอมโอสถขั้นสาม แต่ความเร็วการเลื่อนขั้นของเขานั้นไม่เคยมีมาก่อนแน่นอน แม้การฝึกฝนวิชายุทธ์คัมภีร์ิญญา์จะมีส่วนบ้างก็ตาม แต่ถ้าหากไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอ ก็คงไม่มีทางเลื่อนขั้นจากขั้นหนึ่งไปเป็ขั้นสามได้ภายในเวลาไม่ถึงปีแน่ แม้โลกที่เขาเคยคือก็ไม่เคยมีคนเช่นนี้ปรากฏขึ้น
หลายๆ ปัจจัยนั้นส่อแววชัดว่าศักยภาพของโหยวเสี่ยวโม่ย่อมไม่ใช่สีเขียวมรกตที่เคยทดสอบมา เขาเองก็พึ่งสงสัยเมื่อไม่นานมานี้ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สายไป
โหยวเสี่ยวโม่เงยหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาก็ถอนหายใจ
เมื่อครุ่นคิดจบ ทันใดหลิงเซียวก็ก้มลงมองเขา เอ่ยจริงจัง “ศิษย์น้องเล็ก เห็นทีคำขอของขงเหวินเ้าคงต้องแสร้งว่าทำไม่ได้แล้วล่ะ”
“ทำไมกัน?” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยอย่างไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าหลิงเซียวคงไม่พูดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
“ศักยภาพของเ้าต่างจากแต่ก่อน ด้วยเหตุผลแล้ว ศักยภาพที่อยู่ระดับกลางลงไปล่างไม่มีทางเลื่อนขั้นสองครั้งในหนึ่งปีได้อยู่แล้ว จากขั้นหนึ่งสู่ขั้นสองอาจจะได้ แต่เ้าเองก็เป็นักหลอมโอสถ ต้องรู้อยู่แล้วว่าขั้นยิ่งสูงก็ยิ่งยาก หากเ้าเลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นสามในเวลาแค่สองเดือน ถึงตอนนั้นเ้าคิดว่าผู้คนจะคิดยังไง?” หลิงเซียวไม่อยากขู่เขา แต่เขาก็ไม่้าให้โหยวเสี่ยวโม่ถูกทำร้าย ดังนั้นหลายเื่จึงป้องกันไว้ล่วงหน้าดีกว่า
คิดยังไงหรือ?
ถึงตอนนั้นคงคิดว่าเขาผิดปกติ คนที่ศักยภาพต่ำเช่นนั้นกลับเลื่อนขั้นได้เร็วเหมือนอัจฉริยะ หากเป็เขาก็คงคิดเช่นเดียวกัน
ดังนั้นผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด เขาคงถูกขงเหวินจับไปตรวจสอบ จากนั้นพบว่าปราณิญญาไม่เหมือนเดิม พวกเขาคงสงสัยว่าปราณิญญาเขาเปลี่ยนไป จากนั้นก็วิจัยอีก และอาจสงสัยว่าเขาไม่ใช่คนเดิม ท้ายสุด เขาคงกลายเป็หนูทดลองที่ต้องนอนรอถูกวิจัยต่อไป…
เมื่อคิดถึงผลลัพธ์เช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่ขนลุกตัวสั่นสะท้าน น่ากลัวเกินไปแล้ว!
โหยวเสี่ยวโม่เม้มปาก ได้แต่เอ่ยอย่างจำยอม “คงต้องอย่างงั้นแหละ”
จากความคิดเดิมของเขา ที่จริงเขาอยากลองยั่วโมโหขงเหวินสักที แม้ขงเหวินจะเป็อาจารย์ของเขา แต่อาจารย์ไม่ได้ชอบเขา เขาก็ไม่ได้ชอบอาจารย์ท่านนี้เท่าไหร่ ดังนั้นเขาอยากให้ขงเหวินรู้สึกเสียใจทีหลัง ว่ามีศิษย์ที่ดีเช่นนี้แต่กลับละเลยเขา เสียใจล่ะสิ!
เสียดายความคาดหวังที่งดงาม หากหมดโอกาสนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกเมื่อไหร่
“ศิษย์น้องเล็ก”
บนหัวมีเสียงหล่อเหลาดังขึ้น
โหยวเสี่ยวโม่รีบเงยหน้าขึ้น ก็เห็นสีหน้ากลั้นหัวเราะของหลิงเซียว สายตายิ้มกริ่ม มองเขาท่าทีหยอกล้อ กะพริบตาปริบๆ อะไรอีกล่ะ?
หลิงเซียวหัวเราะแล้วเอ่ย “อยากยั่วโมโหขงเหวินไม่ใช่เื่ยาก ถึงตอนนั้นหากเ้าปรากฏตัวอยู่ในคณะเดินทาง ขงเหวินคงต้องลมจับแน่”
โหยวเสี่ยวโม่ “...” เขาพูดความในใจดังไปสินะ?
แต่พอนึกตาม ที่หลิงเซียวพูดก็เข้าท่า
ในเมื่อขงเหวินไม่ชอบเขาขนาดนี้ คงไม่มีทางให้เขาไปแน่นอน มิฉะนั้นคงไม่ตั้งแง่ให้เขาลำบาก หากเขาแกล้งทำเป็เลื่อนขั้นในสองเดือนนี้ไม่ได้ เขาต้องดีใจมากแน่ แต่หากวันนั้นเขาโผล่ไปที่คณะ ตาเฒ่านั่นคงหน้าเปลี่ยนสีแน่
ท่านไม่ให้ข้าไป แต่ข้าก็จะไป ไม่มีท่าน ข้าก็มีคนอื่นคอยช่วยอยู่ดี!
คร่าวๆ คงประมาณนี้ โหยวเสี่ยวโม่คิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันรู้สึกดีอกดีใจ ทนไม่ไหวหัวเราะออกมา เขาทนรอวันนั้นไม่ไหวแล้ว
หลิงเซียวเห็นท่าทีแอบหัวเราะของเขา ในใจรู้สึกมันเขี้ยว ทนไม่ไหวยื่นมือออกไป นิ้วเรียวสวยลูบไล้คางเขา หัวเราะแล้วเอ่ย “ข้าพูดไม่ผิดใช่มั้ย?”
โหยวเสี่ยวโม่เบ้ปาก พยักหน้าแล้วหัวเราะ เสนอความคิดเข้าท่าแบบนี้ เขาจะลืมเื่มือที่กำลังลูบไล้คางเขาอยู่ก็ได้ “งั้นก็ตามนี้”
แม้จะรู้สึกผิดกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองที่ช่วยเขาขอโอกาสนี้ แต่เพื่อหนทางการเป็นักหลอมโอสถของเขาเอง เขาจะเสี่ยงไม่ได้ ดังนั้นคงต้องขอโทษพวกเขาแล้ว
ปรากฏว่าหัวข้อก็ถูกหลิงเซียวเปลี่ยนอ้อมไปอ้อมมาอย่างแเี
โหยวเสี่ยวโม่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดตัวเอง จนเวลาผ่านไปสักพัก เขาพึ่งนึกได้ว่ายังมีเื่อยากถามอีกเยอะแยะ แต่นั่นก็พลาดโอกาสเหมาะไปแล้ว
เมื่อรู้ว่าศักยภาพของตัวเองไม่ใช่ระดับกลางลงล่าง แม้ในฝันโหยวเสี่ยวโม่ก็ยังคงยิ้มอยู่ เมื่อคิดไปถึงว่าอีกหน่อยเขาจะไม่หยุดแค่ที่นักหลอมโอสถชั้นกลาง ความสำเร็จของเขาถึงขั้นสามารถเก่งกาจกว่านักหลอมโอสถขั้นสิบที่เป็ที่กล่าวขานอย่างชิวหร่าน
แต่เมื่อรู้ถึงศักยภาพของตัวเองแล้ว เขาก็มีเื่ยุ่งยากเพิ่มเข้ามา นั่นก็คือการรวบรวมหญ้าเซียนขั้นสูง
แต่ก่อนเขาคิดว่าตัวเองคงเป็ได้แค่นักหลอมโอสถขั้นหก ดังนั้นจึงไม่เคยสืบเื่เมล็ดพันธุ์ขั้นสูงมาก่อน ตอนนี้รู้ความจริงแล้ว เขาก็ต้องเริ่มสะสมเมล็ดพันธุ์หญ้าเซียนขั้นสูง หากเขาเป็นักหลอมโอสถขั้นเจ็ดแล้ว คงต้องรีบวิ่งวุ่นตามหาเมล็ดพันธุ์ให้ทั่ว
คิดถึงจุดนี้ โหยวเสี่ยวโม่พลันนึกถึงเขานทีเมฆา เขาจำได้ว่าเขานทีเมฆาเป็แหล่งเพาะปลูกหญ้าเซียนขั้นกลางและขั้นสูง ในเมื่อที่นั่นมีหญ้าเซียนขั้นสูง ก็ต้องมีเมล็ดพันธุ์ เมื่อคิดถึงเมล็ดพันธุ์ เขาก็นึกถึงอาจารย์อาเยี่ย ไม่รู้ว่า...เขาจะยังจำตัวเองได้หรือเปล่า?
จบกัน ตอนนั้นเขายกโอกาสให้ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไป อาจารย์อาเยี่ยคงไม่พอใจเท่าไหร่…
แต่เื่พวกนี้เป็เื่ในอนาคต โหยวเสี่ยวโม่จึงปล่อยพักไว้ก่อน อีกหน่อยค่อยหาโอกาสขึ้นไปเขานทีเมฆาอีกรอบ เห็นทีตอนนี้ก็ต้องกลับสำนักเทียนซินแล้ว
ส่วนเื่หยกแกะสลักสิบสองตัว หลิงเซียวไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแต่ให้เขาเก็บไว้ให้ดี
โหยวเสี่ยวโม่เพียงแต่เก็บหยกแกะสลักสิบสองตัวไว้เป็เครื่องประดับตกแต่ง ในส่วนสัตว์ปีศาจทั้งสิบสองตัวที่แกะสลักจากหยกนั้น ต้องบอกอย่างน่าเสียดายว่า เขาไม่เคยเห็นมันในตำราสัตว์ปีศาจชั้นสูงมาก่อนแม้แต่ตัวเดียว แต่เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไร ถึงยังไงสัตว์ปีศาจก็มีหลากหลายชนิดเต็มไปหมด เผ่ามนุษย์คงไม่มีทางเห็นแล้ววาดได้หมดทุกตัวหรอก มีบางส่วนที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ครั้งนี้ หลิงเซียวใช้พลังห้วงมิติของตัวเองพาทั้งสองตรงไปยังเมืองเหอผิง
เมืองเหอผิงยังคงเหมือนเคย บนตรอกถนนเต็มไปด้วยผู้คนครึกครื้น แต่คงเพราะเข้าใกล้การเปิดแดน์วิมาน ดังนั้นคนที่มาซื้อขายยาเซียนตันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปแดน์วิมาน
โหยวเสี่ยวโม่กับหลิงเซียวเดินเข้าร้านยาร้านหนึ่ง ร้านยาขายยาเซียนตัน แต่ยาเซียนตันล้วนต้องบรรจุใส่ขวดหยกถึงจะรักษาคุณภาพของตัวยาไว้ได้ ดังนั้นร้านยาส่วนใหญ่ก็จะมีขายขวดหยกด้วย
โหยวเสี่ยวโม่ตั้งใจว่าจะซื้อขวดหยกเพิ่มหลายร้อยขวด หลักๆ เพราะว่า่ก่อนเขาหลอมยาค่อนข้างเยอะ เพื่อจะแบ่งชนิดออกมา เขาจัดการใช้ขวดยาในถุงเก็บของจนหมด
พนักงานได้ยินว่าเขา้าซื้อขวดหยก อีกทั้งจำนวนมาก พลันเหลือบมองเขา
ทั่วไปแล้วคนที่จะซื้อขวดยากว่าร้อยอันขึ้นไป ล้วนเป็นักหลอมโอสถชั้นสูงขึ้นมาหน่อย แต่เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนราวสิบเจ็ดสิบแปดกลับซื้อตั้งสามร้อยขวดในคราวเดียว
พนักงานเดาว่าเขาคงเป็ศิษย์สำนักใดสักแห่ง จึงไม่ได้คิดมากอะไร หยิบขวดยาหลากหลายแบบออกมา “คุณชายท่านนี้ ที่นี่เรามีขวดหยกสิบแบบ ไม่ทราบว่าท่าน้าแบบไหนขอรับ?”
ขวดหยกใช้เพื่อการรักษาคุณภาพยา คุณภาพดีสรรพคุณของยาก็ยิ่งดี โดยเฉพาะสำหรับยาเซียนตันขั้นกลางหรือขั้นสูง ทั่วไปแล้วนักหลอมโอสถจะเลือกที่คุณภาพดีๆ ใช้กัน
แต่โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้ปวดหัวกับเื่พวกนี้ หนึ่งคือเพราะเขาหลอมยาเซียนตันขั้นล่าง อีกหนึ่งสาเหตุคือ เขาหลอมเสร็จก็เก็บไว้ในห้วงมิติ ซึ่งมีพลังปราณเต็มเปี่ยม เป็แหล่งเก็บที่ดี เขาแค่เพียงขนย้ายมาไว้ในถุงเก็บของเมื่อถึงคราวต้องใช้
พนักงานเห็นเขา้าซื้อแบบที่คุณภาพชั้นล่างสุด ก็แอบผิดหวัง แต่จำนวนสามร้อยอันก็ไม่ใช่น้อยๆ นี่ถือเป็การปลอบใจ จากนั้นคำนวณเงินออกมาอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดคือ สามสิบตำลึงทอง ขวดหยกสิบอันหนึ่งตำลึงทอง
เมื่อซื้อขายเรียบร้อย โหยวเสี่ยวโม่ก็เดินไปยังลานนกขนส่งพร้อมหลิงเซียว นั่นคือสถานที่แรกที่โหยวเสี่ยวโม่ลงเขาแล้วเจอ เมื่อศิษย์สำนักเทียนซิน้ากลับขึ้นเขาก็ต้องไปที่นั่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้