่นี้สวี่เหรางานยุ่งเป็อย่างยิ่ง เขา้าจะผลักดันการปลูกข้าวสาลีให้ขยายออกไปทั่วเขตเหอซีที่ตนปกครองอยู่
ความลำบากที่พบเจอไม่ใช่ว่าจะใช้เวลาแค่ครู่เดียวแล้วมาพูดให้เข้าใจได้ ประชาชนในหมู่บ้านคุ้นชินกับการเพาะปลูกแบบเดิมไปเสียแล้ว
สุดท้ายสวี่เหราหมดหนทางแล้วจริงๆ จึงเชิญหัวหน้าหมู่บ้านมาที่แปลงทดลอง เชิญเกษตรกรคนนั้นมาช่วยพูดถึงการหว่านเมล็ดข้าวสาลี พูดถึงสถานการณ์การเก็บเกี่ยว พวกหัวหน้าหมู่บ้านฟังแล้วก็มีคนเหมือนจะอยากไปลองปลูกดู ฤดูหนาวอากาศหนาว ทุกคนต่างไม่เชื่อว่าข้าวสาลีจะสามารถเติบโตในสภาพอากาศที่หนาวเย็นขนาดนั้นได้ ดินในฤดูนี้หากปลูกได้ไม่ดี ก็จะส่งผลกระทบต่อรายได้หนึ่งปีของหนึ่งครอบครัว ตอนนี้ทุกคนแทบจะไม่มีอาหารกักตุนเอาไว้เลย ของที่เก็บเกี่ยวมาก็ได้ผลผลิตน้อย ปริมาณการเก็บเกี่ยวก็ได้ไม่ถึงครึ่ง หลายคนถึงขั้นไม่มีที่ดินเป็ของตนเอง เป็ชาวนาที่ไม่ได้เป็เ้าของที่ดิน เพราะเช่ายืมที่ดินของคนอื่นมาปลูก
สวี่เหราครุ่นคิดกับตนเอง มิสู้ตนเองทำสวนเอาไว้สักที่ ซื้อที่ดินร้อยสองร้อยไร่ อย่างน้อยต่อไปตนเองจะปลูกข้าวกินเองก็ย่อมสะดวก ที่สำคัญที่สุดก็คือ สวี่ตี้อยากจะทำแปลงนาทดลองเป็ของตนเอง ตอนนี้ที่ทางตรงนี้เป็จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อที่เป็คนช่วยจัดหามาให้
หัวหน้าหมู่บ้านหลายท่านที่เชิญมาฟังคำอธิบายของเกษตรกรต่างพากันมองพืชในดินที่ตนเองไม่เคยเห็นมาก่อน ได้ยินมาว่าอาหารพวกนี้ให้ปริมาณการเก็บเกี่ยวสูง ไม่เลือกดิน ถึงแม้จะเป็ดินในูเาก็สามารถปลูกได้ หัวหน้าหมู่บ้านก็ต่างเริ่มให้ความสนใจ หลังจากปรึกษากันเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงตัดสินใจเอาที่ดินหลายไร่จากเรือนของตนเองมาใช้ เตรียมตัวทำตามผู้พิพากษาท้องถิ่น หากพืชพันธุ์ในฤดูใบไม้ร่วงทำการเก็บเกี่ยวมาหมดแล้วก็จะเริ่มต้นปลูกข้าวสาลีในทันที
สวี่เหรางานยุ่งมาทั้งวัน หลังจากกลับมาถึงเรือน ตอนที่เพิ่งจะนั่งลงบนตั่งริมหน้าต่าง สวี่จือก็ยกน้ำล้างเท้าเข้ามา ตอนนี้สวี่เหราคุ้นชินไปแล้วกับการที่กลับเรือนมาก็ต้องแช่เท้าแก้เหนื่อยก่อนเป็อย่างแรก
สวี่จืออายุห้าหนาวแล้ว เพราะว่าได้ทานอาหารที่ดี สภาพอารมณ์ดี รูปร่างจึงสูงขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้นางเริ่มจะติดตามแม่นมลู่เข้าไปทำอาหารในโรงครัวแล้ว ให้นางเรียนรู้ตามแม่นมลู่ทั้งหมดในตอนนี้ก็ยังมิกล้า ถึงแม้แม่นางน้อยจะเป็เด็กดี แต่เด็กน้อยหากเกิดอุบัติเหตุจะทำให้รับาเ็ได้ง่าย ต้องรออีกปีสองปีก่อนค่อยให้สวี่จือเรียนรู้ก็ยังมิสาย
ถึงแม้จะไม่ต้องติดตามคนในเรือนออกไปทำงาน แต่สวี่จือกลับใช้การใส่ใจในเื่เล็กๆ มาพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของตนเองในเรือนหลังนี้ อย่างเช่น การยกน้ำล้างเท้ามาให้สวี่เหรา
ชิงซุยกับชิงเหมี่ยวเดินตามมาด้านหลัง ยกกะละมังขนาดใหญ่ตามร่างเล็กๆ มา คนหนึ่งถือน้ำร้อน อีกคนถือผ้าเช็ดเท้ากับผงถั่วที่เอาไว้ใช้อาบน้ำ ของพวกนี้ล้วนเป็ของที่คุณชายสามเอาไว้ใช้ล้างเท้า
สวี่เหรารีบช่วยสวี่จือยกเอากะละมังล้างเท้ามาวางเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย “จือเอ๋อร์เอ๋ย ไม่ต้องรบกวนลูกหรอก พ่อทำเองได้”
สวี่จือตอบ “ท่านพ่อเ้าคะ จือเอ๋อร์อยู่ในเรือนก็มิได้ทำสิ่งใด ท่านกับท่านแม่และท่านพี่งานยุ่งทุกวันขนาดนี้ จือเอ๋อร์ติดตามแม่นมลู่ สามารถช่วยเื่เล็กๆ น้อยๆ ให้พวกท่านได้ ข้าก็ดีใจมากแล้วเ้าค่ะ”
สวี่เหรารีบนั่งลง “เช่นนั้นก็รบกวนจือเอ๋อร์แล้ว”
สวี่เหราเป็พ่อที่ดี รักลูกและเข้าใจว่าลูกสาวชอบช่วยงานเช่นนี้ ความจริงแล้วนางทำเพื่อที่จะหาความรู้สึกของการมีอยู่ของตนในเรือนหลังนี้ นี่คือสิ่งที่จางจ้าวฉือพูดกับเขาในเวลาต่อมา เขาเคยเป็พ่อของสวี่ตี้มาก่อน ตอนที่เลี้ยงสวี่ตี้ในตอนนั้น พวกเขาเลี้ยงแบบปล่อยปละละเลย มีหรือจะเคยมานั่งใส่ใจกับความ้าทางจิตใจของลูกมาก่อน?
สวี่จือยิ้มตาหยีก่อนตอบว่า “ไม่รบกวนเลยเ้าค่ะ เพื่อทำให้ประชาชนในเขตของพวกเราร่ำรวยท่านพ่อก็งานยุ่งมาทั้งวันแล้ว ท่านแม่ก็ยุ่งอยู่กับการสอนความรู้ทางการแพทย์ให้กับพวกท่านลุงแพทย์ทหารที่จวนท่านแม่ทัพ พี่ชายก็ยุ่งกับการปลูกพืช มีแค่จือเอ๋อร์ที่ว่าง ตอนนี้จือเอ๋อร์ยังเด็ก ไม่สามารถช่วยปลูกพืชได้ แล้วก็ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ เช่นนั้นก็ช่วยงานในเรือนกับแม่นมลู่ ทำอาหารให้พวกท่านทาน ซักเสื้อผ้าให้พวกท่านใส่ เช่นนี้ดีหรือไม่เ้าคะ”
สวี่เหราเอ่ยอย่างดีใจ “จือเอ๋อร์ของพวกเราช่างรู้ความจริงๆ มาเถิด ระหว่างทางที่พ่อกลับมาเห็นร้านขนมเปิดใหม่ พ่อรู้ว่าจือเอ๋อร์ของพวกเราชอบขนมจึงซื้อมาให้ จือเอ๋อร์ลองทานก่อนสักสองชิ้นดีหรือไม่?”
สวี่จือมองแล้วก็ส่ายหน้า “ท่านพ่อเ้าคะ รอท่านแม่และท่านพี่กลับมากินพร้อมกันดีกว่าเ้าค่ะ”
สวี่เหราฟังแล้วก็ไม่สนใจว่าเท้าทั้งสองข้างของตนจะวางอยู่ในกะละมังที่มีไอร้อนๆ ลอยออกมา เขาอุ้มสวี่จือขึ้นมาก่อนจะให้นางนั่งบนตักตนเอง กอดนางเอาไว้แล้วกล่าวอย่างดีอกดีใจว่า “จือเอ๋อร์ของพวกเราเป็เด็กที่รู้ความมากที่สุดเลย จือเอ๋อร์เอ๋ย ลูกยังอยากกินอะไรอีกหรือไม่ บอกพ่อมาให้หมด พ่อจะคิดหาวิธีเอามาให้ลูกเอง ดีหรือไม่?”
สวี่จือตอบบิดา “ท่านพ่อเ้าคะ ตอนนี้จือเอ๋อร์ได้กินอาหารอร่อยมากมายทุกวันเลยเ้าค่ะ กับข้าวที่ป้าเหอทำอร่อยมาก ขนมที่แม่นมลู่ทำก็อร่อย มิต้องซื้อให้จือเอ๋อร์แล้วเ้าค่ะ พวกเราจะต้องเก็บเงินเอาไว้ซื้อไร่นาใหญ่ๆ ให้พี่ชาย”
คนในครอบครัวตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อที่ดินตรงูเาทิศตะวันออกของเมืองเหอซี ที่ดินตรงนั้นเป็ของเ้าของที่ดินที่อยู่หมู่บ้านใกล้ๆ บุตรในครอบครัวไม่เอาการเอางาน หนำซ้ำยังไปมีเื่ที่ก่านโจว จึงจำเป็ต้องใช้เงินเพื่อไปขอให้คนช่วยจัดการ สุดท้ายจึง้าจะขายที่ดินผืนใหญ่ตรงนั้นและตรงยอดเขาเล็กๆ ให้หมดเพื่อรวบรวมเงิน
ที่ดินตรงนี้ผืนใหญ่มาก ราคาเองก็สูงมากเช่นกัน ตอนนี้จางจ้าวฉือกำลังพิจารณาว่าต้องซื้อที่ดินตรงนั้นเอาไว้ทั้งหมดหรือไม่ เพราะว่าตอนนี้เ้าของที่ดิน้าใช้เงินอย่างเร่งด่วน ราคาจึงไม่สูงมากอย่างที่ควรจะเป็ แต่จางจ้าวฉือรู้ว่าครอบครัวของตนเองไม่มีทางอยู่ที่นี่นาน ซื้อเอาไว้ต่อไปหากไม่ได้อยู่ที่นี่ ตนเองอยู่ห่างไกลมากเกินไปจะดูแลลำบาก
สองวันมานี้ครอบครัวสวี่ทั้งสามคนล้วนกำลังลังเลกับเื่นี้อยู่ หลังจากปรึกษากันสองรอบ พอสวี่จือได้ยินเข้า นางก็คิดได้ว่าเพราะราคาสูงเกินไปถึงได้ยังลังเลกันอยู่
สวี่เหรามองสวี่จือด้วยความใ นางเห็นสีหน้าของท่านพ่อแล้ว ความจริงแล้วในใจก็แอบรู้สึกได้ใจอยู่เล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านพ่อเ้าคะ ข้าเองก็อายุห้าหนาวแล้ว ตามที่คนอื่นพูดกันหากนับแบบซวีซุ่ย [1] ก็ได้เจ็ดปีแล้วนะเ้าคะ เป็ผู้ใหญ่แล้ว ต่อไปข้าเองก็จะช่วยจัดการเื่ในเรือนเ้าค่ะ”
สวี่เหราฟังแล้วก็ทั้งขำทั้งรู้สึกเอ็นดู เด็กอายุเพิ่งจะเท่านี้ ยังรู้จักกังวลใจแทนคนในครอบครัวเสียแล้ว
สวี่เหราลูบผมละเอียดนุ่มมือของสวี่จือ “ใช่ จือเอ๋อร์เป็เด็กดี เพิ่งจะตัวเท่านี้ก็รู้จักเป็ห่วงเื่ภายในเรือนแล้ว ตอนที่พี่ชายของลูกอายุเท่านี้มิได้รู้เื่พวกนี้หรอกนะ”
แม่นมลู่ทำงานอยู่ด้านนอก ได้ยินคำพูดโลกสวยของคุณชายสาม ก็ถอนหายใจดังเฮือก มีบิดาเช่นนี้ที่ไหนกัน แต่ว่าเวลาหนึ่งปีกว่าๆ นี้ แม่นมลู่เองก็ชินชาเสียแล้ว
ตอนที่จางจ้าวฉือกลับมา สวี่เหราก็บอกเล่าให้กับนางเื่คำพูดของสวี่จือ นางก็หัวเราะแล้วเอ่ยกับสวี่จือว่า “จือเอ๋อร์ ที่ครอบครัวของพวกเราลังเลมิใช่เพราะว่าไม่มีเงินหรอกนะ เป็เพราะกำลังพิจารณาว่าซื้อมาแล้วมันจะเหมาะสมหรือไม่ รากเหง้าของพวกเราอยู่ที่เมืองหลวง พ่อของเ้าต่อไปย่อมไม่สามารถเป็ขุนนางอยู่ที่นี่ได้ตลอด ซื้อมาแล้วก็ต้องส่งคนมาเฝ้าที่นี่ ตอนนี้พวกเราไม่มีคนที่เหมาะสมน่ะลูก”
สวี่ตี้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ขอรับ ข้ามีความคิดหนึ่ง ท่านไปหาจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อ ทางเขาจะต้องมีทหาราเ็จำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าร่วมาได้แน่ๆ พวกเราสามารถจ้างคนพวกนั้นให้มาเฝ้าแทนได้ แล้วก็ไม่ต้องให้พวกเขาทำงานหนัก แค่รับผิดชอบดูแลก็พอ ส่วนงานในไร่นา ไม่ใช่ว่ายังมีเกษตรกรที่เช่าที่นาอยู่หรือ พวกเราก็แค่ให้คนเช่าที่นาต่อไป ท่านว่าอย่างไรขอรับ?”
จางจ้าวฉือยังไม่ทันได้พูดอะไร สวี่เหราก็กล่าวออกมาว่า “เป็ความคิดที่ดี ข้าคิดว่ามันใช้ได้เลยทีเดียว”
จางจ้าวฉือครุ่นคิด “เช่นนั้นพรุ่งนี้ตอนที่ไปจวนแม่ทัพข้าจะถามเสียหน่อย ดูว่าทางด้านซื่อจื่อมีคนที่เหมาะสมหรือไม่ ถ้าหากมีก็จะดียิ่ง ถ้าหากไม่มีข้าจะได้ตัดสินใจว่าจะซื้อที่ดินตรงนั้นดีหรือไม่”
สวี่ตี้หวังว่ามารดาของตนเองจะสามารถซื้อที่ดินมาได้ ที่ดินขนาดใหญ่นั้น สวี่ตี้ไปดูมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็ที่ทางหลายร้อยไร่ด้านล่างูเา บนูเาก็ยังสามารถปลูกผลไม้ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือมีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่าน หาก้าจะเอาน้ำเข้ามารดผักก็ย่อมสะดวก สวี่ตี้วางแผนเอาไว้แล้ว หากถึงตอนที่ซื้อมาได้แล้วนั้น เขาก็จะวิจัยวิธีการสร้างที่ปั่นน้ำ จ้างช่างมาทำไว้ที่ข้างแม่น้ำ ต่อไปก็จะรดน้ำผักได้สะดวกยิ่งขึ้น
หลังจากที่จางจ้าวฉือไปพูดเื่นี้กับซื่อจื่อ เขาก็ไปหาคนมาให้
ตอนกลางวัน จางจ้าวฉือพากลุ่มคนที่ดูแล้วมีความสูงใหญ่บึกบึนเข้ามาในเรือน
สวี่จือเห็นคนพวกนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวจนต้องเข้าไปหลบอยู่ข้างๆ ขาของแม่นมลู่ จางจ้าวฉือหัวเราะแล้วเอ่ย “ต่อไปทุกท่านคือคนของเรือนพวกเราแล้ว จือเอ๋อร์เรียกท่านลุงสิ”
แต่ละคนแม้แต่จะพูดยังไม่กล้า จางจ้าวฉือจึงเอ่ย “อีกเดี๋ยวคุณชายสามของพวกเราก็กลับมาแล้ว ต่อไปพวกเราก็จะใช้ชีวิตอยู่ในเรือนด้วยกัน เป็ครอบครัวเดียวกันแล้วมิใช่หรือ? พวกเ้าวางใจได้ นอกจากเงินเดือนทุกเดือนแล้ว ต่อไปชีวิตของพวกเ้าข้าจะคอยดูแลให้เอง เื่แต่งงานของพวกเ้าข้าก็จะจัดการให้ เสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งสี่ฤดู อั่งเปาสามเทศกาลต่อปีจะขาดมิได้เช่นกัน”
คนพวกนี้ล้วนเป็ทหารเก่าที่ติดตามจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อมานาน หลังจากได้รับาเ็เดิมทีวางแผนจะกลับบ้านเก่า แต่ว่ามีบางเื่ที่ทำให้อยู่กับคนในครอบครัวไม่ได้ บางคนก็ไม่มีครอบครัวแล้ว ทำได้แค่กลับมาที่นี่ แต่ว่าร่างกายไม่อนุญาตให้พวกเขาต่อสู้ในาอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงอยู่ที่เหอซีมาโดยตลอด หรือไม่ก็ทำงานจับกัง [2] อยู่ที่ถนน ตอนนี้ถามว่าพวกเขายินยอมที่จะทำงานนี้หรือไม่ พวกเขาย่อมต้องยินดีอยู่แล้ว
เมื่อมีคนแล้ว ตอนบ่ายจางจ้าวฉือก็พกตั๋วเงินไปหานายหน้าขายที่ดิน พูดคุยกันให้ชัดเจนตรงนั้น ก่อนจะไปแลกเปลี่ยนสัญญากันที่ที่ว่าการ
ตกกลางคืนก็พาพวกเขาไปพักในห้องของเรือนด้านหน้า ครอบครัวสวี่ทั้งสี่คนอยู่กันบนตั่งในห้องหลักเรือนหลัง นั่งล้อมกันอยู่รอบโต๊ะ บนโต๊ะวางสัญญาที่เพิ่งได้มาใหม่สดๆ ร้อนๆ เมื่อบ่ายวันนี้
สวี่เหราเอ่ยขึ้นเป็คนแรก “นี่ถือเป็ทรัพย์สินชิ้นแรกของครอบครัวเรา มีความหมายให้คิดถึงมากเลยนะ”
จางจ้าวฉือเอ่ยต่อ “พรุ่งนี้เ้าไปดูที่ดิน ข้าไปดูมาแล้วพบว่าที่นั่นมีข้าวธัญพืชและข้าวสาลีปลูกเอาไว้ ซึ่งเขาก็ขายมาให้กับพวกเราด้วย ข้าดูแล้วอีกไม่นานก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว อีกอย่างจะต้องปลอบใจคนที่มาเช่าที่นาของเรา ข้าคิดว่าจะสร้างเรือนเอาไว้บนูเานั่น ต่อไปจะเชิญพวกพี่ๆ ไปพักอยู่ที่เรือนตรงนั้น หากพวกเขาสะดวก เราเองก็สะดวก”
สวี่เหราลูบคาง “เื่นี้จะต้องทำจริงๆ นั่นแหละนะ ข้าว่าพวกเขามาพักอยู่ด้านหลังสำนักงานเองก็คงจะไม่สะดวกใจ ในเมื่อจะสร้างเรือน เช่นนั้นเรามารีบเริ่มเตรียมตัวกันเถิด”
จางจ้าวฉือตอบ “เช่นนั้นก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปหาช่างสร้างเรือน ซื้อหินสักเล็กน้อย ตอนที่เก็บเกี่ยวข้าวสาลีเสร็จ ก็สามารถสร้างเรือนได้แล้ว”
สวี่ตี้ครุ่นคิด “ข้าเห็นว่าทางแม่น้ำมีพื้นดินผืนหนึ่งที่ราคาไม่เลว ท่านพ่อขอรับ ไม่เช่นนั้นพวกเราลองดูว่าสามารถปลูกข้าวได้หรือไม่?”
สวี่เหราเอ่ยถามบุตรชาย “ปลูกข้าวหรือ? เื่นี้ไม่ได้ ฤดูหนาวอากาศหนาวเย็นขนาดนี้”
สวี่ตี้โบกมือ “ท่านดูตัวเองสิ ทางตะวันออกเฉียงเหนือหนาวหรือไม่? ข้าวของพวกเขาไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียงไปทั้งแคว้นหรือ? ตอนนี้พวกเรามีที่ดินแล้ว เหตุใดไม่ลองดูเสียหน่อยเล่าขอรับ?”
สวี่เหราเอ่ย “เื่นี้ก็แล้วแต่ลูกเลย ทางพ่อไม่มีความสามารถช่วยลูกหาเมล็ดข้าวได้หรอกนะ กลับกันพ่อกับแม่ของลูกจะคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง ลูกอยากทำสิ่งใดก็ทำเลย แต่สิ่งที่พวกเราสามารถช่วยลูกได้นั้นย่อมมีจำกัด เช่นเื่การปลูกพืชที่พ่อไม่เข้าใจ”
สวี่ตี้กล่าว “ข้าส่งจดหมายไปหาท่านลุงสามแล้วขอรับ ให้เขาช่วยข้าหาคนที่มีประสบการณ์ด้านการปลูกข้าวมาให้ ฤดูใบไม้ผลิก็ให้เขาเอาเมล็ดพันธุ์กลับมาด้วย ข้าจะขอลองดูก่อนค่อยว่ากันทีหลังนะขอรับ”
สวี่เหราเอ่ยแซะบุตรชาย “ไอ๊หยา เดี๋ยวนี้เ้ารู้จักลงมือทำก่อนค่อยรายงานแล้วหรือ”
สวี่ตี้จึงเอ่ยเหน็บขึ้นว่า “ข้าที่เป็ลูกของขุนนาง แต่ชีวิตกลับไม่รู้จักเรียนรู้การเป็ลูกคนรวย มักจะต้องมาทำงานหนักงกๆ นั้นเป็เพราะผู้ใดกันท่านไม่ทราบหรือ?”
สวี่เหราไม่พูดอะไรแล้ว จางจ้าวฉือมองสองพ่อลูกกัดกันแล้วก็หัวเราะออกมา ก่อนจะกล่าว “เอาล่ะๆ พวกเ้าดูสิ คุยกันไปมาเหตุใดพวกเ้าถึงได้วกมาบ่นกันเองเสียได้เล่า ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าไปเที่ยวทางตอนใต้ พวกเขาพูดกับข้าว่ายังมีปลาเต้าหู้ [3] ด้วย สวี่ตี้ เช่นนั้นเ้าเองก็ลองดูสักหน่อยดีหรือไม่?”
สวี่ตี้เอ่ยตอบมารดา “ข้ารู้สึกว่าตอนนี้รายการงานวิจัยในมือข้ามีเยอะมากแล้วขอรับ ไม่เช่นนั้นพวกท่านรออีกสักหน่อยได้หรือไม่?”
จางจ้าวฉือไม่ได้พูดต่อ กลับเป็สวี่จือที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดขึ้นมาแทน “ท่านพี่เ้าคะ ข้าอยากช่วยท่าน ท่านอยากทำสิ่งใดข้าจะช่วยท่านเองเ้าค่ะ”
สวี่ตี้เอ่ยขึ้นด้วยความซาบซึ้งใจ “ยังคงเป็จือเอ๋อร์ที่รู้จักเห็นใจคน แต่ว่าเกอเกอตอนนี้น่ะยังให้เ้าช่วยไม่ได้หรอกนะ ขอแค่เ้ากินข้าวเยอะๆ ร่างกายแข็งแรง เติบโตมาอย่างดีก็พอแล้ว”
สวี่จือส่ายหน้า “ท่านพี่ เด็กมากมายด้านนอกล้วนเริ่มช่วยงานคนในครอบครัวั้แ่ยังเด็กมากๆ แล้ว ถึงแม้ข้าจะยังเด็กไปเสียหน่อย แต่เหตุผลที่ควรจะเข้าใจข้าก็ล้วนเข้าใจทั้งสิ้นนะเ้าคะ พี่ชายเองก็ยังไม่โต ยังสามารถรับผิดชอบงานที่หนักขนาดนี้ได้ ข้าไม่สามารถเก่งกาจเช่นท่านได้ แต่เื่ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังสามารถทำได้มิใช่หรือเ้าคะ?”
นอกจากพ่อแม่ที่รักลูกมากแล้วยังมีกับพี่ชายที่เอ็นดูน้องสาวตนเอง พอเห็นท่าทางมุ่งมั่นของเด็กหญิงตัวน้อย ในชั่ววินาทีนั้นก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรออกมาดี
สวี่จือเห็นคำพูดของตนเองทำให้ท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายไม่พูดอะไรต่อ ในใจรู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อย นางยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า "ตอนนี้ข้าสามารถทำเื่เล็กๆ ค่อยๆ เรียนรู้ความสามารถจากพวกท่าน รอข้าโตขึ้นมาก็จะสามารถเรียนรู้เื่ราวที่ใหญ่ขึ้นได้ ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่เ้าคะ ข้าไม่อยากเหมือนคุณหนูพวกนั้นที่วันๆ เอาแต่อยู่ในเรือน ไม่ยอมออกนอกเรือนแม้เพียงก้าวเดียว ข้าอยากจะเป็เหมือนท่านพี่ที่สามารถออกไปดูพื้นที่มากมาย มองดูโลกว่ากว้างใหญ่เพียงใด มองดูว่าผู้คนในสถานที่อื่นๆ นั้นใช้ชีวิตกันอย่างไร ที่ดีที่สุดคือสามารถไปประสบมันด้วยตนเองได้”
สวี่เหรามองบุตรสาวที่อายุเพียงห้าขวบกว่าของตน ก็รู้สึกว่าวิธีการสอนของตนเองควรจะเปลี่ยนสักหน่อยดีหรือไม่?
จางจ้าวฉือได้ฟังเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้น “แต่ว่าจือเอ๋อร์ แม่รู้สึกว่าลูกไม่ต้องทำอันใดทั้งนั้นย่อมดีที่สุด พ่อกับแม่จะให้เงินสินเดิมมากมายกับลูก หากต่อไปลูกจะต้องแต่งงาน พวกเราก็จะหาคนที่นิสัยดีๆ มาแต่งกับลูก อยากจะทำสิ่งใดพวกเราก็จะให้ทำอย่างนั้น หากไม่อยากแต่งงานพ่อแม่ก็จะเลี้ยงลูกเอง หรือต่อให้พวกแม่ไม่สามารถอยู่กับลูกได้ ก็ให้พี่ชายเลี้ยงลูกต่อ ลูกไม่ต้องทำอะไรเลยจริงๆ นะ”
สวี่จือฟังคำพูดของท่านแม่ ดวงตาก็เริ่มแดงระเรื่อ จางจ้าวฉือเห็นดังนั้นก็รีบดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะเอ่ยปลอบ “ไอ๊หยา เด็กน้อยของแม่ เป็อะไรหรือ เหตุใดถึงร้องไห้กัน?”
สวี่จือรู้สึกว่าตนเองโชคดีจริงๆ ที่สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้ จากนั้นก็มีความสุขกับความรักของพ่อแม่และพี่ชายที่มีต่อตนเอง สวี่จือตัดสินใจแล้วว่าตนเองไม่สามารถรอรับความรักของคนในครอบครัวเพียงฝ่ายเดียวได้ นางก็ต้องเติบโตให้มากขึ้น ต่อไปจะต้องปกป้องท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายให้ได้
เชิงอรรถ
[1] การนับหรือบอกอายุของชาวจีนในหลายๆ พื้นที่จะมีด้วยกันสองแบบ ได้แก่ แบบซวีซุ่ย(虚岁) และโจวซุ่ย(周岁) โดยซวีซุ่ยเป็การนับอายุตามแิที่มีมาแต่โบราณของชาวจีน ที่เชื่อว่าการที่สตรีตั้งครรภ์นั้นหมายถึงว่าชีวิตน้อยๆ ในครรภ์นั้นได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นระยะเวลาตั้งครรภ์ร่วมสิบเดือนพอเด็กคลอดออกมาจึงเริ่มนับอายุเป็หนึ่งขวบ และเมื่อเวียนมาครบรอบวันเกิดอีกครั้งย่อมถือว่าโตขึ้นอีกปี ซึ่งหากเด็กคลอดออกมาใน่ครึ่งปีแรก ซวีซุ่ยจะมากกว่าโจวซุ่ยหนึ่งปี หากคลอดใน่ครึ่งปีหลัง ซวีซุ่ยจะมากกว่าโจวซุ่ยสองปี
[2] กรรมกร ผู้ใช้แรงงาน หรือผู้รับจ้างทำงานหนักต่าง ๆ
[3] ปลาเต้าหู้ (豆腐鱼 : Dòufu yú) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง สีขาว ลำตัวเรียวยาว