เซี่ยเสี่ยวหลานคำนวณเงินเก็บของตนเอง โดยไม่รวมลาภลอยเหนือความคาดหมาย 5000 หยวนก้อนนั้น
เงินก้อนนั้นเหลียงปิ่งอันเป็คนมอบให้ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดจะเอาคืนกลับไป และไม่คิดจะเก็บไว้กับตัวเองด้วยเหมือนกัน เธอตัดสินใจั้แ่แรกว่าจะใช้มันให้หมดเสีย ใช้จ้างหลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนก็ไม่เลว สองคนนี้มีประโยชน์มากทีเดียว ระหว่างสอบคัดเลือกรอบแรกก็ช่วยจับจ้าวกังเรือดไรตัวร้ายนั่น!
พอถึงหยางเฉิง เซี่ยเสี่ยวหลานก็ให้พวกเขาสองคนผลัดกันกลับไปหาครอบครัว เธอคำนวณและคาดว่าเงินในมือยังพอใช้ จึงอยากอยู่เฉยๆ จนถึงหลังเกาเข่าแล้วค่อยพูดถึงเื่ธุรกิจใหม่ ทว่าเธอยังจะไปเผิงเฉิงอยู่ดี เซี่ยเสี่ยวหลานจะไปหาไป๋เจินจู อีกทั้งอยากแวะไปแสดงตัวตนต่อหน้า ‘คุณอาทัง’ สักหน่อย
ทางด้านทังหงเอิน จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไรเป็พิเศษแก่เธอเลย
ทว่าเดิมทีเขาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรเป็พิเศษกับเธอเช่นกัน ที่จะพอรู้จักก็เฝ้าใส่ใจเธอโดยไม่ไตร่ตรอง คนอื่นเขาแซ่ทังนี่นา ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเธอเสียหน่อย—เซี่ยต้าจวินบิดาบังเกิดเกล้าของเธอยังเป็แบบนั้น เธอจึงไม่ต้องคาดหวังหรือเรียกร้องต่อทังหงเอินมากเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนล้วนเกิดขึ้นจากการค่อยๆ ทำความรู้จักกัน ตั้งใจดูแลรักษา ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลาน้าไขว่คว้าเครือข่ายทางสังคมอันแสนคลุมเครือนี้ ตัวเธอจะแสดงออกอย่างรีบร้อนและกระหายประโยชน์เกินควรไม่ได้!
หลังจากเลือกเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อนจากเฉินซีเหลียงและเ้าอื่นครบจำนวนแล้ว หลี่เฟิ่งเหมยก็พะว้าพะวงอยากจะกลับซางตู
อากาศกำลังร้อน ในร้านเหลือสินค้าสำหรับฤดูใบไม้ร่วงไม่กี่ชุดแขวนไว้ นั่นไม่ใช่การสิ้นเปลืองค่าเช่าเปล่าๆ หรือ? หลี่เฟิ่งเหมยกังวลว่าลูกค้าที่อยากซื้อเสื้อผ้าฤดูร้อนเ่าั้จะมาเสียเที่ยว และไปจ่ายเงินซื้อสินค้าที่อื่นแทน นั่นไม่ได้เป็ธุรกิจของหลี่เฟิ่งเหมยเพียงคนเดียว เซี่ยเสี่ยวหลานต้องพะวงไม่แพ้กันแน่นอน เป็เพราะเื่ตอนสอบคัดเลือก ทำให้การเติมสินค้าสำหรับฤดูร้อนในร้านล่าช้าไปสองสามวัน
เซี่ยเสี่ยวหลานจึงให้เก่อเจี้ยนกลับไปก่อนเป็เพื่อนหลี่เฟิ่งเหมย
หลี่เฟิ่งเหมยเป็ผู้หญิงตัวคนเดียว เมื่อต้องนำสินค้ามูลค่าสองหมื่นกว่าหยวนกลับไป และยิ่งกว่านั้นคือทางซางตูไม่มีใครสามารถรอรับที่สถานีได้ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่วางใจนัก
หลิวเฟินอยากกลับไปช่วยงานพร้อมกัน ทว่าหลี่เฟิ่งเหมยปัดมือ “ไม่มีปัญหาน่า เธอเองก็เคยเดินทางไกลไม่กี่หน ตามเสี่ยวหลานไปเที่ยวเขตพิเศษเถอะ!”
หลิวเฟินกลับไปก็มีหน้าที่ช่วยจัดการสินค้าเท่านั้น ซึ่งหม่าเวยก็ทำงานนี้ได้เหมือนกัน มีพนักงานแล้วไม่ใช้จะให้เถ้าแก่ลงแรงท่าเดียว ไม่มีหลักการแบบนี้ในโลกหรอก เมื่อเก่อเจี้ยนเดินทางกลับไปด้วย หลี่เฟิ่งเหมยก็ไม่หวั่น เก่อเจี้ยนฝีไม้ลายมือเก่งกาจขนาดไหน หลี่เฟิ่งเหมยเคยเห็นกับตามาก่อนแล้ว ได้ยินว่าเขตพิเศษต่างจากสถานที่อื่น หลี่เฟิ่งเหมยอยากให้หลิวเฟินลองแวะไปชมสักหน่อย
หลังจากส่งหลี่เฟิ่งเหมยขึ้นรถไฟเสร็จ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงเดินทางไปเผิงเฉิง
เพราะหลิวเฟินไม่มีหนังสือข้ามแดน คราวนี้จึงจำเป็ต้องใช้ ‘เส้นทางลัด’ อีกครั้ง มีคนมากมายแทรกตัวผ่านตะแกรงลวดที่ถูกตัดออก หลิวเฟินยังคงประหม่าอย่างถึงที่สุดอยู่ดี
“เสี่ยวหลาน ทำไมต้องใช้เหล็กล้อมเขตพิเศษล่ะ?”
หลิวเฟินไม่เข้าใจ สำหรับเธอแล้วเขตพิเศษคือพื้นที่ของประเทศเดียวกันทั้งนั้น ทำไมเข้าไปเฉยๆ ไม่ได้เล่า? ต่อให้เป็เมืองหลวง ก็ไม่สั่งห้ามคนนอกเข้าไปเช่นนี้ ปัจจุบันชาวชนบทเช่นหลิวหย่งยังปลอดภัยหายห่วงอยู่ในปักกิ่งเลย เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ว่าจะอธิบายกับมารดาอย่างไรดี การปฏิรูปเศรษฐกิจเป็การคลำหินข้ามแม่น้ำ ผู้มีชีวิตใหม่แบบเธอคนนี้ย่อมรู้ว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจจะทำให้สภาพเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแบบก้าวะโ ทว่าสำหรับประเทศขนาดใหญ่ นโยบายที่ใจกล้าประเภทนี้ ต้องค่อยๆ หยั่งเชิงดำเนินการเป็ธรรมดา
ชาติก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานทำงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิง หนังสือข้ามแดนถูกใช้จนถึงปี 2008 กว่าจะถูกยกเลิก
‘ปราการรอง’ ซึ่งประกอบจากตะแกรงลวดเหล่านี้ เพิ่งเริ่มรื้อถอนอย่างเป็ทางการในปี 2015 เอง
หลายปีข้างหน้าในอนาคต การผ่านด่านต้องใช้ ‘หนังสือข้ามแดน’ ทุกกรณี พอคิดถึงจุดนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานหันกลับมาบอกว่า “ควรทำหนังสือข้ามแดนให้แม่ด้วยเหมือนกัน”
ไม่ใช่แค่หลิวเฟินที่จำเป็ต้องทำหนังสือข้ามแดน หลิวหย่งและหลี่เฟิ่งเหมย ตลอดจนทุกคนในครอบครัวควรจะทำไว้คนละหนึ่งเล่ม โดยเฉพาะหลิวหย่ง ภายภาคหน้าจุดศูนย์กลางของธุรกิจจะต้องอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงมากกว่า ไม่ว่าจะเป็ขนาดเล็กหรือใหญ่ อย่างไรก็เป็ถึงเ้าของกิจการรับตกแต่งภายในแล้ว ลอดรั้วลวดเหล็กทั้งวันมันเหมาะสมหรือ! แม้บริษัทนี้มีผู้บัญชาการหลิวหย่งเพียงหนึ่งเดียว อย่างน้อยต้องปรับรูปลักษณ์ภายนอกให้เข้ารูปเข้ารอยเสียก่อน
เซี่ยเสี่ยวหลานอยากให้หลิวหย่งจดทะเบียนบริษัท แม้ขนาดของธุรกิจจะมีขนาดเล็กแค่ไหน ก็ถือว่ามีคุณสมบัติเพียงพอแล้ว หากมีการจ้างงานตกแต่งภายในในเผิงเฉิงที่เกี่ยวข้องกับองค์กรต่างชาติ พวกเขาจะขอประวัติงานที่เป็กิจจะลักษณะอย่างแน่นอน ครั้งนี้เธอนำของฝากท้องถิ่นมาด้วยเหมือนครั้งก่อน ต่อสายหาเสี่ยวหวังคนขับรถของทังหงเอิน แต่ก็ไร้การตอบรับ
เสี่ยวหวังไม่อยู่ในหน่วยงาน เขาออกไปทำงานนอกสถานที่
ในฐานะคนขับรถของทังหงเอิน เสี่ยวหวังจะออกเดินทางคนเดียวได้อย่างไรกัน ต้องเป็การติดตามทังหงเอินออกนอกสถานที่อยู่แล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้เพียงไปหาไป๋เจินจูก่อน เธอมาหยางเฉิงครั้งนี้ไม่ได้ขอให้ไป๋เจินจูมารับที่สถานีรถไฟ คนเขามีธุรกิจของตนเองเช่นกัน ไปสถานีรถไฟหนึ่งเที่ยวก็เสียเวลาหนึ่งวัน และนั่นหมายความว่าหาเงินได้น้อยลงหนึ่งวัน
ณ ตลาดสินค้าเบ็ดเตล็ด แผงของไป๋เจินจูขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เธอไม่ได้จำกัดแค่การจำหน่ายเสื้อผ้าแล้ว ยังขยายไปถึงสินค้าเบ็ดเตล็ดบางอย่างและเครื่องหนังอีกด้วย
สิ่งที่ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานตกตะลึงคือ เธอพบกับศิษย์พี่ว่าน
ศิษย์พี่ว่านกำลังช่วยไป๋เจินจูเฝ้าแผง เมื่อเห็นว่าข้างกายเซี่ยเสี่ยวหลานยังคงติดตามโดยหลี่ต้งเหลียง สีหน้าของศิษย์พี่ว่านก็ไม่ค่อยดีนัก
เซี่ยเสี่ยวหลานกลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องกระอักกระอ่วน เงินเป็ของเธอ เธอเลือกได้ว่าจะจ้างใครเป็คนคุ้มกัน ศิษย์พี่ว่านดูถูกการตั้งแผงลอยไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาร่วมทำมาหากินกับไป๋เจินจูอีกเล่า?
ศิษย์พี่ว่านเองก็ไม่้ามาตั้งแผงลอยเหมือนกัน
อุปนิสัยของเขาคือปัญหาใหญ่ เพียงแต่ระหว่างการปฏิรูปเศรษฐกิจไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ หยางเฉิงมีคนจำนวนหนึ่งร่ำรวยล้ำหน้าแล้ว คนเ่าั้ที่เดิมทีไม่มีงานการจริงจัง ได้ริเริ่มทำธุรกิจอิสระ พวกที่ใจเด็ดกว่าก็ลักลอบขนของเถื่อน บางคนเคยเป็ผู้ที่ศิษย์พี่ว่านดูแคลนมาก่อนด้วยซ้ำ ทุกวันนี้กลายเป็เศรษฐีหมื่นหยวนภายในชั่วพริบตา
ถนนสายที่ตั้งบ้านของศิษย์พี่ว่านนั้น ถึงขั้นมีคนขับรถเก๋งแล้ว!
รถเก๋งสี่ล้อแล่นผ่านถนนไปมา ดึงดูดให้ผู้คนมุงมองได้มากมายเหลือเกิน กระนั้นความโก้เหล่านี้กลับไม่ได้เป็ของศิษย์พี่ว่าน เมื่อก่อนศิษย์พี่ว่านเป็คนมีหน้ามีตาประจำถิ่น ตัวเขามีทักษะด้านการต่อสู้ จึงสามารถช่วยพิจารณาและตัดสินใจแก้ไขความขัดแย้งบางอย่างด้วยความยุติธรรม เมื่อมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ มักจะมีคนขอให้ศิษย์พี่ว่านออกโรงให้อยู่เสมอ
เงินทองไม่มากมาย หัวใจสำคัญคือความความเคารพนับถือชนิดหนึ่ง
การที่เคออีสยฺงยำเกรงสำนักตระกูลไป๋ ส่วนหนึ่งเป็เพราะแม้กิตติศัพท์ของสำนักแห่งนี้จะไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ทว่าศิษยานุศิษย์ของสำนักก็ได้กระจายทั่วทุกหัวระแหงของหยางเฉิง ส่วนใหญ่ล้วนเป็ที่เคารพนับถือในพื้นที่เหมือนศิษย์พี่ว่านทั้งนั้น เนื่องจากไป๋จื้อหย่งขึ้นเหนือไปรับราชการทหาร เหล่าศิษย์ฝีมือดีของสำนักตระกูลไป๋จึงแยกย้ายกันไปจำศีล ถ้าไป๋จื้อหย่งยังอยู่ในหยางเฉิง เคออีสยฺงไม่มีทางกล้าแผลงฤทธิ์เดชแน่นอน
แต่การได้รับความเคารพนั้นเป็เื่เมื่อสองสามปีก่อนเสียแล้ว ตอนนี้คนทั่วไปดูถูกการทำธุรกิจอิสระ ทว่าในขณะเดียวกันก็อิจฉาเศรษฐีหมื่นหยวนผู้มั่งคั่งจากการทำธุรกิจอิสระ
ศิษย์พี่ว่านสูญเสียสถานภาพในวันวานไปแล้ว จึงเกิดความขัดแย้งทางจิตใจขนาดใหญ่ขึ้น
เป็คนคุ้มกันให้เซี่ยเสี่ยวหลานมีรายได้ดี แต่การที่เขาต้องคอยคุ้มครองหญิงสาวคนหนึ่งก็รู้สึกว่าน่าอับอายยิ่งนัก
เขาวางศักดิ์ศรีไม่ลง อีกทั้งยัง้าผลประโยชน์ที่จับต้องได้ ศิษย์พี่ว่านอยากเรียนรู้ที่จะร่ำรวยจากผู้อื่น ทว่าเหยียดธุรกิจเล็กๆ ของไป๋เจินจู—เื่วิทยุครั้งนั้น ทำให้ศิษย์พี่ว่านได้รับบทเรียนอันแสนเ็ป บังคับให้เขาต้องมายังตลาดสินค้าเบ็ดเตล็ดและตั้งแผงลอยกับไป๋เจินจูอย่างเสียไม่ได้
วิทยุสิบเครื่องนั่น ศิษย์พี่ว่านไม่ได้ขายให้แก่ผู้ค้าคนกลาง แต่นำไปขายปลีกด้วยตนเอง
ทุกเครื่องทำกำไรได้ถึงยี่สิบสามสิบหยวนเลยทีเดียว ต้นทุน 900 หยวน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็เพิ่มขึ้นเป็เท่าตัวแล้ว ความเร็วในการหาเงินเช่นนี้ทำให้ศิษย์พี่ว่านเคลิบเคลิ้มหลงใหลยิ่งนัก และทำให้เขาหน้ามืดตามัวเพราะผลกำไรในครั้งนี้ เห็นเซี่ยเสี่ยวหลานกับไป๋เจินจูหาเงินได้ง่ายดาย ศิษย์พี่ว่านไม่ใช่แค่นำทั้งทุนและกำไรไปเปลี่ยนเป็วิทยุ เขายังยืมเงินเป็จำนวน 3000 หยวนอีกด้วย จากนั้นก็รับซื้อสินค้ามูลค่าเกือบ 5000 หยวนอีกรอบ
พอถึงคราวนี้ ย่อมหาสินค้ามือแรกราคา 90 หยวนต่อเครื่องไม่ได้เป็ธรรมดา ทว่าเขายังคงรับสินค้าด้วยราคา 140 หยวนต่อเครื่อง เขาคิดว่าต่อให้ไม่เป็ดั่งใจหวังก็ยังขายเปลี่ยนมือให้คนกลางในหยางเฉิงได้ ยึดราคาส่ง 150 หยวนต่อเครื่อง เขาจะไม่ขาดทุนอยู่ดี เพียงแต่กำไรเบาบางลงไม่กี่ร้อยหยวนเท่านั้น
ผลปรากฏว่า ตลาดของวิทยุอิ่มตัวเรียบร้อยแล้ว!