ฉือเซียวใทันทีที่ได้ยินดังนั้น คำพูดของฉินอวี่นั้นดูสมเหตุสมผล ไม่เพียงแต่หยางเทียนและหยางเต้าสองพี่น้อง แม้แต่ฉือเซียวก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเข้าไปในส่วนลึกของเขตต้องห้ามได้ แต่ถ้าพวกเขาร่วมมือกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้ แต่โอกาสก็จะเพิ่มมากขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้ฉือเซียวเป็กังวลคือ การร่วมมือก็เป็ไปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากเข้าไปพบกับสมบัติหรือของวิเศษใดในส่วนลึก จะต้องมีการวิวาทกันเกิดขึ้นแน่นอน แม้กระทั่งอาจจะเกิดการต่อสู้กันขึ้นมาก็เป็ได้ แต่เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็ไม่แน่ใจจะสามารถเอาชนะสองพี่น้องได้โดยลำพัง แม้ฉือเซียวจะมั่นใจ แต่ก็ไม่อาจเย่อหยิ่งได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ฉือเซียวก็พูดขึ้นมา “ศิษย์น้องหวัง ไม่ทราบว่าพละกำลังของเ้าเป็เช่นไรบ้าง?”
ฉินอวี่เหลือบมองไปทางด้านหน้า และพูดอย่างเฉยเมย “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เพียงแต่ หากพวกเราสองคนสู้กับพวกเขาก็ยังมีโอกาสอยู่ไม่น้อยที่จะชนะ” ฉินอวี่กล่าวอย่างไม่ปิดบัง แต่เขาไม่รู้พละกำลังของตนเองจริงๆ เพราะหลังจากพัฒนาระดับฝึกฝนขึ้นมาได้ในครั้งนี้เขาก็ยังไม่เคยใช้ต่อสู้กับผู้ใดเลย จึงยังมีความคลุมเครือในเื่ของพลัง
แน่นอน หากใช้วิชาปีศาจคลั่ง ฉินอวี่มีความมั่นใจมากว่าต้องสังหารพวกเขาได้อย่างแน่นอน
แม้ว่าฉินอวี่จะตอบคำถามอย่างคลุมเครือ แต่กลับทำให้ดวงตาของฉือเซียวเปล่งประกาย เมื่อหวนนึกถึงร่างอสุนีลึกลับของฉินอวี่และเปลวเพลิงที่แปลกประหลาดนั้นแล้ว ฉือเซียวก็พูดขึ้นอย่างไม่ลังเล “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนได้พุ่งตัวผ่านจุดเดือดพล่านเข้าไปทางด้านขวาทันที
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง
เมื่อทั้งสองคนมาถึง การต่อสู้ก็เสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสองคนจึงนั่งลงขัดสมาธิเพื่อทำสมาธิ ราวกับกำลังเตรียมเข้าสู่การต่อสู้
ฉินอวี่กวาดสายตามองทั้งสองคน สิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจคือ ใบหน้าของทั้งสองคนเหมือนกันทุกประการ หน้าตาหล่อเหลา มีเพียงเสื้อผ้าและทรงผมที่แตกต่างกัน คนหนึ่งมีผมสีดำประบ่า อีกคนหนึ่งรวบผมเป็หางม้า
“มีเื่อะไร?” ชายหนุ่มชุดขาวที่มีผมสีดำประบ่าได้ลืมตาขึ้น ทอดสายตามาทางฉินอวี่ และมองไปทางฉือเซียว ชายหนุ่มคนนี้คือหยางเทียน
ฉือเซียวไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่มองไปยังหยางเทียนและหยางเต้า ทั้งสองคนมีความคล้ายกันถึงแปดส่วน แม้ว่าเสื้อผ้าของพวกเขาจะหลุดลุ่ย แต่หากมองจากการแสดงออกของพวกเขาแล้ว ไม่น่าจะมีอาการาเ็อะไร และอาจพูดได้ว่า ทั้งสองคนสามารถข้ามผ่านกระแสอสูรมาได้โดยไม่ได้รับอันตราย ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าบุคคลทั้งสองมีความแข็งแกร่งเพียงใด
“คนผู้นี้คือศิษย์พี่ฉือ นามฉือเซียว ตัวข้าคือหวังซิงเฉิน ทุกคนต่างเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก เหตุใดจึงไม่เดินทางไปด้วยกันเล่า จะได้ช่วยกันดูแล” ฉินอวี่เอ่ยปากขึ้นมา เป้าหมายของเขาคือการเข้าไปในส่วนลึกของเขตต้องห้ามเพื่อตามหาเืของหยาจื้อ ดังนั้นหากสามารถโน้มน้าวคนทั้งสองนี้ได้ก็ควรจะทำ
ตอนนี้ แม้แต่หยางเต้าที่หลับตามาตลอดก็ลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสองจ้องมองไปทางฉือเซียวด้วยสายตาที่ลึกล้ำ
มีเพียงไม่กี่คนในสำนักที่รู้จักรูปร่างหน้าตาของฉือเซียว หยางเทียนและหยางเต้าเองก็เพียงแต่เคยได้ยินมา แต่กลับไม่เคยรู้จักใบหน้าที่แท้จริง เมื่อได้ยินฉินอวี่พูดเช่นนี้ ทั้งสองคนก็ยิ่งแปลกใจมาก และจ้องมองไปทางฉือเซียวอีกครั้ง
“เ้าเป็ใคร?” หยางเต้าพูดขึ้นอย่างทันทีทันใด จากนั้นก็กวาดสายตามองฉือเซียวครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองฉินอวี่
ฉินอวี่หรี่ตาทั้งสองลง คำถามของทั้งสองคนดูจะมีความหมายที่ลึกซึ้ง หลังจากรู้ว่าเป็ฉือเซียว แต่ยังคงถามว่าตนเองเป็ใคร?
หยางเต้าคงจะรู้จักความแข็งแกร่งของฉือเซียวมาบ้างแล้ว แต่ในใจของเขากำลังชั่งน้ำหนักอย่างลังเล ทั้งสองคงมีความมั่นใจกับฉือเซียวอย่างแน่นอนแล้ว ดังนั้น หากมีเพียงฉือเซียวเพียงคนเดียว ทั้งสองคนคงจะตอบตกลงอย่างไม่ลังเล แต่ตอนนี้ตนเองในชุดคลุมสีดำและสวมหน้ากาก อีกทั้งยังปิดบังพลังปราณทั่วร่างอีก ทำให้หยางเต้าไม่สามารถตัดสินใจอะไร ทั้งยังไม่สามารถค้นหาพละกำลังของตนเองได้ ดังนั้นเขาจึงต้องถามขึ้นมา
ไม่เพียงแต่ฉือเซียวที่กำลังชั่งน้ำหนักต่อการตัดสินใจ แต่ทั้งสองคนต่างกำลังคิดถึงข้อดีข้อเสีย และเริ่มนึกถึงเื่การทะเลาะวิวาทและการต่อสู้ หากพบเจอกับสมบัติล้ำค่า
ทั้งสี่คนกำลังดูเชิงกันอยู่ครู่ใหญ่ และแล้วฉินอวี่ก็พูดขึ้น “ข้าเป็เพียงศิษย์ทั่วไปของสายชีพจรหวง”
“ถอดหน้ากากกับชุดคลุมออกสิ!” หยางเต้าะโขึ้นมาทันที ศิษย์ทั่วไปของสายชีพจรหวง? จะมาอยู่ร่วมกันกับศิษย์อัจฉริยะอันดับหนึ่งอย่างฉือเซียวหรือ?
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฉือเซียวกล่าวอย่างเยือกเย็นพลางมองไปทางหยางเต้า
และในขณะนี้ หยางเทียนก็เคลื่อนไหวทันที เกิดลำแสงขึ้นที่มือข้างขวาของเขา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็ลำแสงกระบี่ที่พุ่งตรงเข้าหาฉินอวี่
เมื่อฉือเซียวเห็นเช่นนี้ เขาก็โกรธขึ้นมาทันที พลังปราณปะทุออกมาจากทั่วทั้งร่าง ขณะที่เขากำลังลงมือนั้น ฉินอวี่ก็ใช้มือข้างซ้ายจับแขนเอาไว้ หอกศึกปรากฏขึ้นในมือข้างขวา และแปลงไปเป็สายฟ้าที่พุ่งเข้าหากระบี่ของหยางเทียน
“อสุนีลึกลับ!”
หยางเทียนและหยางเต้าใขึ้นพร้อมกันทันที แต่ตอนนี้ฉินอวี่ไม่เปิดโอกาสให้กับหยางเทียนเลยแม้แต่น้อย เพลิงแอ่งธรณีพวยพุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือ คลื่นความร้อนอันน่าสะพรึงกลัวเคลื่อนตัวตามฝ่ามือของฉินอวี่ออกไปทันที
เดิมทีฉินอวี่คิดจะทดลองใช้พลังของเพลิงแอ่งธรณี ในเมื่อหยางเทียนผู้นี้นี้เริ่มโจมตี เขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปอย่างแน่นอน และแน่นอนว่าฉินอวี่ก็รู้เช่นกันว่าหยางเทียนกำลังทดสอบเขาอยู่ ฉะนั้นฉินอวี่จึงใช้โอกาสนี้ทดสอบความแข็งแกร่งของทั้งสองคนเช่นกัน
หยางเต้าที่กำลังนั่งขัดสมาธิลุกขึ้นยืนทันที พลางผายมือข้างขวาออกพร้อมปล่อยลำแสงสีดำพุ่งตรงไปทางฉินอวี่
“ตูม!” ฉินอวี่ถอยหลังออกไปอย่างรุนแรงหลายก้าว มองหยางเต้าด้วยใบหน้าที่สง่างาม
ขณะที่ฝ่ามือทั้งสองปะทะเข้าด้วยกัน ฉินอวี่ก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดที่แข็งแกร่ง จนเพลิงธรณีเกือบจะหลุดจากฝ่ามือของเขา
หลังจากหยางเทียนก็ถอยออกไปได้สองสามก้าว เขาก็มองเพลิงแอ่งธรณีในฝ่ามือของฉินอวี่ด้วยความใ ก่อนหน้านี้เขาสามารถดูดเพลิงสีเทาออกไปจากหวังซิงเฉินได้ แต่เมื่อเขาได้ััอย่างจริงจัง หยางเต้ากลับรู้สึกตัวสั่น
คนผู้นี้เป็ใครกัน? มีอสุนีลึกลับ และยังมีเปลวเพลิงที่น่ากลัวเช่นนี้อีกด้วย?
“ทั้งสองท่านอยากจะสู้กันหรือจะเข่นฆ่ากันแน่?” ฉินอวี่ระงับความสงสัยในใจ และกวาดสายตามองหยางเทียนและหยางเต้า พลางเก็บหอกศึกกลับไป ก่อนจะพูดอย่างเฉยเมย
“เื่นี้คงเข้าใจผิดกันแล้ว พี่ชายของข้าแค่้าทดสอบศิษย์น้องหวังเท่านั้นเอง” หยางเต้าจ้องฉินอวี่อย่างจริงจัง และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ พลันครุ่นคิดขึ้นในใจทันที หวังซิงเฉิน? ในสำนักมีศิษย์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน? เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?
หยางเทียนมองไปทางฉินอวี่ด้วยในหน้าที่จริงจัง จากนั้นก็จ้องไปทางฉือเซียวอีกครั้งและพูดอย่างเยือกเย็น “ศิษย์ธรรมดาของสายชีพจรหวง? ศิษย์น้องหวังพอจะบอกข้าได้ไหมว่าเหตุใดศิษย์ธรรมดาทั่วไปของสายชีพจรหวง จึงมีความแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้? หากเ้าคิดจะเข้าไปด้วยกัน เหตุใดจึงไม่เปิดเผยจริงใจต่อกัน? แต่กลับทำตัวลึกลับซ่อนเร้น? ราวกับมีอะไรที่ไม่้าให้ผู้คนพบเห็น?”
“ข้าเองก็มิได้ตั้งใจจะปิดบัง เพียงแต่ยังไม่คุ้นชินเท่านั้น หากมีสิ่งใดที่ข้าทำให้ศิษย์พี่หยางต้องกังวลใจ เช่นนั้นก็ขอให้อภัย ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดเถอะนะ ศิษย์พี่ฉือ พวกเราไปกันเถอะ” ฉินอวี่พูดอย่างเรียบเฉย และไม่เชื่อว่าทั้งสองคนจะไม่มีความตั้งใจในการรวมตัวกัน
“ช้าก่อน รู้เขารู้เราเอาไว้ รบร้อยครั้งก็ย่อมไม่อันตราย ในเมื่อ้าจะร่วมมือกัน ข้าเองก็ต้องเปิดเผยตรงไปตรงมาเสียก่อน หากศิษย์น้องหวังไม่้าถอดมันออกก็ไม่เป็ไร จากความแข็งแกร่งของศิษย์น้องหวังนับว่ามีคุณสมบัติพอจะไปร่วมทางกับพวกข้าได้” หยางเต้ากล่าวอย่างเข้มขรึม ดวงตาที่ลึกล้ำปรากฏแสงสว่างวาบ
การอยู่ในส่วนลึกของเขตต้องห้ามนี้ ทั้งสองคนต่างต้องประสบกับอันตรายอย่างที่พบเจอมา แต่หากมีเพิ่มขึ้นอีกสองคนก็เท่ากับมีคนปกป้องเพิ่มอีกสองคน บางที ก็อาจมีโอกาสมากขึ้นที่ได้เข้าใกล้ความลับของเขตต้องห้าม
ฉินอวี่หรี่ตาลงทันที และหากหยางเต้าไม่เอ่ยปากยับยั้ง นั่นก็หมายความว่าทั้งสองคนมีความอิจฉาในตนเองและฉือเซียว ฉินอวี่ไม่เชื่อว่าหยางจิงเทียนจะไม่เคยคิดเื่การสมบัติมาก่อน ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องพบการต่อสู้อันดุเดือดมาเช่นนี้ แต่ในตอนนี้ ในเมื่อเขายอมระงับมันไว้ นั่นก็หมายความว่า พวกเขาทั้งสองคนมีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะตนเองและฉือเซียวได้อย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉินอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะตรวจสอบพี่น้องทั้งสองคนนี้อีกครั้ง เมื่อหวนนึกถึงแรงดึงดูดที่พบก่อนหน้านี้ ในใจของฉินอวี่ก็ตกตะลึง เขาเหมือนกำลังคาดเดาอะไรบางอย่างได้ แต่ยังไม่อาจบอกได้ชัดเจนนัก
“มาแนะนำตัวกันอีกครั้งดีกว่า ข้าชื่อหยางเต้า ส่วนผู้นี้คือหยางเทียนพี่ชายของข้า” หยางเต้าพูดอย่างเมินเฉยต่อการทดสอบเมื่อครู่ที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
“ฉือเซียว!” ฉือเซียวระงับความไม่พอใจเอาไว้ก่อน และพูดอย่างเ็า แม้ว่าจะไม่ค่อยพอใจทั้งสองพี่น้องเท่าใดนัก แต่พลังของทั้งสองคนก็ไม่ธรรมดาจริงๆ เพื่อให้ได้เข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของเขตต้องห้าม เขาจึงทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
“สายชีพจรหวง หวังซิงเฉิน” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย
“ศิษย์น้องหวังเป็ร่างอสุนีลึกลับหรือ? อีกทั้งยังมีเพลิงของฟ้าดินที่แข็งแกร่งเช่นนี้ จะเป็ศิษย์ของสายชีพจรหวงได้อย่างไร?” หยางเต้าจ้องมองฉินอวี่พลางพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ไม่ว่าจะเป็อสุนีลึกลับหรือเพลิงแอ่งธรณี ล้วนทำให้หยางเต้าใทั้งสิ้น แต่เขาก็แน่ใจนักว่าไม่เคยได้ยินชื่อของหวังซิงเฉินมาก่อนอย่างแน่นอน เขาจึงคิดไว้ในใจว่าฉินอวี่คงจะใช้นามแฝง แต่ต่อให้เป็เพียงนามแฝง ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดร่างอสุนีลึกลับ
“ทุกคนล้วนมีความลับของตนเอง เหตุใดศิษย์พี่หยางจึง้าค้นหาแหล่งที่มาเช่นนั้น? จะว่าไปลำแสงสีดำของศิษย์พี่หยางนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ไม่ทราบว่าพลังดึงดูดนั้นจะเรียกว่าการกลืนกินได้หรือไม่?” สายตาของฉินอวี่หรี่เล็กลง และถามอย่างอ่อนโยน
ม่านตาของหยางเต้าหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว เขานึกไม่ถึงเลยว่าพบกันเพียงครั้งเดียวฉินอวี่จะสามารถอ่านความลับของเขาออกได้ถึงเพียงนี้ หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หยางเต้าก็พูดอย่างคลุมเครือ “ก็ไม่เชิงหรอก เป็เพียงความโชคดีเล็กน้อย”
ฉินอวี่ยิ้มอย่างเฉยเมย และไม่พูดอะไรมากมาย แต่กลับคาดเดาอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ได้รับความโชคดีหรือ? หรือเขาได้รับอะไรไปจากแดนขัดเกลา? เมื่อคิดเช่นนี้ ฉินอวี่ก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นก็หวนนึกถึงลำแสงกระบี่สีครามที่ปล่อยออกไป ซึ่งสิ่งนี้น่าจะพอสรุปได้ว่าหยางเทียนได้รับอะไรบางอย่างไปไม่น้อยจากแดนขัดเกลา
ด้วยความแข็งแกร่งของทั้งสองคน พวกเขานับว่าสามารถเทียบได้พอๆ กับตนเองและฉือเซียว แต่หากฟังจากน้ำเสียง พี่น้องสองคนนี้ดูเหมือนจะมีความมั่นใจว่าจะเอาชนะตนเองและฉือเซียวได้?
เมื่อมองย้อนกลับไปยังใบหน้าที่แทบจะเหมือนกันของทั้งสองคน หัวใจของฉินอวี่ก็เต้นผิดจังหวะ
หรือว่า...
ทั้งสองคนจะเป็สิ่งที่กล่าวกันในตำนาน...
ร่างฝาแฝด?
