“แค่กๆ”
เสิ่นม่านถูกจู่โจมกะทันหัน นางโดนบีบคอจนหลอดลมถูกปิดกั้นลมหายใจไม่อาจผ่านเข้าออก เกือบขึ้น์ไปทั้งอย่างนี้
เวลานี้เอง ต้าเป่าที่ออกไปเก็บฟืนจากข้างนอก กลับมาก็เห็นมารดากำลังถูกผู้อื่นคร่าชีวิต เด็กน้อยจึงคว้าท่อนไม้และพุ่งเข้าใส่หนิงโม่โดยไม่คิดชีวิต
“คนชั่ว! เ้าปล่อยแม่ข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
หนิงโม่หลบไม่ทัน อาจเป็เพราะร่างกายที่เดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว พอโดนไม้ทุบเข้าก็ถึงกับตาลายและมือไม้อ่อนแรง เสิ่นม่านจึงรอดมาได้ด้วยประการฉะนี้ นางรีบถอยหนีพลางรวบตัวต้าเป่ามากอดไว้แนบอก
นางปลอบโยนสภาพจิตใจของลูกชาย จากนั้นหันมองไปทางหนิงโม่อย่างเ็า มุมปากเผยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ล้ำลึก
“อย่าเพิ่งรีบร้อนโกรธไป ข้าสามารถให้เวลาเ้าคิดครึ่งวัน หากเ้าคิดได้เมื่อไหร่ ค่อยมาให้คำตอบข้า”
หนิงโม่ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคออย่างไม่แยแสพร้อมสะบัดศีรษะไปอีกทาง
เสิ่นม่านไม่สนใจ ถึงอย่างไรนางก็มีความมั่นใจ จึงพาลูกชายออกไป
หนิงโม่นั่งอยู่บนเตียงสักพัก ค่อยตัดสินใจลงจากเตียง เขามองดูห้องที่เก่าซอมซ่อ แม้ว่าจะทรุดโทรม แต่ก็ได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยดี เขาขมวดคิ้วและไตร่ตรองว่าจะเจอคนที่ตนกำลังตามหาในที่กันดารเช่นนี้ได้อย่างไร
ส่วนสตรีชนบทที่ดูธรรมดาผู้นี้ ทว่ากลับดูออกถึงอาการป่วยของเขาได้ในปราดเดียว ทั้งยังมีหนทางรักษาเขาอีกด้วย…
นางเป็ใคร? แล้วเขา… ควรเชื่อนางดีหรือไม่?
จากนั้นผ่านพ้นไปอีกราวหนึ่งชั่วยาม ในครัวก็เริ่มมีควันลอยโขมงออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยกรุ่นออกมาจากหน้าเตา ผสานกับท่วงทำนองที่รังสรรค์จากหม้อชามตะหลิว
หนิงโม่เกาะอยู่ตรงริมขอบประตูและดอมดมกลิ่นหอมนี้ ที่น่าประหลาดคือไม่ได้รู้สึกพะอืดพะอมแต่อย่างใด
โดยปกติเวลาเขาได้กลิ่นควันและน้ำมันจากการทำอาหาร มักจะรู้สึกคลื่นไส้อย่างอดไม่ได้จนอยากอาเจียน แต่วันนี้ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม
เขาน้ำลายไหลย้อยอย่างห้ามไม่อยู่
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เขาเพิ่งดื่มน้ำแกงไปสี่ชาม! เหตุใดจึงหิวเร็วเพียงนี้?
ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เสิ่นม่านก็ยกอาหารหลายจานเดินผ่านหน้าเขาไป หนิงโม่ไม่ขยับ แสร้งเบนหน้าไปอีกทาง แต่ท้องไส้กลับไม่เอาไหน ร้องโครกครากออกมาเสียอย่างนั้น
โครก...
ประจวบเหมาะกับเสิ่นม่านยืนอยู่ข้างเขา นางจึงมองเขาอย่างมีเลศนัย
“หิวล่ะสิ? อยากชิมอาหารของแม่ครัวเทพหรือไม่? รับรองได้เลยว่าหากเ้าได้กินหนึ่งคำก็จะหยุดกินไม่ได้...”
น่าขัน! ลำพังสตรีชนบทกลางป่าเขาคนหนึ่ง ถึงขั้นกล้าเรียกตนเองว่าแม่ครัวเทพ?
หนิงโม่พ่นลมหายใจทางจมูก “วาจาหากได้กล่าวจะไม่คืนคำ ผู้แซ่หนิงแม้นวันนี้จะอดตาย ต่อให้ต้องะโจากตรงนี้ ข้าก็...”
เสิ่นม่านยกอาหารวางบนโต๊ะพลางเอียงศีรษะเอ่ย
“ไม่ต้องห่วง อาหารมื้อเดียว ข้าไม่เก็บเงินเ้าหรอก”
เมื่อครู่นางช่วยชีวิตชายคนนี้จนตนเองไม่มีเวลาทานอาหารกลางวัน ตอนนี้ยังต้องใช้ท่าทีอ้อนวอนให้เขามากินด้วยกันอีก เสิ่นม่านอดคิดไม่ได้ว่านางช่างเป็คนดีใจบุญที่หาได้ยากยิ่ง!
สิบนาทีต่อมา หนิงโม่นั่งที่โต๊ะอาหารที่ขาโต๊ะหายไปหนึ่งข้าง
เสิ่นม่านคีบเนื้อล้วนใส่ในถ้วยข้าวของเขาพลางยิ้มตาพริ้มเอ่ย
“ชิมดูสิ”
หนิงโม่ขมวดคิ้ว เขาไม่เคยกินเนื้อสัตว์ ประเด็นสำคัญคือเขาไม่อาจรับกลิ่นคาวของเนื้อได้ ไม่ว่าพ่อครัวจะจัดการอย่างไร เขาก็ยังสามารถรับรู้กลิ่นสาบบนตัวสัตว์ได้ ทำให้ขยักขย้อนอยู่ดี
อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญหน้ากับสตรีที่รูปลักษณ์แสนธรรมดาผู้นี้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เลือกที่จะเชื่อนาง
ใครจะรู้ว่าพอได้กิน… ก็หยุดไม่ได้!
ทั้งที่มันเป็เพียงเนื้อสันในผัดหน่อไม้น้ำ กับแตงกวาผัดไข่
รสชาติของอาหารเหล่านี้ ยามปกติเขาไม่อาจรับไหว แต่เมื่อสตรีผู้นี้ปรุงกลับเป็รสชาติที่ลงตัวนัก! เขาไม่รับรู้ถึงรสชาติแปลกประหลาดอื่นใดด้วยซ้ำ
หนิงโม่ฝืนต่อไปไม่ไหว จึงจัดข้าวไปสองถ้วยในอึดใจเดียว
กระทั่งข้าวขาวก็ละเอียดกว่าและหอมกว่าที่เขาเคยกินที่บ้านในเมืองหลวงเสียอีก
หนิงโม่ย่อมไม่อาจรู้ว่าในอนาคตจะมีสายพันธุ์ข้าวลูกผสม เมล็ดข้าวที่ทดลองปรับปรุงพันธุกรรมมานานกว่าศตวรรษ ย่อมไม่สามารถเอาไปเทียบกับข้าวในปัจจุบันของเขาได้
เสิ่นม่านนึกแล้วปวดศีรษะเล็กน้อย ข้าวสิบชั่งที่นับว่าเป็ของหายาก บนโลกใบนี้ไม่มีทางหาซื้อได้ แต่นางกลับนำออกมาต้อนรับชายคนนี้ถึงสามถ้วย
หากว่าเขายังคิดจะจากไปอีก นางย่อมไม่อาจยอมได้ นางจะใช้ไม้หน้าสามทุบชายคนนี้ให้สลบ จากนั้นจับมัดและขังไว้ ร่างกาย (พลังงาน) ของเขา
“ท่านแม่ อาหารที่ท่านทำ ถูกเขากินจนหมดเลย” เสียงเ็ปของต้าเป่าทำให้นางได้สติ ส่วนชายต้นเหตุกำลังนั่งใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดข้าวหนึ่งเม็ดที่ติดอยู่ตรงมุมปากด้วยท่วงท่าสง่างาม
หลังจากกินอิ่ม สีหน้าที่ซีดขาวของหนิงโม่เริ่มมีสีสันสดใส ใบหน้าที่มีรูปหน้าหล่อเหลาเป็ทุนเดิม ขณะนี้ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย ดูมีเค้าความเป็หนุ่มรูปงามขึ้นมาบ้าง
หนิงโม่วางผ้าเช็ดหน้าลง คิ้วดุจกระบี่เลิกขึ้นเบาๆ ส่งให้มีสง่าราศีแบบคุณชายรูปงาม
“ข้าให้โอกาสเ้าอีกครั้ง เปลี่ยนเงื่อนไข ข้าจะพิจารณาว่าจะช่วยเ้าหรือไม่” น้ำเสียงนี้ราวกับคิดว่าตนเองคือฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น
เสิ่นม่านหัวเราะเยาะ “ขอร้องเถิด อำนาจการตัดสินใจอยู่ข้า ข้าต่างหากที่ต้องพิจารณาว่าจะช่วยเ้าหรือไม่!”
“แต่ว่า...” น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไป ดวงตาแฝงด้วยความเ้าเล่ห์ “ข้าคิดว่าเมื่อครู่เ้าคงเข้าใจความหมายของข้าผิดไป เ้าคงไม่ได้คิดว่าข้าหิวโหยร่างกายเ้าหรอกนะ?”
หนิงโม่สำลัก
ไม่ใช่หรือ?
เขายังไม่ทันคิดว่าจะตอบอย่างไร แต่สตรีตรงหน้ากลับหัวเราะอีกครั้ง แก้มเนื้อแน่นสั่นกระเพื่อม รอยยิ้มดูชั่วร้ายอย่างน่าประหลาด
“ไม่ต้องกังวล พี่สาวอย่างข้าไม่ชมชอบการเสพดอกไม้ที่มีหนามแหลมให้มันแว้งกลับมาทิ่มตำมือตนเองหรอก”
เสิ่นม่านหยุดชะงักชั่วคราวแล้วเอ่ยต่อ “ข้าเพียงคิดว่า ให้เ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะเลี้ยงดูเ้าอย่างดี จากนั้น… เพียงยืมมือของเ้าให้ข้าจับบ้างเป็ครั้งคราว ได้หรือไม่?”
หนิงโม่ “...”
อาการเสียวสันหลังวาบจู่โจม เขาเอ่ยอย่างเ็า ให้ตายก็ไม่ยอมตกลง “นางมารจอมราคะ เ้าฝันไปเถิด”
เสิ่นม่านหมดคำจะเอ่ย แค่จับมือ? คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง? หากไม่ใช่เพื่อพลังงาน ใครจะไปอยากจับมือถั่วงอกสี่ฤดูเช่นนี้!
เสิ่นม่านไม่ได้มีความอดทนมากนัก ขณะกำลังคิดว่าจะจับเขามัดเลยดีหรือไม่ ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าออกันอยู่หน้าประตูบ้าน
นางเข้าใจว่าตามหาเด็กๆ เจอแล้ว จึงรีบออกไปด้วยใบหน้าตื่นเต้นดีใจ
แต่กลับเห็นครอบครัวหนึ่งมาพร้อมกับเกวียนวัวเก่าๆ สองคัน และกำลังขนย้ายของไม่น้อยไปยังประตูบ้านข้างๆ
นางโจวยังไม่กลับมา เหตุใดจู่ๆ ถึงมีคนมามากมายมาบ้าน?
เสิ่นม่านเดินไปประตูบ้านข้างๆ นางเห็นชายหญิงทั้งหลายแบกหามข้าวของมากมายไปวางตรงประตูบ้านและเตรียมยัดเข้าไปในบ้าน นางรีบไปยืนขวางไว้ตรงประตู ห้ามไม่ให้พวกเขาเข้าไป
“พวกเ้ากำลังทําอะไรอยู่? นี่คือบ้านของข้า! คิดจะปล้นกันกลางวันแสกๆ หรือ!”
คนที่เป็เ้านายน่าจะเป็ตาเฒ่าอายุห้าสิบปลาย ดวงตาเต็มไปด้วยต้อแฝงแววขี้โกง เสิ่นม่านจำได้ว่าคนผู้นี้คือตาเฒ่าแซ่คังตรงทิศตะวันตกของหมู่บ้าน
ตาเฒ่าคังไม่พูดพล่ามไร้สาระกับนาง เขาเพียงโยนกระดาษสัญญาซื้อขายให้นางหนึ่งแผ่น
“พี่สะใภ้ของเ้าขายบ้านหลังนี้ให้กับครอบครัวของเราเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนนี้บ้านหลังนี้รวมถึงบ้านหลังที่เ้าอาศัยอยู่ ล้วนเป็ของบ้านสกุลคังของข้า!”
นางโจวขายบ้านนี้?
เสิ่นม่านดูสับสนงุนงง หลังมองดูอักษรหมึกดำบนกระดาษขาวพร้อมประทับรอยนิ้วมือสีแดงชาดของนางโจว นางก็โมโหจนจุกในอก หญิงผู้นี้ เห็นทีคงมีความคิดอยากหนีตามผู้ชายนานแล้วสินะ?
ที่นางโจวขายไม่ใช่เพียงแค่บ้าน หากแต่เป็เืเนื้อที่มาจากความลำบากตรากตรำของบิดามารดาของเสิ่นม่านเหนียง และเงินเบี้ยหวัดทหารของพี่ชาย
ไม่ง่ายดายเลยกว่าจะสร้างเรือนเล็กสามห้องนอนนี้ได้ พริบตาเดียวกลับถูกนางโจวขายไปด้วยเพียงราคาสามตำลึงห้าเฉียน?
------