เสียงร้องะโของเหนียนยวี่ หลีอ๋องจ้าวเยี่ยนเองก็ได้ยิน
ยามที่เขาได้ยินเสียงของเหนียนยวี่ วินาทีนั้น ในใจเขารู้สึกซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก นางยังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ?
นั่นมิใช่หมายความว่าทั้งฉู่ชิงและฮองเฮาอวี่เหวินต่างก็ยังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ
เขาหวังว่าพวกนั้นจะตายไปกันหมดในสวนร้อยสัตว์แห่งนี้ วินาทีที่ได้ยินเสียงของเหนียนยวี่ เขาเองก็ไม่ทันได้สังเกต ร่องรอยบางอย่างที่เรียกว่าความดีใจผุดขึ้นในใจของเขา และถูกสิ่งอื่นเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว
ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ เขาคงได้แต่ต้องยอมรับความจริงให้ได้เร็วที่สุด เขาต้องหาคนกลุ่มนั้นและต้องได้พบเป็คนแรก
ด้วยเหตุนั้น เขาจึงเร่งรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่ใช่คนแรกที่มาถึง
สายตากวาดมองคนสามสี่คนตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เฝ้ามองการกระทำอันใกล้ชิดสนิทสนมของจ้าวอี้ที่มีต่อเหนียนยวี่ ท้ายสุดก็เบนสายตามองไปที่เหนียนยวี่
เสื้อผ้าทั่วทั้งร่างอาบไปด้วยเื ดุจดั่งดอกไม้สีแดงสดที่เบ่งบานมากด้วยเสน่ห์ท่ามกลางซากปรักหักพัง ทำให้ผู้คนหลงใหลอย่างบรรยายไม่ถูก
เมื่อคืนนี้ พวกเขาเจออะไรบ้าง?
และนางกับฉู่ชิง...
สายตาของจ้าวเยี่ยนหันไปมองชายชุดดำที่เดินเตร่ระหว่างฉู่ชิงและเหนียนยวี่ราวกับกำลังค้นหาบางสิ่ง
อีกฟากหนึ่ง อวี่เหวินหรูเยียนและอวี่เหวินเจี๋ยก็มาถึงแล้วเช่นกัน เมื่อมองเห็นจ้าวอี้ที่ยกแขนเสื้อขึ้นท่ามกลางสายฝน ราวกับพยายามจะบังหยาดฝนให้เหนียนยวี่ คิ้วงดงามของอวี่เหวินหรูเยียนก็ย่นขมวดลงเล็กน้อย
"หึ ท่านอ๋องมู่ช่างเอาใจใส่เหนียนยวี่ผู้นั้นจริงๆ!"
เสียงของอวี่เหวินเจี๋ยดังขึ้นใกล้หูของอวี่เหวินหรูเยียน แฝงนัยหัวเราะเยาะเล็กน้อย
"ท่านอ๋องมู่เป็คนใจดีมีคุณธรรม การดูแลเปี่ยวเม่ยเองก็เป็เื่ธรรมดา" อวี่เหวินหรูเยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ น้ำเสียงอันอ่อนโยนนั้นไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย
“เปี่ยวเม่ยงั้นหรือ นางเป็แค่เปี่ยวเม่ยจริงๆ น่ะหรือ?” อวี่เหวินเจี๋ยไม่สนใจ มองดูทั้งสองคนท่ามกลางสายฝน พิจารณาอย่างลึกซึ้ง “จากที่ข้าเห็น ดูจะเป็การปฏิบัติในฐานะบุรุษต่อสตรีเสียมากกว่า เหนียนยวี่...เป็แค่คุณหนูที่เกิดจากอนุแค่นั้นจริงหรือ? หรูเยียน ข้ากลับคิดว่าฝีมือคู่แข่งผู้นี้ของเ้า มิใช่ธรรมดาเลยนะ"
คู่แข่งหรือ?
อวี่เหวินหรูเยียนจำได้ว่าเมื่อวานนี้ที่งานเลี้ยงฉีเฉี่ยว ฝีมือการเล่นฉินของเหนียนยวี่ผู้นี้ช่างล้ำเลิศเหนือชั้น หากพวกนางสองคนเล่นฉินแข่งกัน นางก็รู้สึกไม่มั่นใจว่าจะมีชัยได้
นางรู้เพียงว่าในบรรดาหญิงสาวแห่งเป่ยฉี เหนียนอีหลานเก่งกาจชำนาญการเล่นฉินที่สุด ทว่านางกลับไม่เคยได้ยินเลยว่ายังมีผู้อื่นที่เก่งกาจกว่าเหนียนอีหลานอยู่ด้วย
และเมื่อคืนนี้ อย่างแรกที่นางทำคือสั่งให้สาวใช้ไปสืบหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับเหนียนยวี่มา...
สิบห้าปีที่นางถูกเลี้ยงดูมาในฐานะเด็กผู้ชาย ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของนางในจวนเหนียนจะไม่ดีนัก และมีเพียงเหนียนอีหลานเท่านั้นที่ดูแลและปฏิบัติต่อนางอย่างสนิทสนมรักใคร่
เมื่อวานในการแข่งฉินงานเลี้ยงฉีเฉี่ยว นางเห็นชัดๆ เลยว่าเป็เสียงฉินของเหนียนยวี่ที่ค่อยๆ กดดันบีบคั้นให้เหนียนอีหลานพ่ายแพ้ ทำให้นางตกตะลึงพรึงเพริดจนทำอะไรไม่ถูก ท้ายที่สุดก็ดีดจนสายฉินขาดจากกัน
นึกถึงจุดนี้ อวี่เหวินหรูเยียนจ้องมองไปที่ร่างของเหนียนยวี่ แววตาพิจารณามากขึ้นเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้วเหนียนยวี่ผู้นี้ยังมีอะไรอื่นซ่อนอยู่อีกหรือไม่ หรือยังมีแผนการอื่นอีกหรือไม่
ชั่วขณะหนึ่ง อวี่เหวินหรูเยียนไม่พบคำตอบ นางโบกไล่ความคิดในหัว สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นอวี่เหวินหรูเยียนก็เดินเข้าไปตรงนั้น
"ฮองเฮาเพคะ..." อวี่เหวินหรูเยียนโค้งคำนับให้ฮองเฮาอวี่เหวิน ก้าวเข้าไปช่วยประคองนางด้านหน้า
การมาถึงของอวี่เหวินหรูเยียน ทำให้ฮองเฮาอวี่เหวินรอยยิ้มเบ่งบานบนใบหน้า ทว่าเพียงชั่ววูบก็กลับไปมืดมนลงอีกครั้ง ท่าทางราวกับมีเื่หนักอกหนักใจ
คนเฉลียวฉลาดเช่นอวี่เหวินหรูเยียน นางสังเกตเห็นได้โดยธรรมชาติ ทว่านางก็ไม่ได้ซักไซ้ถาม มองหาจ้าวอี้ ดูเหมือนว่าเขายังคงเอาแต่สนใจเหนียนยวี่ อวี่เหวินหรูเยียนขมวดคิ้ว เปลี่ยนสีหน้าเป็ปกติ “ท่านอ๋องเพคะ ฝนตกหนักเยี่ยงนี้ คุณหนูยวี่ร่างกายาเ็ ไม่เหมาะที่จะหยุดยืนตากฝนอยู่เช่นนี้นะเพคะ”
การเตือนครั้งนี้ ทำให้ร่างกายจ้าวอี้ชะงักไป ราวกับโดนตบเข้าที่หัว “ใช่ๆ ขอโทษที่ข้าดีใจเกินไปหน่อย”
จ้าวอี้กล่าวพลางหันกลับไปคุกเข่าลงบนพื้นทันที "ยวี่เอ๋อร์ เ้าขึ้นมา ข้าจะแบกเ้าเอง"
การกระทำนี้ ทำให้ผู้คนที่นั่นตะลึงงันไปอีกครั้ง
ท่านอ๋องมู่เขา...
"เ้าเป็ทายาทผู้สูงศักดิ์ของจักรพรรดิผู้สูงส่ง จะให้สตรีมาขี่หลังได้อย่างไร?" ในที่สุดฮองเฮาอวี่เหวินก็เอ่ยปาก น้ำเสียงดุดันเฉียบขาดอย่างมาก
จ้าวอี้ผู้ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ตามใจตัวเองจนเป็นิสัย ในตอนนี้ชีวิตของฮองเฮาอวี่เหวินก็ปลอดภัยไร้กังวลแล้ว เขาก็กลับมามีนิสัยแบบเดิมโดยไม่สนใจอะไร “แล้วอย่างไรเล่า? ยวี่เอ๋อร์ได้รับาเ็ ข้าควรจะดูแลนาง ยวี่เอ๋อร์ เ้ารีบขึ้นมา”
“ไม่นะเพคะ ท่านอ๋องมู่ หม่อมฉันหวั่นเกรง หากท่านทำเยี่ยงนี้ หม่อมฉันรับไม่ไหวหรอกเพคะ ไม่ว่าอย่างไรหม่อมฉันก็มิบังอาจ...” เหนียนยวี่เองก็รู้สึกตกตะลึงกับการกระทำของจ้าวอี้ พอได้สติกลับมา นางก็ก้าวถอยหลังออกมาตามจิตใต้สำนึก
คร่ำครวญอยู่ในใจ ท่านอ๋องมู่ผู้นี้ดื้อรั้นไม่คำนึงถึงตัวตนของตัวเองเลย ถึงอย่างไรก็อยู่ในวังหลวง ทั้งยังอยู่ต่อหน้าฮองเฮาอวี่เหวิน...และต่อหน้าผู้คนมากมายเยี่ยงนี้ เขาเป็เช่นนี้ได้อย่างไร...
"มิบังอาจอะไร?"
คำปฏิเสธของเหนียนยวี่ยังไม่ทันเอ่ยจบ จ้าวอี้ก็ตัดบทนาง หันกลับมาคว้ามือทั้งสองข้างของนาง และหันกลับไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว ในนาทีต่อมา เหนียนยวี่ก็ขึ้นมาอยู่บนหลังของเขาแล้ว
แผ่นหลังกว้างตรงหน้า ทำให้มีเสียงะเิดัง “บูม” ดังขึ้นในหัวเหนียนยวี่ สมองนางว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง
ส่วนจ้าวอี้ที่แบกเหนียนยวี่ไว้บนหลังก็ไม่รอช้า ก้าวฝีเท้ายาวๆ เดินไปทิศทางของประตูสวนร้อยสัตว์ อดไม่ได้ที่จะสั่งสอนเหนียนยวี่ “เสี่ยวยวี่เอ๋อร์ หลังจากนี้เ้าบุ่มบ่ามเช่นนี้อีกไม่ได้ สวนร้อยสัตว์เป็สถานที่แบบใด เ้าก็ยังกล้าเข้าไป? ยังโชคดีนะที่ไม่มีแมลงั์ หากเจอแมลงั์เข้าละก็ ชีวิตน้อยๆ ของเ้าก็คงไม่เหลือรอดมาแล้ว”
เหนียนยวี่ฟังเสียงที่พูดจุกจิกจู้จี้ของเขา ความห่วงใยในคำพูดนั้น ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นอย่างมิอาจบรรยายได้
ไม่มีแมลงั์งั้นหรือ?
ถ้านางบอกเขาว่า เมื่อคืนนี้มีเสือโคร่งหิวโหยในป่าพุ่มหนามแห่งนี้ เขาจะมีท่าทีตอบสนองอย่างไรนะ?
เมื่อนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เหนียนยวี่ก็ขมวดคิ้ว คนคนนั้นที่หนีรอดไปได้เมื่อคืน...
เหนียนยวี่หันหลังไปโดยไม่รู้ตัว ผู้คนจำนวนหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง เหมือนจะจ้องมองนางด้วยสีหน้าอารมณ์ต่างกันไป
เหนียนยวี่รู้ว่า การที่ท่านอ๋องมู่แบกนางครานี้ เกรงว่าคงเป็การแบกนางไปสู่ปลายคมดาบอีกครั้ง
เพียงแต่ยามนี้นางเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก เหนียนยวี่สบตามองฉู่ชิง ดวงตาคู่นั้นดำทะมึน ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจนางถึงได้รู้สึกเกร็งอย่างอธิบายไม่ถูก เขา...แม่ทัพหลวงผู้นี้ ควรไปตามสืบสาวหาคนที่หลบหนีไปเสียเถิด!
เหนียนยวี่ถอนสายตา ในเมื่อสถานการณ์เป็เช่นนี้แล้ว นางก็ไม่ได้ต่อสู้อย่างไร้ความหมาย บางทีอาจเพราะเดินมาตลอดทาง เหนื่อยล้าเกินไป ยามนี้บนแผ่นหลังกว้างของจ้าวอี้ ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างแปลกประหลาด
เหนียนยวี่ยอมให้ตัวเองอิงหลังจ้าวอี้ ไม่รู้ว่าเป็ความสับสนหรือสายฝนที่ทำให้ตาของนางพร่ามัว ในความเลือนราง นางเห็นจ้าวเยี่ยนแวบผ่านหน้านางไป
"อี้เอ๋อร์ ให้ข้าแบกเองเถิด"
เสียงนั้นอ่อนโยนสงบนิ่ง ไร้คลื่นอารมณ์
"ไม่ต้อง..."
"ไม่ต้อง…"
เหนียนยวี่สะดุ้งใ เพียงชั่วพริบตาก็กลับมามีกำลัง เอ่ยปากออกมาเป็เสียงเดียวกับจ้าวอี้ที่แบกนางอยู่ใต้ร่าง
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศกลับกลายแปลกประหลาดขึ้นมาในฉับพลัน เหนียนยวี่เห็นจ้าวเยี่ยนตัวสั่นสะท้านอย่างชัดเจน คิ้วบนใบหน้าหล่อเหลาคู่นั้นขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
จ้าวอี้แบกเหนียนยวี่ ไม่หยุดพัก ในใจคิดอยากจะพาเหนียนยวี่ออกจากสวนร้อยสัตว์ให้เร็วขึ้นอีกนิด จึงไม่ได้สังเกตอะไรเลยสักนิด และเดินผ่านหน้าจ้าวเยี่ยนอย่างรวดเร็ว
จ้าวเยี่ยนมองดูแผ่นหลังนั้นค่อยๆ เดินห่างไกลออกไป ในหัวยังคงดังก้องไปด้วยเสียงปฏิเสธของคนทั้งสองที่ดังขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย...
พวกเขา……
พวกเขาสื่อถึงกันได้!