หรงซิววาดขนมชิ้นใหญ่ให้อวิ๋นอี้ [1] แต่แท้จริงแล้วเขากลับมีงานยุ่งนักในสำนักศึกษานัก
การสอบในฤดูวสันต์กำหนดไว้ในอีกสองเดือนหน้า และใน่นี้เป็่ที่ตึงเครียดที่สุดในการเตรียมสอบ มีต้นกล้าพันธุ์ดีอยู่หลายต้นในสำนักศึกษาจิงซุ่ย และเป็ที่รู้จักกันดีในแวดวงการศึกษา
หรงซิวได้รับคำสั่งให้มาที่แห่งนี้ เื่หนึ่งก็เพื่อทำข้อสอบ และอีกเื่ก็คือมาคุมการสอบของต้นกล้าเหล่านี้
แม้ว่ากฎการคัดเลือกของราชวงศ์ต้าอวี่จะอิงตามคะแนนการทดสอบเป็หลัก แต่โดยรวมแล้ว ก็ให้ความสำคัญกับจริยธรรมและศีลธรรมของคนมีความสามารถรุ่นใหม่เป็อย่างมากเช่นกัน
หรงซิวไม่รู้ว่าฮ่องเต้มีความคิดเช่นไร ถึงมอบหมายงานยิบย่อยให้เขาเช่นนี้ แต่เมื่อเขาได้รับพระราชโองการแล้ว เขาก็ทำได้เพียงกัดฟันทนทำไปเท่านั้น
ตอนกลางวันเขาก็อยู่กับปัญญาชนเ่าั้กลับมาเสียดึกดื่นแทบทุกค่ำคืน ั้แ่ที่อวิ๋นอี้ล้มป่วย นางก็นอนอยู่แต่ในห้อง และผลที่ตามมาก็คือนางหลับจนงุนงงไปเสียหมด ไม่รู้ว่าเวลาใดกลางวันกลางคืน
พอหรงซิวกลับมาคุยด้วย นางก็สะลึมสะลือี้เีตอบ
ผ่านไปหลายวัน อวิ๋นอี้ยังไม่พูดอันใด หรงซิวกลับทนไม่ไหวเสียเอง เขาเขียนรายงานส่งถึงองค์ฮ่องเต้และอธิบายสถานการณ์ของศิษย์ในสำนักศึกษา เขาได้แต่งตั้งเ้าหน้าที่สองสามคน ให้เริ่มเตรียมเอกสารข้อสอบของฤดูวสันต์
จากนั้น เขาก็ถอนตัวออกมาจากงานทั้งหมดของเขา
หรงซิวได้รับอิสรภาพแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องอย่างมีความสุข เมื่อเห็นสตรีตัวเล็กยังคงนอนขดตัวอยู่บนเตียง เขาก็เดินไปจับนางออกจากผ้านวม “อวิ๋นเออร์ ตื่น ตื่น!”
“อืม...”
หญิงสาวตัวเล็กพึมพำอย่างรำคาญ ดวงตาของนางยังคงปิด ไม่อยากแม้แต่จะลืมตาขึ้นมา
ขนตายาวของนาง โค้งงอนเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงของนางดูแห้งจากการหลับใหลเป็เวลานาน
อยากจะก้มไปจูบนางเสียจริง
หรงซิวมีแววตาเข้ม กลืนน้ำลายอยู่เงียบๆ "อวิ๋นเออร์ ตื่นได้แล้ว ถึงเวลาทานข้าวแล้ว"
คิดไม่ถึงเลยว่า อวิ๋นอี้ที่ยังคงหลับอยู่เมื่อครู่ ได้ยินเสียงก็ลืมตาขึ้นทันที “หิวแล้ว”
“......”
การนอนนี้ช่างดูเหมือนการเสแสร้งเสียจริง
หรงซิวกระตุกมุมปาก ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับนาง เขาลากนางขึ้นแล้วยื่นเสื้อผ้าให้นาง "ยังมิถึงเวลาอาหาร วันนี้ข้าว่าง ไปเที่ยวเล่นที่หุบเขาคู่รักกันเถิด ข้าได้ยินมาว่ามีขนมถั่วอร่อยๆ ที่นั่น มีน้ำหวานด้วย อยากทานหรือไม่?"
เขารู้วิธีดึงดูดความสนใจของอวิ๋นอี้ พยายามที่จะชวนนาง
อวิ๋นอี้สวมเสื้อผ้าพลางตอบว่า "ข้าอยากทาน! ฝ่าารอสักครู่ ข้าเตรียมตัวครู่หนึ่ง ครู่เดียวเพคะ!"
ท่าทีรีบร้อนของนาง ทำให้ริมฝีปากของหรงซิวโค้งขึ้น
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสตรีผู้นี้จะน่ารักขนาดนี้ อาหารเพียงนิดเดียวก็เกลี้ยกล่อมนางได้แล้ว
หยุดคิดไปครู่หนึ่ง คิดว่าถ้าหากมิใช่เพราะอาหารมื้อเดียวที่ทำให้นางมาถึงงานเลี้ยงสายน้ำไหล เกรงว่าคู่ของพวกเขาไม่รู้ว่าปีจอเดือนมะแม [2] เมื่อไหร่ถึงจะได้เจอกัน
หรงซิวดึงสติกลับมา มองดูอวิ๋นอี้ตัวน้อยที่วิ่งวุ่น
นางบอกว่าจะเตรียมตัวให้เร็ว แต่แท้จริงแล้วกลับใช้เวลานานเหลือเกิน
หลังจากตื่นนอน นางก็อาบน้ำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้เวลาอยู่หน้ากระจกกว่าครึ่งวัน
“แต่ก่อนเ้าไม่ชอบแต่งหน้า” หรงซิวพิงกระจก มองมาที่นางแล้วพูด
อวิ๋นอี้กลอกตาขาวอย่างเฉยเมย "ท่านก็บอกเองว่าแต่ก่อน ความชอบของข้าจะเปลี่ยนไปมิได้หรือ?"
"ได้" หรงซิวถูกนางกลอกตาขาวใส่จนขำ เขายิ้มด้วยความสบายใจ "เ้าแต่งหน้าแล้วงาม"
"ไร้สาระ" อวิ๋นอี้ไม่ถ่อมตนเลยสักนิด "ข้างามอยู่แล้วเพคะ ฝ่าาพูดไม่เป็ก็ไม่ต้องพูด ไม่มีผู้ใดว่าท่านเป็คนใบ้หรอกนะเพคะ"
ปากของนางเจื้อยแจ้ว ชวนให้รู้สึกคอแห้ง สิ่งที่นางพูดออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้หรงซิวตะลึงอยู่นาน
ในอดีต อวิ๋นอี้เป็สตรีเรียบร้อย เว้นแต่ความรักที่ร้อนแรงก่อนจะแต่งงานกับเขา หลังจากแต่งงานนางก็เป็คนที่อ่อนโยนเสมอมา ไม่ต้องพูดถึงเื่การเถียงกับเขา แม้แต่การพูดเสียงดังนางก็มิเคยทำ
หรงซิวคิดแล้วก็อดหัวเราะออกมิได้ อวิ๋นอี้ได้ยินเขาหัวเราะ ก็ชำเลืองมองเขา “หัวเราะอันใดเพคะ?”
“เมื่อก่อนเ้ามีนิสัยอ่อนโยน บางครั้งข้าก็รู้สึกเบื่อหน่าย แต่ตอนนี้เ้าเปลี่ยนไปราวกับคนละคน อวิ๋นเออร์ ข้ายิ่งรู้สึกว่าเ้าน่าสนใจและเหมือนจะชอบเ้ามากกว่าเดิม เ้าคิดว่ามันเป็เพราะเหตุใด?”
แต่งหน้าจะเสร็จแล้ว อวิ๋นอี้ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะเครื่องแป้ง
นางเชิดคาง มองหรงซิวด้วยสายตายั่วยวน “จะเพราะเหตุใดเล่าเพคะ ฝ่าาใจง่ายอย่างไรเล่าเพคะ”
คำนี้ตรงไปตรงมา แต่ถูกต้อง
หรงซิวยิ้ม แล้วบีบคางของหญิงสาวเบาๆ "จริงด้วยสิ"
"พอแล้วเพคะ" นางปัดมือเขาออก เว้นระยะห่างระหว่างทั้งคู่ "ไปกันเถิด ไปหุบเขาคู่รักกัน กินกินกิน!"
หุบเขาคู่รักมิได้ขายแค่ขนมถั่วและน้ำหวานเท่านั้น แต่คนมาที่นี่ต่างก็มาเพื่อชมทิวทัศน์ ระหว่างทางหรงซิวเล่าให้นางฟังถึงชื่อหุบเขาคู่รัก จริงๆ แล้วมาจากเื่ราวความรักที่น่าเศร้า
ว่ากันว่าเมื่อนานมาแล้ว มีอาจารย์ท่านหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่
ท่านอาจารย์เป็บุรุษที่สุภาพ หน้าตาหล่อเหลา ท่วงท่าสง่างาม คนทั่วแคว้นก็ต่างส่งลูกมาศึกษาที่นี่ ศิษย์ในสำนักก็ชอบอาจารย์มากเช่นกัน
ไม่รู้ั้แ่เมื่อใด ที่มีสาวน้อยผู้หนึ่งเข้ามาในสำนัก สาวน้อยผู้นั้นหน้าตาดีและฉลาดเฉลียวนัก โดยเฉพาะตากลมโตคู่นั้นที่เมื่อกะพริบก็ต่างพาให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มล่องลอยกันไปตามกัน
ไม่มีใครรู้ที่มาของเด็กสาวผู้นี้ มีคนคาดเดาถึงตัวตนของนาง และในที่สุดก็ยืนยันได้ว่าเด็กสาวผู้นี้เป็เด็กกำพร้าที่มาที่นี่เพื่อขอทาน
เด็กสาวไม่มีที่ไป นางจึงตามติดกับท่านอาจารย์ทั้งวัน
ท่านอาจารย์ดูแลนางทุกวันด้วยหัวใจ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ค่อยๆ เพิ่มพูนยิ่งขึ้น แต่อาจารย์และศิษย์จะครองรักกันได้อย่างไร นั่นเป็เื่ผิดศีลธรรม ในหมู่บ้านก็เริ่มมีคนพูดคุยเื่นี้กัน ไม่นานศิษย์ในสำนักก็ต่างพากันออกจากสำนัก
ทุกๆ อย่างยากเย็นเสมอในคราแรก เมื่อมีคนนำ หลายคนก็ต่างพากันออกตามไป ในท้ายที่สุด อาจารย์ก็เหลือเพียงเด็กสาวเป็ศิษย์เพียงผู้เดียวเท่านั้น สำนักศึกษาไปต่อไม่ได้ อาจารย์ก็เริ่มหันมาเปลี่ยนอาชีพเป็การทำนา
แต่กระนั้น ์ก็ยังไม่เป็ใจ ในปีแรกของการเพาะปลูกของอาจารย์ หมู่บ้านประสบอุทกภัยและเกิดภัยแล้ง มีชาวบ้านที่เชื่อในเื่โชคลาง บอกว่าเป็เพราะอาจารย์และเด็กสาวทำเื่ผิดศีลธรรม นี่เป็บทเรียนจาก์และพวกเขาต้องถูกลงโทษอย่างหนักเพื่อดับความพิโรธ
ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านจึงปรึกษาหารือวิธีแก้ปัญหากันในชั่วข้ามคืน ด้วยการจับอาจาร์และเด็กสาวมามัดไว้แน่น ให้ทุกคนล้อมเข้ามาดู ทำการเผาหญิงชายที่ไร้ยางอายนี้ให้ตาย จนอาจารย์และเด็กสาวกอดกันแน่นและตายด้วยกันในกองไฟในท้ายที่สุด
น้ำเสียงของหรงซิวแ่เบา เขาเล่าเื่โดยไม่มีจังหวะจะโคนอันใดเลย แต่อวิ๋นอี้ก็ตั้งใจฟังมาก
“แล้วสุดท้ายเล่า?” เมื่อเขาหยุดไป นางก็ถาม “หลังจากเผาอาจารย์และเด็กสาวจนตาย สถานการณ์ในหมู่บ้านดีขึ้นหรือไม่?”
“ไม่” หรงซิวยิ้มยักไหล่ “หมู่บ้านแย่ลงกว่าเดิมทุกปี พืชผลเก็บเกี่ยวมิได้ ผู้คนเกือบอดตาย คนส่วนใหญ่พากันออกจากหมู่บ้าน แต่ก็มิได้มีจุดจบที่ดีกันหรอก”
“อ้อ?” อวิ๋นอี้ยิ้มประชด “จะว่าเช่นไรดี หรือว่าฟ้ามีตากัน?”
“เื่ราวจบลงตรงนี้ " หรงซิวอธิบายอย่างจริงจัง
อวิ๋นอี้หัวเราะให้กับเื่ที่ไม่เป็เื่เช่นนี้ ไม่ได้พูดอันใดต่อ นางมองดูรูปปั้นใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกล ถามหรงซิวว่า "ถึงที่หมายแล้วใช่หรือไม่เพคะ?"
"ใช่ "
ทั้งสองเดินไปข้างหน้าเคียงข้างกัน หรงซิวจับมือนางอย่างเป็ธรรมชาติ
อวิ๋นอี้ไม่ขัดขืนอันใด เขายิ่งกล้าขึ้นอีก เอานิ้วเกาฝ่ามือนางเบาๆ
“อย่าขยับมั่วซั่วเพคะ ” เสียงหญิงสาวดุอย่างแ่เบา “จั๊กจี้!”
หรงซิวเออออรับคำ
แดดในวสันต์ฤดูช่างสดใส ผู้คนจึงมาที่หุบเขาแห่งคู่รักกันมากมาย เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็เห็นผู้คนมากมายรอบๆ ที่อยู่รอบรูปปั้น พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่าคนส่วนใหญ่รวมกันเป็กลุ่มสองสามคน เป็บุรุษสตรีเสียส่วนใหญ่ คาดว่าคงจะเหมือนกับพวกเขาที่มาเยี่ยมชม
สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในหุบเขาคู่รักก็เห็นจะเป็รูปปั้นนี่
รูปปั้นเป็รูปบุรุษและสตรี มือไพล่หลังและถูกมัดด้วยเชือกป่าน แม้ว่าจะมีไฟลุกโชนอยู่ข้างหลังพวกเขา ทว่าทั้งสองก็แนบหน้าเข้าหากันดูรักใครและช่างสิ้นหวัง
คนรอบข้างดูกันอย่างสนอกสนใจ อวิ๋นอี้ก็เงี่ยหูฟัง ได้ยินสตรีผู้หนึ่งบอกว่าตนจะต้องมีความรักที่มั่นคงและไม่ย่อท้อให้จงได้
นางเม้มปาก ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ
จากความคิดของนางแล้ว มันไม่ผิดที่คนสองคนจะรักกัน แต่ผิดที่ว่าพวกเขาไม่เข้าใจความโหดร้ายของโลกใบนี้
ในตอนที่ชาวบ้านเริ่มพูดถึงเื่นี้ ะเิเวลาก็ถูกฝังเอาไว้แล้ว
บุรุษรักสตรีผู้หนึ่ง ไม่ใช่แค่ดูแลชีวิตประจำวันของนาง ไม่ใช่แค่มีผักมีปลาให้กินก็จบ สิ่งสำคัญที่สุดคือความสามารถในการปกป้องสตรี ความสามารถในการปกป้องความรักของพวกเขา
ในตอนที่มีความรัก ต้องมีสติ มีเหตุผล และหาทางหนีทีไล่
“ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในจุดนั้น” อวิ๋นอี้อดพูดความคิดในใจออกมาไม่ได้
หรงซิวได้ยินเช่นนั้นก็พูดเสริม "ข้าก็เช่นกัน"
เขารู้ว่านางกำลังพูดถึงเื่อันใดหรือ?
เดิมทีอวิ๋นอี้อยากจะบ่น แต่เมื่อเห็นดวงตาอันหนักแน่นของหรงซิวแล้ว นางก็เม้มปากพูดอันใดมิออก
หลังจากที่เยี่ยมชมรูปปั้นแล้วทั้งสองก็เดินเล่นรอบๆ หุบเขาคู่รัก ที่นี่นอกจากรูปปั้นแล้วยังมีสวนดอกท้ออีกด้วย ถาวฮวาหยวนเป็ป่าท้อขนาดใหญ่ พื้นที่กว้างขวาง ในวสันต์ฤดู ต้นท้อบางต้นก็ออกผลแล้ว อวิ๋นอี้ใ และสิ่งที่น่าใยิ่งกว่านั้นคือ แค่จ่ายเพียงสิบเหวิน [3] ก็สามารถเข้าไปเด็ดลูกท้อในสวนได้เป็ตะกร้าแล้ว
นางคว้าแขนหรงซิว "ไปกันเถิด!"
ทั้งสองจ่ายเงิน ถือตะกร้าไม้ไผ่ แล้วเข้าไปในทางเข้าของสวนดอกท้อ
มีดอกท้อสีชมพูอ่อนๆ อยู่ทุกหนทุกแห่ง ดูน่ารัก อาจเป็เพราะสภาพอากาศและฮวงจุ้ยที่นี่ ดอกไม้เหล่านี้ช่างวิเศษไม่แพ้ใคร ไม้ผลก็โตเต็มไปหมด
อวิ๋นอี้เห็นผู้คนมามากมายมาที่นี่ มองไปรอบๆ ก็แปลกใจที่พบว่ามีคนอาศัยอยู่ในสวนดอกท้อนี่ด้วย
“อยากทานลูกท้อหรือไม่?” หรงซิวชี้ไปที่ต้นไม้ข้างหน้า “เดี๋ยวข้าไปเก็บให้”
"แน่นอนว่าต้องเป็ฝ่าาไปเก็บสิเพคะ" อวิ๋นอี้เย้ย "คิดว่าข้าจะปีนขึ้นไปหรือ?"
ดวงตาของหรงซิวยิ้มหยี "มิบังอาจขอรับ จะให้อวิ๋นเออร์ลงมือเองได้เช่นไร!”
เขาพูดพลางและะโเหาะขึ้นไป เห็นเพียงเสื้อสีขาวของเขาพลิ้วไสวตามสายลม โดยมีป่าดอกท้อที่สวยงามอยู่ด้านหลัง รูปลักษณ์ที่งดงามเกินคนธรรมดาของเขา ช่างเป็ภาพที่ตรึงใจนัก
หรงซิวร่อนลงระหว่างยอดไม้ พูดด้วยน้ำเสียงติดยิ้มน้อยๆ "เอาอันไหนดี? อวิ๋นเออร์ ชี้บอกข้า หรือกระทั่งดวงดาวบนท้องฟ้า ข้าก็เด็ดลงมาให้เ้าได้"
ท่าทีเปี่ยมพลัง พูดด้วยความเสน่หา
อวิ๋นอี้ส่ายหน้า แอบพูดว่าหรงซิวคนนี้ร้ายกาจนัก ตอนนี้นางเกือบหลงเสน่ห์ของเขาเข้าแล้ว!
เชิงอรรถ
[1] วาดขนมชิ้นใหญ่ 画大饼 หมายถึง วาดความหวัง พูดเอาไว้ดิบดีแต่ทำไม่ได้
[2] ปีจอเดือนมะแม 猴年马月 หมายถึง วันเวลาที่ไม่มีอยู่จริง เปรียบเทียบการรอคอยที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่
[3] เหวิน 文钱 หมายถึง เงินสดจีนโบราณ