สามเดือนเต็มหลังจากนั้น ลี่ฝานพักอาศัยอยู่ที่ตระกูลเนี่ยมาโดยตลอด ทั้งยังพักอยู่ในที่ที่มีรอยแยกของห้วงมิติเกิดขึ้นด้วย
น่าเสียดาย สามเดือนที่ลี่ฝานรอคอยอย่างยากลำบาก รอยแยกของห้วงมิติกลับไม่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ส่วนข่าวที่ตระกูลเนี่ยมีการก่อตัวของห้วงมิติปั่นป่วนเกิดขึ้นกลับค่อยๆ แพร่ไปทั่วเมืองเฮยอวิ๋น ผู้ฝึกลมปราณแปลกหน้าจำนวนไม่น้อยทยอยกันปรากฏตัวที่เมืองเฮยอวิ๋น มักจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้จวนตระกูลเนี่ยเป็ประจำ
เนื่องจากลี่ฝานอยู่ในตระกูลเนี่ยตลอด เนี่ยตงไห่และเนี่ยเฉี่ยนจึงแทบจะไม่ได้ไปพูดคุยกับเนี่ยเทียน เลือกใช้วิธีปล่อยปละละเลยไม่สนใจแทน
ในใจของคนทั้งสองล้วนเข้าใจดี ขอแค่ลี่ฝานยังอยู่ บทสนทนาระหว่างพวกเขาและเนี่ยเทียนอาจถูกจับสังเกตได้
ส่วนเนี่ยเทียนเองก็รู้ถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ดี สามเดือนมานี้จึงอยู่แต่ในห้อง น้อยครั้งที่จะออกมา แม้แต่ท่าของหมัดที่บรรลุจากดินแดนลึกลับก็ยังไม่กล้าทดลองทำอีกครั้งในตระกูลเนี่ย
เขาก็กังวลเหมือนกันว่าจะเป็การทิ้งเบาะแสให้กับลี่ฝาน
ณ ตระกูลอัน
ผู้ฝึกลมปราณสามคนที่เดินทางไกลมาจากหอหลิงเป่า กลับจากตระกูลเนี่ยในยามดึก มาหาอันซืออี๋
ผู้ที่เข้ามาเป็คนแรกคือชิวเหิงผู้มีรูปร่างอ้วนเตี้ย ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอ่อนโยนมอบให้ผู้คนที่มองอยู่ตลอดเวลา คนผู้นี้ถือเป็อาจารย์อาของอันซืออี๋ มีความรู้ด้านความลึกลับของพลังแห่งห้วงมิติเล็กน้อย
“นางหนู ห้วงมิติปั่นป่วนนั้นสามเดือนมาแล้วก็ยังไม่ปรากฏขึ้นอีก ในสามเดือนนี้ ข้าคอยแอบเข้าไปใกล้เพื่อจับตามองที่นั่นเงียบๆ ไม่พบความผิดปกติใดๆ ของห้วงมิติเลย” ชิวเหิงใคร่ครวญอยู่นานก็พูดต่อว่า “ตามความเห็นของข้า นั่นเป็เพียงอุบัติเหตุครั้งหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าห้วงมิติปั่นป่วนคงไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้ว”
“พวกเราผลัดกันรอมาสามเดือนแล้ว รับรองได้ว่าใน่เวลานี้ ที่นั่นไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นจริงๆ” อีกสองคนที่เหลือพูดเสริม
เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ ไม่มีแม้แต่ความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ทำให้พวกเขาล้วนรู้สึกว่าการที่ตระกูลเนี่ยเกิดความผิดปกติของห้วงมิติ บางทีอาจเป็เพียงอุบัติเหตุจริงๆ
พวกเขามีตำแหน่งสำคัญในหอหลิงเป่า งานรัดตัว ไม่สามารถอยู่ที่เมืองเฮยอวิ๋นได้ในระยะยาว
ตอนนี้มาหาอันซืออี๋ พูดประโยคเหล่านี้ออกมา เห็นได้ชัดว่า้าไปจากที่นี่แล้ว
“ดูท่า พวกเราคงทำได้เพียงเปลี่ยนแนวความคิดใหม่แล้วล่ะ” เรือนร่างอวบอิ่มน่ามองของอันซืออี๋ห่อตัวอยู่ในเก้าอี้นอนอ่อนนุ่ม มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเท้าคาง ดวงตางดงามเปล่งประกายเฉลียวฉลาด กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “เด็กที่ชื่อเนี่ยเทียนของตระกูลเนี่ย หายตัวไปอย่างลึกลับก่อนเกิดเื่สิบวัน ในสิบวันนี้ สำนักหลิงอวิ๋นให้ความสำคัญผิดปกติ ฝานลี่เรียกใช้กำลังคนมากมายเพื่อสืบหาที่อยู่ของเด็กน้อยผู้นั้น”
“ตระกูลอวิ๋น ตระกูลหยวน ล้วนถูกฝานลี่พลิกทั้งตระกูลสืบค้น”
“นี่ไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยหรือ”
“ขณะที่ข้าพบว่าอากาศตระกูลเนี่ยส่งคลื่นผิดปกติก็รีบเดินทางไปทันที แล้วก็สังเกตเห็นเด็กผู้นั้นทันทีเช่นเดียวกัน”
“ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่าเขาคือเนี่ยเทียนที่หายตัวไปสิบวัน”
“อยู่ๆ ก็หายตัวไปสิบวัน พอกลับมาที่ตระกูลเนี่ยอีกครั้งกลับบังเอิญตรงกับ่ห้วงมิติแยกออกพอดี ข้ามีเหตุผลให้เชื่อว่าสิบวันนั้นเขาต้องเข้าไปอยู่ในมิติมหัศจรรย์ของรอยแตกรอยนั้นอย่างแน่นอน”
“อีกอย่าง มิตินั้นน่าจะปล่อยให้สิ่งมีชีวิตเหยียบย่างเข้าไป มิฉะนั้นเขาไม่มีทางรอดชีวิตกลับมาได้”
พูดมาถึงตรงนี้ อันซืออี๋ก็นึกถึงบทสนทนาที่พูดกับเนี่ยเทียนเมื่อสามเดือนก่อน อดหัวเราะ “ฮ่าๆ” ขึ้นมาไม่ได้
ผู้ฝึกลมปราณแข็งแกร่งทั้งสามคนของหอเป่าหลิงเดิมทีกำลังตั้งใจฟังการคาดเดาของนาง แต่พอนางหัวเราะเสียงอ่อนหวานก็พลันรู้สึกว่าในห้องที่มืดสลัว คล้ายจะสว่างไสวขึ้นมา
ตอนที่พวกเขามองไปยังอันซืออี๋ ต่างก็ดูใจลอยอย่างเห็นได้ชัด ราวกับลุ่มหลงอยู่ในเสน่ห์อันน่าตกตะลึงของนาง
ชิวเหิงเป็คนแรกที่ได้สติขึ้นมาก่อน ถลึงตาใส่นาง กล่าวตำหนิว่า “ตั้งใจพูดให้มันดีๆ หน่อยจะได้หรือไม่!”
อันซืออี๋แลบลิ้นใส่อย่างน่ารัก กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อตระกูลเนี่ยไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นอีก บางทีพวกเราอาจลงมือได้จากเด็กเนี่ยเทียนคนนั้น สืบรู้ให้ชัดเจนว่าสิบวันที่เขาหายไปนั้น เขาหายไปไหนกันแน่”
“ข้ามีความรู้สึกว่าการห้วงมิติของตระกูลเนี่ยเกิดความผิดปกติ ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเด็กผู้นั้น”
“เริ่มลงมือจากตัวคนอย่างนั้นหรือ?” ชิวเหิงความคิดก็พลันกระตุกขึ้นมา คล้ายนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ พยักหน้ากล่าวว่า “มีความเป็ไปได้เช่นนี้จริง คนบางคนที่มีคุณสมบัติพิเศษหรือมีของวิเศษติดตัว สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของห้วงมิติได้จริง เพียงแต่ว่า เด็กคนนั้น... เพิ่งจะอายุสิบขวบ ขอบเขตต่ำต้อย เขาจะกระตุ้นให้เกิดได้จริงหรือ?”
“อาจารย์อา รบกวนพวกท่านอยู่ต่ออีกหน่อย ข้าจะหาวิธีสร้างสถานการณ์ ข้าอยากจะรู้ว่าจะหาความจริงได้จากตัวของเนี่ยเทียนหรือไม่” อันซืออี๋กล่าววิงวอน
“ได้” ชิวเหิงพยักหน้าเห็นด้วย
ห้วงมิติปั่นป่วนลึกลับที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันถือเป็เื่ใหญ่ยิ่ง ใหญ่จนอาจถึงขั้นพลิกเปลี่ยนชะตาชีวิตของสำนักผู้ฝึกลมปราณสำนักหนึ่งได้เลย
และก็ด้วยเหตุนี้ พอได้ยินความผิดปกติของตระกูลเนี่ย พวกเขาถึงได้รีบเดินทางมาจากหอเป่าหลิง ้ามีส่วนแบ่งร่วมกับสำนักหลิงอวิ๋น
รอมาสามเดือนแล้ว หากไม่สามารถหาความผิดปกติได้แม้แต่จุดเดียว เกรงว่าพวกเขากลับหอหลิงเป่าไปก็ยากที่จะให้ความกระจ่างได้ ดังนั้นจึงยอมทดลองตามความเห็นของอันซืออี๋
......
“ท่านพ่อ! เกิดเื่ใหญ่แล้ว!”
เวลาเดียวกัน ตระกูลเนี่ย เนี่ยคั่นไม่สนใจว่าจะดึกดื่นแค่ไหน บุกเข้าไปในห้องเย็นที่เนี่ยเป่ยชวนใช้บำเพ็ญตบะด้วยความร้อนรนราวไฟลนก้น สีหน้าดำมืดน่าเกลียดน่ากลัว
“มีอะไร?” เนี่ยเป่ยชวนพ่นหมอกเย็นออกมาขณะพูด เขาที่ถูกรบกวนการฝึกบำเพ็ญตบะ ในใจจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ลุกลี้ลุกลน เกิดเื่ใหญ่อะไรกันแน่? ลี่ฝานอยู่ในตระกูลเนี่ย หากมีเื่อะไรที่ตระกูลเนี่ยจัดการไม่ได้จริงๆ เขาไม่มีทางนิ่งดูดายแน่นอน”
“ข้าเพิ่งได้รับข่าว จากความพยายามใน่ที่ผ่านมา เหมืองแร่ที่ถูกปิดนั้น ในที่สุดก็สามารถเปิดทางได้แล้ว” เนี่ยคั่นกล่าว
“นี่ก็น่าจะเป็เื่ดีมิใช่หรือ?” เนี่ยเป่ยชวนพูดอย่างแปลกใจ
ูเาที่ใช้ขุดหินเมฆอัคคีคือเส้นเืแห่งชีวิตของตระกูลเนี่ย คราวก่อนหลังจากที่มันพังทลายลง พวกเขาก็ถือโอกาสให้เนี่ยเสียงลงจากตำแหน่ง จัดหาผู้าุโในตระกูลอีกคนที่เป็คนฝ่ายของพวกเขาให้รับผิดชอบดูแลการขุดเหมืองแร่แทน
เพื่อแสดงความสามารถของตัวเอง ผู้าุโคนนั้นได้จ้างคนงานจำนวนมากจากเมืองเฮยอวิ๋นให้ไปทำความสะอาดก้อนหินที่ร่วงถล่มลงมา
เดิมทีจำเป็ต้องใช้เวลานานมากถึงจะสามารถเปิดทางในเหมืองได้ ทว่าด้วยความพยายามทั้งวันทั้งคืนของเขากลับสามารถเปิดทางได้ก่อนกำหนด
“เหมืองแร่แห่งนั้น เหมือนว่า... เหมือนว่าจะไม่มีหินเมฆอัคคีอีกแล้วขอรับ!” เนี่ยคั่นเสียงสั่น
“เป็ไปไม่ได้!” เนี่ยเป่ยชวนลุกพรวดขึ้นพร้อมตวาดเสียงดังว่า “ก่อนหน้านี้ไม่นาน ทางสำนักหลิงอวิ๋นยังจัดหาผู้ฝึกลมปราณที่ถนัดในการตรวจสอบเหมืองแร่ไปตรวจสอบูเาลูกนั้น เขาบอกไว้ว่าด้วยความเร็วของตระกูลเนี่ยของพวกเรา อย่างน้อยยังสามารถขุดต่อไปได้อีกหลายสิบปี เขาจะพูดผิดได้อย่างไร?”
“ที่นั่นทำการตรวจสอบเหมืองทุกแห่งแล้ว เข้าไปสำรวจลึกถึงด้านในด้วย ไม่เหลือหินเมฆอัคคีแม้แต่ก้อนเดียวจริงๆ ขอรับ” เนี่ยคั่นกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าสลด
“เป็ไปไม่ได้! นี่จะเป็ไปดิอย่างไรกัน?” เนี่ยเป่ยชวนเองก็สติแตกเช่นกัน
เขารู้แน่ชัดว่าที่ตระกูลเนี่ยได้รับการยอมรับ ได้รับการปกป้องจากสำนักหลิงอวิ๋นล้วนเป็เพราะหลายปีมานี้ ตระกูลเนี่ยช่วยขุดเหมืองให้กับสำนักหลิงอวิ๋น
หากสูญเสียสิ่งนี้ไป เป็ไปได้มากว่าอาจจะถูกสำนักหลิงอวิ๋นทอดทิ้ง กลายเป็ตระกูลที่ไม่มีที่พึ่งพิงอีกต่อไป
ตระกูลที่ไม่มีที่พึ่งพิง ยากที่จะดำรงอยู่ได้ในเมืองเฮยอวิ๋น ทั้งตระกูลอันและตระกูลอวิ๋นก็จะสามารถทำอะไรกับตระกูลเนี่ยก็ได้
“ข่าวนี้ปิดเอาไว้ก่อน ข้าจะไปดูด้วยตัวเองให้แน่ใจว่าเป็เื่จริงหรือไม่!” เนี่ยเป่ยชวนลนลานเสียแล้ว
......
วันต่อมา
ลี่ฝานที่รอคอยผลลัพธ์ซึ่งมาไม่ถึง จึงตัดสินใจว่าจะไม่รออีกต่อไป ก่อนที่จะจากไป เขาไม่ได้สนใจเนี่ยเป่ยชวนแม้แต่น้อย แต่ไปยังหอเล็กห้าชั้นที่เนี่ยตงไห่อาศัยอยู่
พอมาถึงเขาก็ให้เนี่ยตงไห่เรียกเนี่ยเทียนมา
เนี่ยเทียนลงมาจากชั้นสาม ทำความเคารพลี่ฝาน “คารวะท่านลี่”
“ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น ต่อไปเรียกข้าว่าลุงลี่ก็แล้วกัน” ลี่ฝานเหลือบตามองเขาหนึ่งครั้ง
หลังจากที่เขารู้จากปากเจียงจือซูอาจารย์ของเขาว่าเนี่ยเทียนอาจหาญแต่งเื่โกหกพกลมต่อหน้าอาจารย์ของเขา เขาก็รู้สึกว่าเ้าเด็กเนี่ยเทียนผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก
ดังนั้นพอเจอเนี่ยเทียนอีกครั้ง เขาจึงมักจะรู้สึกนิดๆ ว่าเด็กคนนี้น่ารังเกียจ แน่นอนว่าย่อมไม่คิดทำดีด้วย
“ขอรับ ท่านลุงลี่” เนี่ยเทียนเอ่ยอย่างว่าง่าย
“สามเดือนแล้ว ทางนี้ไม่มีความผิดปกติของห้วงมิติเกิดขึ้น ข้าเองก็ไม่สามารถอยู่ในจวนตระกูลเนี่ยได้นานนัก วันนี้จะกลับสำนักหลิงอวิ๋นแล้ว” ลี่ฝานไม่ได้มองเนี่ยตงไห่ เอาแต่จ้องหน้าเนี่ยเทียน แล้วกล่าวต่ออีกว่า “เ้าถูกดึงเข้าไปในรอยแยกของห้วงมิตินั้น คงต้องรู้สึกใไม่น้อย หลายเื่ราวบางทีอาจจะลืมไปชั่วคราวเพราะหวาดกลัวมากเกินไป...”
หยุดไปครู่หนึ่งเขาก็พูดต่อว่า “หากภายหลังเ้าจำอะไรขึ้นมาได้ เ้าสามารถมาบอกข้าที่สำนักหลิงอวิ๋นได้ตลอดเวลา”
“เื่ที่ควรพูดข้าพูดไปหมดแล้ว” เนี่ยเทียนตอบเสียงอ่อนเบา
“จริงหรือ?”
“จริงขอรับ”
ลี่ฝานเบ้ปาก คิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมาและพูดต่ออีกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี วันนี้ข้าไม่ถามมากแล้ว วันหน้าหากเ้านึกได้ จำไว้ว่าต้องไปหาข้าที่สำนักหลิงอวิ๋น”
“หากเื่ที่เ้านึกขึ้นได้ส่งผลใหญ่หลวงต่อสำนักหลิงอวิ๋น ก็จะถือว่าเ้าสร้างคุณูปการครั้งใหญ่”
“สำหรับผู้ที่สร้างคุณูปการแล้ว สำนักหลิงอวิ๋นของพวกเราย่อมตอบแทนอย่างใจกว้างเสมอ ความดีความชอบที่เ้าทำ สามารถทำให้เ้าไม่ต้องรอถึงอายุสิบห้า หรือไม่จำเป็ต้องบรรลุถึงหลอมลมปราณขั้นเก้า ก็สามารถพาเ้าไปยังสำนักหลิงอวิ๋นได้ กลายเป็ลูกศิษย์ที่แท้จริงของสำนักโดยตรง!”
เมื่อประโยคนี้ปล่อยออกมา ดวงตาของเนี่ยตงไห่พลันเปล่งประกาย ในใจเนี่ยเทียนก็ชักกระตุกเช่นกัน
ได้กลายเป็ลูกศิษย์สำนักหลิงอวิ๋น เป็เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเด็กรุ่นเล็กตระกูลเนี่ยมาโดยตลอด แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
คำพูดประโยคนี้ของลี่ฝานทำให้เขาเข้าใจทันทีว่าคำว่ากฎระเบียบทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับผู้ที่สร้างมันขึ้นมา!
อายุสิบห้าปี บำเพ็ญตบะถึงหลอมลมปราณขั้นเก้า คือเงื่อนไขที่สำนักหลิงอวิ๋นจะยอมรับเด็กตระกูลเนี่ย นี่คือกฎที่ตั้งไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน
คนตระกูลเนี่ยไม่เคยคิดที่จะแหกกฎข้อนี้
ทว่าผู้ที่ตั้งกฎเดิมทีก็คือสำนักหลิงอวิ๋น เพียงสำนักหลิงอวิ๋นพูดคำเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงกฎที่ตั้งมาสิบกว่าปีได้ทันที ทำให้เขาสามารถกลายเป็ลูกศิษย์สำนักหลิงอวิ๋นในพริบตา!
“ไม่เพียงเท่านี้”
คล้ายจะมองออกถึงความสนใจของเนี่ยตงไห่และเนี่ยเทียน ลี่ฝานหัวเราะหึหึ พูดขึ้นมาอีกว่า “หากคุณความดียิ่งใหญ่มากพอ ข้าสามารถรับประกันได้ว่าจะทำให้ท่านตาของเ้ากลับมาเป็ประมุขตระกูลเนี่ยอีกครั้ง! แม้แต่อาการาเ็ของท่านตาเ้าก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางรักษาให้หายเสียเลย เพราะตัวเ้า บางทีท่านตาของเ้าอาจจะยังสามารถฝ่าทะลุขอบเขตขึ้นไปได้อีก!”
เนี่ยตงไห่ที่ร่างกายผ่ายผอมราวไม้ฟืน เมื่อได้ยินคำพูดนี้ร่างกายก็สั่นสะท้านเบาๆ ดวงตาเปล่งประกายความหวังที่ลุกโชนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้