ตอนที่ 2 : ทางที่ไม่มีอยู่จริง
เสียงโลหะเสียดสีกันจาก้าดังขึ้นอีกครั้ง
ไม่ใช่เสียงสั้น ๆ แบบการเคาะ แต่เป็เสียงยาว ช้า และหนัก เหมือนมีใครกำลังค่อย ๆ งัดเหล็กด้วยความอดทน
ผนังบังเกอร์สะท้อนเสียงนั้นกลับมาเป็ชั้น ๆ จนยากจะแยกทิศทาง ผงสนิมและฝุ่นละเอียดร่วงลงมาจากขอบประตูเหล็ก กระทบพื้นเบา ๆ เหมือนฝนที่ตกผิดที่ผิดเวลา
จ่าแม็กก้มมองปืนกลในมือ นิ้วแตะไกโดยไม่รู้ตัว
“ผู้กอง…คราวนี้มันเอาจริงแล้วครับ”
ผู้กองสิงห์ก้าวเข้าไปใกล้ประตู เอามือแตะผิวเหล็กที่เย็นจัด แรงสั่นะเืส่งผ่านขึ้นมาถึงข้อมือ
“มันรู้ว่าเราอยู่ข้างใน”
ร้อยตรีคิรันหันไปมองทางเดินด้านใน ความมืดทอดยาวจนไฟฉายส่องได้ไม่ถึงปลาย เงาดำทึบกลืนกินผนัง พื้น และเพดานเข้าด้วยกัน ราวกับที่ตรงนั้นไม่มีมิติ
“ถ้ามันพังเข้ามา เราไม่มีที่ถอย”
สิงห์นิ่งไปครู่หนึ่ง เสียงโลหะ้ายังคงดังเป็จังหวะ
“งั้นเราต้องรู้ให้ชัด ว่าด้านในมีอะไร”
เขาหันไปสั่งทันที
“แบ่งทีม”
แม็กกับก้องคุมประตู
ต้นนั่งพิงผนังอยู่กับผู้กอง
ส่วนคิรัน ภพ และนที เตรียมเข้าไปสำรวจด้านใน
ก่อนขยับตัว คิรันทรุดเข่าลงข้างต้นทันที เขาดึงกระเป๋าพยาบาลสนามออกมา มือทำงานรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด
“แขนซ้าย” คิรันพูดเสียงต่ำ
ต้นกัดฟัน ยื่นแขนมาให้ เืซึมผ่านผ้าพันแผลเดิมจนเปื้อน
“ยังขยับได้…แต่เริ่มชา”
คิรันตัดผ้าเก่าออก กลิ่นคาวเืผสมกลิ่นอับของบังเกอร์ลอยขึ้นทันที แผลฉีกยาวตรงท่อนแขน เืไหลไม่หยุด
“ะุเฉี่ยว” คิรันพึมพำ “ไม่โดนกระดูก โชคดี”
เขากดผ้าก๊อซลงไปแน่น ต้นสะดุ้งเฮือก ฟันกระทบกันดังกรอด
“อดทนหน่อย”
คิรันพันผ้าใหม่ ดึงสายรัดให้แน่นพอหยุดเื แต่ไม่ตัดการไหลเวียน
“ถ้ามือเริ่มเย็น หรือขยับไม่ได้ บอกทันที”
ต้นพยักหน้า หายใจถี่
“ครับพี่”
คิรันสบตาเขาแวบหนึ่ง
“นายยังต้องอยู่จนออกจากที่นี่”
⸻
ทางเดินด้านในแคบและยาวกว่าที่คิด ผนังคอนกรีตแตกร้าวเป็่ ๆ แต่โครงสร้างกลับแข็งแรงผิดปกติ อากาศเย็นจัดและชื้น กลิ่นอับเก่าผสมกลิ่นโลหะสนิมติดอยู่ในจมูก
“มันลึกเกินไปแล้ว” ภพพูดเบา ๆ “บังเกอร์ปกติไม่ทำยาวขนาดนี้”
นทีเหลือบมองวิทยุในมือ หน้าจอเงียบสนิท
“ไม่มีสัญญาณเลย เหมือนถูกตัดขาดจาก้า”
คิรันเริ่มสังเกตเห็นรางโลหะตามผนัง และพื้นบาง่ที่เรียบสม่ำเสมอเกินไป
“ที่นี่ไม่เหมือนบังเกอร์” เขาพูดในที่สุด
“มันเหมือนสถานที่ทำงานมากกว่า”
พวกเขามาถึงห้องกว้าง เพดานต่ำ มีท่อและสายไฟพาดผ่านอย่างเป็ระเบียบ คราบเืเก่าติดพื้นเป็หย่อม ๆ สีเข้มแห้งกรัง
นทีส่องไฟไปที่ผนัง
“เหมือนเคยติดอุปกรณ์บางอย่าง”
ภพพยักหน้า
“เหมือนห้องทดลอง”
คิรันไม่ตอบ แต่ความรู้สึกไม่ดีเริ่มแน่นขึ้นในอก
พวกเขาเดินต่อไปจนถึงโถงเล็ก
ด้านหนึ่งเป็ลิฟต์อุตสาหกรรมเก่า ประตูเหล็กปิดสนิท
อีกด้านเป็บันไดคอนกรีตทอดลงไปในความมืด ไฟฉายส่องไม่ถึงปลาย
“มีชั้นล่าง” ภพพูดเบา ๆ
นทีส่องไฟลงไป
“ลึกมาก…ลึกเกินไป”
คิรันยืนนิ่ง
“เรายังไม่ลง อุปกรณ์ไม่พอ”
ภพพยักหน้า
“เสี่ยงเกินไป”
นทีลังเล
“ถ้ามีทางออกอยู่ข้างล่าง—”
“ถ้ามันเป็ทางออก มันไม่ปิดแบบนี้” คิรันตัดบท
“ถอย รายงานผู้กอง”
⸻
ขากลับ ทางเดินเดิมกลับดูอึดอัดกว่าเดิม ไฟฉายเหมือนส่องได้สั้นลง ความมืดรอบตัวแน่นขึ้นทุกก้าว ราวกับพื้นที่กำลังหดตัวเข้าหาพวกเขา
ในจังหวะนั้น—
บึ้ม!
แรงะเิจาก้าะเืลงมาทั้งบังเกอร์ ผนังคอนกรีตสั่นสะท้าน ฝุ่นและเศษปูนร่วงลงมาเป็สาย
“หมอบ!” คิรันะโ
พื้นใต้เท้าสั่นไหว เสียงแตกร้าวดังรอบตัว
“มันเริ่มถล่มแล้ว!” ภพร้อง
นทีก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว เสียงแตกดังชัด
แกรก!
พื้นใต้เท้าเขาทรุดลงกลายเป็หลุมลึก ร่างนทีหล่นลงไปครึ่งตัว มือคว้าขอบคอนกรีตไว้ได้หวุดหวิด ไฟฉายหล่นกลิ้งหายลงไปในความมืด
“ช่วยผม!” นทีะโ เสียงแตกจากความใ
คิรันกับภพพุ่งเข้าไปพร้อมกัน จับแขนเขาแน่น ฝ่ามือเปื้อนเืและฝุ่น
“จับไว้!” คิรันะโ
“อย่าปล่อย!”
ฝุ่นยังร่วงไม่หยุด โครงสร้างครางรับน้ำหนักเหมือนกำลังจะยอมแพ้
“ผมลื่น!” นทีร้อง มือเริ่มสั่น
คิรันกัดฟัน เส้นเืปูดขึ้นตามแขน ภพยันเท้ากับผนัง ใช้ร่างถ่วงแรง
“ดึงขึ้นมา!” ภพะโ
ในวินาทีนั้น แรงดึงรุนแรงจากด้านล่างกระชากสวนขึ้นมา
ไม่ใช่แรงทรุด
ไม่ใช่แรงดูดจากการพัง
แต่มันคือแรงที่มีทิศทาง
“มันดึงผม!” นทีร้อง
“มันไม่ใช่พื้นพัง!”
แรงนั้นกระตุกเป็จังหวะ เหมือนมีบางสิ่งตั้งใจลาก
คิรันออกแรงสุดตัว
“ภพ อย่าปล่อย!”
แรงดึงกระชากอีกครั้ง หนักกว่าเดิม มือของนทีลื่น เืและเหงื่อทำให้การจับแทบไร้ค่า
“พี่…อย่าปล่อยผม—!”
มือหลุด
ร่างนทีถูกกระชากหายลงไปในหลุมมืด
เงียบสนิท
ไม่มีเสียงตก
ไม่มีเสียงร้อง
เหมือนความมืดกลืนทุกอย่างไป
เมื่อคิรันกับภพกลับถึงจุดคุมประตู ทุกสายตาหันมาพร้อมกันราวกับนัดไว้ ความเงียบที่ปกคลุมอยู่ก่อนหน้าแน่นขึ้นทันที
ผู้กองสิงห์มองหน้าคิรันเพียงแวบเดียวก็รู้ คำถามหลุดออกมาทันทีโดยไม่ต้องคิด
“นทีอยู่ไหน”
คิรันนิ่งไปครู่หนึ่ง ลมหายใจยังไม่เข้าจังหวะ เขาเลือกคำพูดช้า ๆ
“พื้นทรุดจากแรงะเิ เขาตกลงไป”
ต้นหน้าซีด มือที่กดแผลแขนอยู่แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“แล้ว…ดึงขึ้นมาไม่ได้เหรอครับ”
ภพพูดทั้งที่เสียงยังสั่น
“ผมกับพี่คิช่วยกันดึงสุดแรงแล้วครับผู้กอง”
แม็กขมวดคิ้ว น้ำเสียงต่ำและระวัง
“สุดแรงนี่แค่ไหน”
คิรันเงยหน้ามองตรงไป
“แรงพอจะดึงคนขึ้นได้ ถ้ามันเป็แค่การถล่ม”
ก้องสวนขึ้นทันที เสียงห้วน
“งั้นมันก็แค่โครงสร้างพัง ยังจะเป็อะไรไปได้อีก”
ภพหันไปหาเขา แววตาเครียด
“ไม่ใช่แบบนั้น มันมีแรงสวนขึ้นมา”
คำพูดนั้นทำให้ความเงียบตกลงอย่างหนักหน่วง เหมือนอากาศในบังเกอร์ถูกดูดออกไปชั่วขณะ
สิงห์ถามช้า ๆ ชัดทุกคำ
“อธิบาย”
คิรันสูดลมหายใจลึกก่อนพูด
“ตอนแรกเหมือนจะดึงขึ้นได้ แต่แล้วมีแรงจากข้างล่างดึงสวน เหมือนมีอะไรจับเขาไว้”
ต้นเริ่มสั่น เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“จับ…แบบไหนครับ”
ภพกลืนน้ำลาย
“ไม่ใช่เครื่อง ไม่ใช่ท่อ มันดึงเป็จังหวะ”
แม็กสบถเบา ๆ ระหว่างฟัน
“ที่นี่มันบังเกอร์นะ ไม่ใช่ถ้ำสัตว์”
คิรันตอบทันทีโดยไม่ละสายตา
“งั้นอธิบายให้ผมฟังหน่อย ว่าทำไมไม่มีเสียงตก ไม่มีเสียงกระแทก”
ก้องอ้าปากเหมือนจะพูด แต่สุดท้ายก็เงียบไป
ต้นถามเสียงแ่
“แล้วเืล่ะครับ”
“มีนิดเดียว” คิรันตอบ
“น้อยเกินไปสำหรับคนที่ตกลงไปลึกขนาดนั้น”
ผู้กองสิงห์หลับตาลงสั้น ๆ ก่อนจะลืมขึ้นมา สีหน้าตึงกว่าเดิม
“พอ เราจะไม่เถียงว่า ‘มัน’ คืออะไร”
ทุกคนเงียบสนิท
“แต่จากที่ได้ยิน” สิงห์พูดต่อ เสียงต่ำหนัก
“นทีมไม่ได้แค่ตกลงไป”
อุณหภูมิในบังเกอร์เหมือนลดลงอีกระดับ แม้ไม่มีลม แต่ทุกคนรู้สึกถึงความเย็นที่ไหลผ่านสันหลัง
แม็กถามเสียงต่ำ
“ผู้กองคิดว่าอะไรอยู่ข้างล่าง”
สิงห์ส่ายหน้า
“ผมไม่รู้”
เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ
“แต่ผมรู้ว่า ที่นี่ไม่ใช่บังเกอร์ธรรมดา”
คิรันเสริม
“ข้างในมีลิฟต์ มีบันไดลงลึก โครงสร้างมันไม่ใช่ที่หลบะเิ”
ก้องขมวดคิ้ว
“หมายความว่ายังไง”
“มันเหมือนสถานที่ทำงาน” คิรันตอบ
“หรือไม่ก็…แล็บ”
คำว่า แล็บ ทำให้ต้นเผลอกำแขนเสื้อแน่นขึ้น สีหน้าแข็งค้าง
สิงห์กวาดตามองลูกน้องทีละคน
“เราจะไม่ทิ้งเขา”
แม็กเงยหน้าขึ้น
“จะให้ใครลงไป”
สิงห์ตัดสินใจทันที
“ทีมสามคน”
เขามองคิรันตรง ๆ
“นาย ภพ และก้อง”
ก้องชะงัก
“ผู้กอง—”
“นี่ไม่ใช่คำขอ” สิงห์พูดเรียบ แต่หนัก
“ถ้ามันดึงคนไปได้ มันก็อาจรอเราอยู่”
ความเงียบถาโถมกลับมาอีกครั้ง หนักกว่าเดิม ราวกับบังเกอร์ทั้งหลังรับรู้ถึงการตัดสินใจนั้น
คิรันพยักหน้า
ในใจเขารู้แล้วว่า
การลงไปครั้งนี้
ไม่ใช่แค่การตามหาเพื่อน
แต่คือการยอมรับว่า
มีบางอย่างอยู่ในบังเกอร์นี้จริง ๆ
