“เห็นทีสิ่งที่สมุดนั่นบันทึกไว้จะถูกต้องหมดทุกอย่าง”
เ่ิูนึกสงสัยมิใช่น้อยเช่นกัน ความจริงแล้วสิ่งที่บันทึกซึ่งเ้าแก่นั่นให้มา เนื้อหาที่บันทึกไว้มีหลายส่วนเหลือเกินที่กระทั่งคณาจารย์าุโผู้เชี่ยวชาญในด้านสมรภูมิหุบเขาปัดป้องยังไม่เคยล่วงรู้ ทว่าตอนนี้ทุกอย่างก็ได้รับการยืนยันแล้ว คุณค่าของบันทึกเล่มนี้ต้องห่างไกลจากที่เขาคิดไว้ตอนแรกแน่
หลังเก็บรวบรวมเือสูรอัคนีเรียบร้อยแล้ว เ่ิูก็ล้มกายลงนั่งขัดสมาธิบนโขดหินั์สีดำ ปรับลมปราณเสียใหม่ กระตุ้นกำลังภายใน ฟื้นฟูอาการาเ็ของร่างกายตน
รอยประทับสีเืบนผิวเนื้อดุจอักขระธรรมชาติอันลึกลับ ขนาดพอๆ กับลูกกบตัวเล็ก เปล่งแสงวับวามตามแนวพลังที่ไหลเวียนราวมีชีวิต เ่ิูสามารถรับรู้ได้ชัดเจนถึงพลังอันรุ่มร้อนของอักขระลูกกบประหลาด เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดเหล่านี้
และเมื่อเ่ิูเริ่มบรรเลงวิชาลมหายใจไร้ชื่อ อักขระลูกกบแดงชาดกลับค่อยๆ ซ่อนตัว หายไปจากผิวเนื้อของเขา ทว่าพลังแห่งเปลวไฟแผดเผายังคงสถิตอยู่ชัดเจนเมื่อเด็กหนุ่มวาดหมัดหรือออกท่าโจมตี
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เ่ิูลุกขึ้น
คิ้วที่ถูกโลหิตอสูรอัคนีเผาไปขึ้นมาใหม่แล้ว และเกศาที่มอดไหม้ก็ยาวจนกว้างกว่าสองนิ้ว เมื่อเข้าอาณาน้ำพุิญญาแล้วก็เท่ากับได้อยู่ลำดับชีพเนื้อฟ้าแล้ว ในสถานการณ์ที่จะต้องกระตุ้นกำลังภายในมอบชีวิตให้กับร่างกายเช่นนี้ การฟื้นฟูจึงเร็วขึ้นมาบ้าง เ่ิูคำนวณโดยคร่าวว่าอีกสักสิบกว่าวัน ผมก็คงกลับมายาวเท่าเดิมแล้ว
“สถานการณ์บนถนนหุบเขา ทั้งสามเส้นทางจะเป็อย่างไรบ้างนะ?”
เ่ิูคิดสั่งการในใจ สังเกตการณ์ทุกอย่างผ่านผู้พิทักษ์ทะลุปรุโปร่ง
ครู่ต่อมา เขาก็กระโจนออกไปดั่งสายฟ้าแลบ ออกจากหุบเขามืดมิด โลดโผนโจนทะยานสู่ถนนสายอุดร
ในหุบเขามืดมิดนั้น ศพใหญ่ั์ของอสูรอัคนีอันตรธานหาย กลายเป็โขดหินั์ก้อนแล้วก้อนเล่า ตามกฎอักขระของสมรภูมิ ต่อจากนี้ไม่สู้นาน ที่แห่งนี้จะมีอสูรอัคนีบังเกิดขึ้นใหม่ เป็เ้าถิ่นอาศัย ณ ที่แห่งนี้ ทว่าสำหรับเ่ิูแล้ว ที่แห่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป
...
...
สำนักกวางขาว
ใจกลางลานแสดงยุทธ์ปีหนึ่ง หน้ากระจกศิลา
เสียงกู่ร้องเป็ระลอกดั่งคลื่น
เทียบกับบรรยากาศเงียบสนิทเปี่ยมเต็มด้วยความสิ้นหวังก่อนหน้านี้แล้ว ที่แห่งนี้กลับกลายเป็เหมือนมหาสมุทรแห่งความเปรมปรีดิ์ สำนักกวางขาวที่แพ้ติดต่อกันถึงสามรอบ หนำซ้ำยังถูกทำลายด้วยวิธีเหยียบซ้ำหลายต่อหลายครั้ง ในรอบที่สี่เดิมทีหวังแค่ความดีใจสักเล็กน้อยก็พอแล้ว ใครจะไปนึกว่าตามเวลาที่ไหลเวียนไป สถานการณ์เปลี่ยนผ่าน เหล่าศิษย์ต่างก็ตื่นเต้นอย่างหาที่สุดมิได้เมื่อค้นพบว่าเหมือนจะมีโอกาสชนะเข้าแล้ว!
บนกระจกศิลามีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ไปหยกๆ
หลินนั่วกับเจิ้งข่ายตายรอบสอง
และนามของสำนักหงส์ฟ้าที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนคือติงหลีโยว ก็สิ้นชีพในสนามรบ
และหลังนามของเ่ิู จำนวนสังหารเพิ่มเป็เจ็ด
นี่ก็หมายความว่า ในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องนั้น เ่ิูได้เพิ่มศักดาตัวเองเป็ดั่งเทพสังหารชี้ขาด เป็บุคคลที่ไร้คู่ต่อสู้ในสมรภูมิ ไม่เพียงฆ่าตัวแทนฝั่งหงส์ฟ้าห้าคนๆ ละครั้งเท่านั้น ยังสังหารหลินนั่วกับเจิ้งข่ายสองรอบติดอีกด้วย
ฆ่าเจ็ดรอบติด!
นี่อาจเป็สิ่งที่แม้แต่ัเียังทำไม่ได้เลยกระมัง
แม้จะมองไม่เห็นว่าในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทว่าพอนึกภาพาามารเย่ไปมาดั่งสายลมโหยหวนดุจฟ้าแลบ สิบก้าวฆ่าหนึ่งศพ แผ่เพลงยุทธ์น่าครั่นคร้าม งามสง่าไปพันลี้ไร้รอยเท้า ศิษย์กวางขาวทั้งสำนักก็กระปรี้กระเปร่ากันทั้งนั้น เป็อารมณ์ที่ไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้ ราวกับว่าคนที่พิชิตศึกได้น่าตะลึงผู้นี้คือตัวเอง
“รีบดูเร็ว กระจกศิลามีอะไรเปลี่ยนอีกแล้ว...”
“ใช่ไหมล่ะ? อะฮ่าๆ ในที่สุดก็เป็อย่างที่คิด าามารเย่ไม่เคยทำให้พวกเราผิดหวัง ฆ่ามันอีกคนแล้ว...ตู่ชาตายสนิทอีกรอบแล้ว ฮ่าๆๆ ซาบซึ้งเว้ย ซาบซึ้งเหลือเกินข้า!”
“ฆ่าแปดรอบติดใช่ไหม?”
“ข้าไม่สนแล้ว หลังจากนี้ถ้าใครปากดีกล้าต่อว่าาามารเย่ต่อหน้าข้า ข้าจะสู้มันยิบตา” ศิษย์ชั้นสูงคนหนึ่งก็เปี่ยมอารมณ์จนลืมตัว ม้วนแขนเสื้อขึ้นมาแล้วะโก้อง
ศิษย์กวางขาวทั้งสำนักล้วนจ้องกระจกศิลาตาเป็มัน ไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงอื่นรอบด้านโดยสิ้นเชิง
“เอ๋? เซี่ยโหวอู่ตายอีกแล้วหรือเนี่ย...”
“เท่า...เท่ากับว่าใช้โอกาสสามครั้งหมดแล้วสินะ?”
“เฮอะๆ ข้าบอกไว้แล้วใช่ไหม เซี่ยโหวอู่พลังไม่เข้าขั้น ไม่ได้เป็หนึ่งในสิบรายชื่อมาั้แ่แรกแล้วมิใช่หรือ คราวนี้ก็ไม่รู้เพราะอะไร ถึงได้เป็หนึ่งในตัวแทนเข้าสมรภูมิหุบเขาปัดป้องได้ น่าขายหน้าจริงนะ ถ้าข้าเป็มันจะรีบเอาตำแหน่งของข้าให้คนที่เก่งจริงๆ ไปนานแล้ว”
“การเข้าสมรภูมิหุบเขาปัดป้องไม่ใช่เพื่อประลองยุทธ์เท่านั้น ในนั้นยังมีโอกาสพิเศษหาได้ยากมากมาย เก็บเกี่ยวหญ้าวิเศษยาเทวดา แล้วยังรับพลังแต่ละอย่างที่จักรพรรดิอักขระลัวซู่ทรงประทานไว้อีก เป็โอกาสทองครั้งสำคัญ เซี่ยโหวอู่จ่ายไปมากมายเพื่อจะเข้าไปที่นั่น...”
หมู่ชนที่รุกเร้าด้วยอารมณ์ตีความไปต่างๆ นานาจากความเปลี่ยนแปลงบนกระจกศิลา
มีคนกลายเป็วีรชน
และมีคนหลายเป็หมาหัวเน่า
การประลองที่ชัดเจนสดใหม่ขนาดนี้ ยิ่งเป็เครื่องตอกย้ำชัยชนะของผู้ชนะและความปราชัยของผู้แพ้
“ดูเร็ว เปลี่ยนอีกแล้วโว้ย...ฮ่าๆ ติงหลีโยวตายมันอีกรอบ...คราวนี้มัน เอ๊ะ ยายตัวเล็ก่เี่ิฆ่าได้รอบหนึ่งแล้วหรือ เื่อะไรกันเนี่ย? หรือเ้าติงหลีโยวจะพลังขาดแคลนจริงๆ วะ?”
“่เี่ิสังหารไปรอบหนึ่งแล้ว เท่ากับว่าสำนักกวางเขาเรามีนักเรียนที่ฆ่าได้สามคนแล้ว”
“ฮ่าๆๆ เยี่ยมยอดเลย ข้าคิดว่าศึกคราวนี้ พวกเราชนะได้แน่”
“เ้าเด็กนี่รีบหุบปากเงียบเดี๋ยวนี้ เราต้องรักษามาดเราไว้ อย่าปากเสียเด็ดขาด...”
เหล่านักเรียนแห่งสำนักกวางขาวทั้งตื่นเต้นทั้งสงบใจไม่ลง หากศึกรอบนี้เหมือนสามรอบก่อนหน้าเป๊ะแล้วละก็ แค่แรกเริ่มก็มีทีท่าถูกกดทับจนแทบกลิ้งหลุน หากเป็เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางคาดหวังเป็แน่ ทว่าในเมื่อมีความหวังอยู่ตรงหน้า พวกเขาก็เริ่มกังวลใจบ้างแล้ว ขอเถอะอย่าให้มีอุบัติการณ์ไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นเลย
...
ในสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง
ถนนสายอุดร
“ขอบคุณพี่ชิงหยู...” เด็กตัวน้อย่เี่ิะโอย่างตื้นตัน
ด้วยความช่วยเหลือของเ่ิู นางจึงได้สถิติสังหารมาครั้งหนึ่ง ได้รางวัลของสมรภูมิมาอีกด้วย
ศพอักขระของติงหลีโยวฟุบอยู่ไกลออกไปสองสามเมตร
่เี่ิเข้าคู่กับเ่ิูจึงจู่โจมติงหลีโยว
ศิษย์หงส์ฟ้าผู้นี้เป็พวกซุ่มโจมตีและฆ่าอยู่ตามเส้นทางวรยุทธ์ ก่อนหน้านี้เอาแต่หลบซ่อนไม่ปรากฏกายบนถนนทั้งสามสาย แต่กลับแอบซ่อนอยู่ในที่ลึกลับ ลงมือสังหาร ศิลปะการฆ่าของคนๆ นี้แหลมคมยิ่งนัก เมื่อหลบร่องรอยสิ้นแล้ว รอเขาแวบมาที่ข้างกายตน ก็จักได้รู้ซึ้งถึงความตายที่เยื้องกรายมาหา
เสียดายที่ผู้พิทักษ์ทะลุปรุโปร่งของเ่ิูกลับพบร่องรอยของเขาเสีย
และก็ติงหลีโยวก็ถูกฆ่าไปครั้งหนึ่งอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจแม้แต่น้อย
คราวนั้นที่เขาถูกสังหาร เป็เพราะคิดลอบฆ่าเ่ิูนั่นเอง ความจริงแล้วนั่นนับเป็ครั้งแรกที่เ่ิูาเ็สาหัสนับั้แ่เข้าสมรภูมินี้มา ทว่าเมื่อเอ่ยถึงพลังในการสู้ศึกตัวต่อตัว ติงหลีโยวกลับห่างชั้นจากฉินอู๋ซวงไม่เท่าไร สุดท้ายก็ตายอย่างชอกช้ำด้วยการโจมตีต่อเนื่องของกระบวนยุทธ์เทพราชันเกราะทอง
จนถึง ณ บัดนี้ ทุกคนก็อยู่ในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องนี้มาสองวันเต็มๆ
ตัวแทนทั้งห้าของสำนักหงส์ฟ้า หลินนั่ว ตู่ชา เจิ้งข่ายและติงหลีโยวสี่คนล้วนถูกฆ่าไปสองรอบแล้ว ยังมีโอกาสฟื้นคืนชีพใหม่เป็ครั้งสุดท้าย มีเพียงสวี่เกอที่พลังแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่ยังมีโอกาสคืนชีพอีกสองครั้ง ทว่าเ่ิูกลับไม่คิดให้โอกาสต่อสู้ตาต่อตากับเขา ใช้ประโยชน์จากผู้พิทักษ์ทะลุปรุโปร่งรายงานตำแหน่งและทิศทางที่ทุกคนเคลื่อนไหวไปอย่างต่อเนื่อง โจมตีติดต่อกัน สถานการณ์มีแต่จะไม่เอื้ออำนวยให้ฝั่งหงส์ฟ้าขึ้นทุกทีๆ
สมรภูมิบนถนนสายอุดร
“ทำตามที่ข้ากำชับพวกเ้าไว้ต่อไปเสีย กำกับแนวการรบ ปกป้องการตั้งรับ”
เ่ิูทิ้งท้ายประโยคเดียวก็เข้าไปยังพงไพรไพศาลอีกครั้ง
เพราะการปรากฏตัวของผู้พิทักษ์ทะลุปรุโปร่งแท้ๆ สถานการณ์จึงง่ายแก่การทำนาย หากดูตามแนวโน้มเช่นนี้ต่อไป อย่างมากก็หนึ่งวันนี้เท่านั้น เ่ิูต้องฆ่าเหล่าอัจฉริยะจากหงส์ฟ้าทุกคนสามครั้งได้แน่ รอพวกฟ้าประทานหยิ่งยโสใจสูงนี่ถูกส่งออกนอกสนามอย่างเด็ดขาดก่อนเถิด ไม่จำเป็ต้องทำลายกองบัญชาการปีศาจ สำนักกวางขาวก็ได้ชัยอยู่ดี
ทว่าเ่ิูไม่อยากจบศึกเร็วๆ เช่นนี้
เพราะเขายังอยากหาโอกาสทองแสนสำคัญอื่นๆ อีกสองในสมรภูมิแห่งนี้ต่อไป
เ่ิูชัดเจนยิ่งนักว่าโอกาสที่ได้เข้ามา ณ สถานที่แห่งนี้ ต่อให้อีกนานแสนนานก็ไม่อาจมีอีก การจะจุดประกายสมรภูมิหุบเขาปัดป้องนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้สองสำนักจากสิบยอดสำนักถึงจักสำเร็จ สำหรับศึกเกียรติยศสิบสำนักในปีหน้านี้ สำนักกวางขาวไม่มีทางจุดประกายสมรภูมิได้เพียงลำพังอยู่แล้ว
ตัวเขาต้องใช้โอกาสล้ำค่าครั้งนี้ให้ดี หาสิ่งที่สมุดบันทึกจดไว้มาให้ครบ
เมื่อลาจากถนนสายอุดรมาแล้ว เด็กหนุ่มก็กระตุ้นกำลังภายในโลดโผนสู่ทิศประจิม
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
เขามาถึงขุนเขาแห่งที่สามในสิบแห่งต้องห้าม
‘หุบเขาคนั์’
ตามที่สมุดบันทึกไว้ คนั์นั้นมีพลังทัดเทียมกับอสูรอัคนี กำลังสู้ศึกแกร่งกร้าวและเกรียงไกร รูปกายภายนอกเป็เหมือนั์หิน เป็อสูรที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ อาศัยอยู่ในหุบเขามาเนิ่นนานแล้ว ดูดซับพลังปราณใต้หล้าอย่างไร้ขีดจำกัดวันและเวลา โลหิตสะอาดบริสุทธิ์กลายเป็พลังลึกล้ำเป็เอกในสมรภูมิแห่งนี้
เืของคนั์เพียงจิบลงไปอึกเดียวจะสามารถฟื้นฟูพลังที่เสียไปทั้งหมดของจอมยุทธ์ขั้นอาณาน้ำพุิญญากลับคืนมา เป็ส่วนผสมวิเศษที่หายากพอๆ กับโลหิตอสูรอัคนี สำหรับเ่ิูเ้ากรรมแล้ว สำคัญเป็ยิ่งยวด เป็เครื่องยืนยันให้เขาใช้สี่กระบวนยุทธ์เทพราชันเกราะทองโดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสียพลังจนหมดคลัง
เมื่อปรับตัวเองจนอยู่ในสภาพพร้อมที่สุดแล้ว เ่ิูก็ก้าวยาวๆ เข้าหุบเขาไป
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
เ่ิูในสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่นเดินออกมาจากขุนเขา
“เห็นทีคราวหลังต้องพกเสื้อผ้ามาเสียบ้าง ไม่งั้นหลังทำเื่เสร็จสิ้นต้องล่อนจ้อนแน่...” เ่ิูรวบรวมเืคนั์ที่เพิ่งเก็บได้มารักษาไว้อย่างระมัดระวัง
โลหิตอสูรอัคนีและโลหิตคนั์สองขวดนี้สามารถนำออกจากสมรภูมิหุบเขาปัดป้องได้ เป็ทรัพยากรการยุทธ์ที่สำคัญ
เ่ิูในตอนนี้ ภายนอกดูเหี้ยมเกรียม แต่พลังรอบล้อมรอบกายกลับแกร่งกล้าและเกรียงไกร ตาทั้งสองกระปรี้กระเปร่า พลังเพิ่มไม่มีตกหล่น กำลังภายในดุจมหานทีฉางเจียง กลิ้งกลอกไปมาอยู่ในร่าง โลกตันเถียนนั้น เมล็ดอัคคีเมล็ดที่สามได้ถูกปลูกลงแล้ว รอเพียงโอกาสเหมาะสม จุดไฟให้เมล็ดพันธุ์ บุกเบิกน้ำพุตาที่สาม
ความเร็วในการเพิ่มพลังระดับนี้ ทำให้าามารเย่พอใจยิ่งนัก
แผนการแรกเริ่มของเขาคือต้องต้องใช้รางวัลและกฎระเบียบของสมรภูมิหุบเขาปัดป้องทลายกำแพงอาณาน้ำพุิญญาขั้นสามให้จงได้ พัฒนาสู่อีกขั้น พอมาดูตอนนี้แล้ว แผนการนี้เท่ากับสำเร็จไปครึ่งทางแล้ว
“ตอนนี้เหลือแค่โอกาสทองครั้งสุดท้ายแล้ว เป็การเสี่ยงที่อันตรายที่สุด แต่อันตรายกับผลตอบแทนนั้นคุ้มกัน หากเสี่ยงสำเร็จ ก็รอออกจากสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง ปีสองสำนักกวางขาว น่ากลัวว่าจะไม่มีใครต่อกรกับข้าได้ ต้องเลื่อนชั้นขึ้นปีสามได้เป็แน่!”
เ่ิูเชื่อมั่นอยู่เต็มอก
...
...
กองบัญชาการทหารปีศาจ
หลินนั่ว เจิ้งข่าย ตู่ชาและติงหลีโยวยืนอยู่บนแท่นคืนชีพ ทั้งสี่คนมองตากันไปมา ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อนดี
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าจะมาเจอกับสัตว์ประหลาดพรรค์นั้น” หลินนั่วก้มหน้าถอนหายใจ ในใจลึกๆ รู้สึกไร้เรี่ยวแรงไม่น้อย
เขากับเจิ้งข่ายปะกับเ่ิูจนถูกฆ่าสองรอบติด หากเอ่ยว่ารอบแรกยังมีภาษีพอจะชนะได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นรอบสองก็เป็การปะทะต่อหน้าที่แพ้ยับเยินที่สุด ขนาดทั้งสองคนร่วมแรงกันก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเ่ิูเลยแม้แต่น้อย ยังมีผลให้ความเชื่อมั่นในตัวเองของทั้งสองพังทลายโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะหลินนั่วหรือเจิ้งข่าย ล้วนแต่เชื่อกันร้อยทั้งร้อยว่าหากเกิดดวงซวยต้องเจอกับสัตว์ประหลาดนั่นอีก ก็ยังไม่ใช่คู่มือกันอยู่ดี
“สำนักกวางขาวมียอดฝีมือขนาดนี้อยู่ั้แ่เมื่อไรกัน?”
ติงหลีโยวเองก็สีหน้ามัวหมอง
เขาลอบสังหารสองรอบ ล้วนถูกตอกกลับมาหน้าหงายทั้งสองรอบ โดยเฉพาะรอบหลัง ที่ถูกหยอกล้อเป็ของเล่น ถึงขั้นทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นได้สถิติฆ่าตัวเองไปเสียได้ เป็ความอัปยศเกินจะหาอะไรมาเปรียบ ทว่ากลับไม่มีสิทธิ์จะไปคัดค้าน สำหรับนักฆ่าแล้วความมั่นใจคือเขี้ยวเล็บที่สำคัญที่สุด ทว่าติงหลีโยวในยามนี้เพียงนึกภาพร่างนั้นในหัวก็พลันเกิดความรู้สึกถล่มทลาย ด้วยรู้ตนว่าไม่อาจฆ่าเขาได้อย่างแน่นอน
“ต่อจากนี้เอาไงต่อเล่า?” ตู่ชาปานแดงหน้าสั่นเล็กน้อย “สวี่เกอก็ติดต่อไม่ได้เลย แล้วจากอคติที่เ้านั่นมีต่อพวกเรา มีหวังไม่ยอมร่วมมือแน่ พวกเราสี่คน ตัวต่อตัวไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้เ้าคนนั้น สองต่อหนึ่งก็โอกาสแพ้มากกว่าชนะ มีแต่จะต้องโอบล้อมฆ่าไม่สามก็สี่เท่านั้นถึงจะมีโอกาส...”
“ทำอย่างนั้นก็มาอย่างเทพ ตายอย่างหมาน่ะสิ แค่คิดจะตะลุยเสียหน่อยก็ถูกเ้านั่นจับจุดเผยตัวพวกเราได้หมด คิดจะซุ่มโจมตีมันยากเกินเถอะ!” หลินนั่วยิ้มขื่น
ตู่ชานิ่งเงียบ ที่พูดมาไม่มีผิดเลยสักนิด
ทั้งสี่หน่อเกิดความงงงวยนักอย่างไม่อาจห้ามได้
พวกเขาทั้งสี่เป็บุคคลมีชื่อของปีหนึ่งสำนักหงส์ฟ้า แต่ดันมาเผชิญปัญหายากเย็นในสำนักกวางขาวเล็กๆ แห่งนี้เสียได้ เื่พรรค์นี้หากแพร่ในสำนักหงส์ฟ้าเข้าล่ะก็งานงอก ไม่เพียงจะถูกคนนับไม่ถ้วนขำใส่ ยังจะถูกตรึงอยู่บนกระดานแห่งความอัปยศอีกต่างหาก
“อย่างไรก็ต้องลองล่ะ ข้าคิดว่าเ้านั่นใส่ใจศิษย์หญิงกวางขาวสองคนที่ถนนทิศอุดรนั่นมากที่สุด พวกเราสี่คนจู่โจมถนนทิศอุดรทีเดียวพร้อมกัน ล่อให้เขาออกมา ตัดสินแพ้ชนะให้รู้กันไปเลย” ตู่ชาผุดลุกขึ้นอย่างรีบลน ใบหน้าอาบเต็มด้วยจิตสังหาร
อีกสามคนนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า
พวกเขามีความรู้สึกน่าขำและสิ้นหวังคล้ายคนป่วยที่วิ่งโร่หาหมอต่อเมื่อใกล้ตาย