เหลียนเซวียนเก็บรอยยิ้ม มองนางด้วยแววตาจริงจัง
มองจนเซวียเสี่ยวหรั่นรับมือไม่ถูก
"เสี่ยวหรั่น ยังจำคำที่ข้าเคยบอกได้หรือไม่ บุปผาเบ่งบาน เมื่อถึงการอันควรล้วนต้องตัด มาตรว่ารอมาลีโรยมิเร่งรัด จะหาตัดจากกิ่งใดล้วนไม่มี ตอนนั้นข้าถามเ้าว่ายินดีเป็ผู้เด็ดบุปผาหรือไม่ เ้ายังไม่เคยให้คำตอบข้าเลย"
ถ้อยคำลึกซึ้งของเขากระจ่างชัดยิ่งบนยอดหอสูง
เซวียเสี่ยวหรั่นเม้มริมฝีปากที่ถูกจูบจนบวมเจ่อเล็กน้อย ก้มหน้าลงด้วยจิตใต้สำนึก
"อย่าหลบ เสี่ยวหรั่น การหลบเลี่ยงหาใช่หนทางแก้ปัญหา" เขาเชยคางของนางขึ้นเบาๆ
ขอบตาของเซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มแดง
เหลียนเซวียนตกตะลึงไปสักพัก มือใหญ่ลูบไปบนพวงแก้มของนาง "เป็อะไร"
คุยกันอยู่ดีๆ ก็ขอบตาแดงเสียแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นได้ยินคำกล่าวของเขาก็เม้มริมฝีปาก น้ำตาร่วงผล็อยลงมา
ทำไมเขาต้องบีบบังคับเธอด้วย? เธอรู้อยู่แล้วว่ามิอาจหลบเลี่ยงปัญหาได้ตลอดไป แต่ถ้าไม่หลบแล้วจะทำอย่างไรได้อีกล่ะ?
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอแก้กันได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?
เขาชอบเธอ เธอรู้
เธอมีใจให้เขา เธอก็รู้
ปัญหาก็คือ เขาและเธอจะได้รับอนุญาตให้อยู่ร่วมกันหรือเปล่า มาตรว่าอนุญาต เธอก็ไม่้าเป็เพียงส่วนหนึ่งในเรือนหลังของเขา หรือแม้ว่าเขายินดีที่จะดื่มจอกเดียวดับกระหาย [1] แต่คนในวังผู้นั้นจะอนุญาตหรือ?
ใช่ว่าเซวียเสี่ยวหรั่นไม่เชื่อว่าเขาสามารถจัดการทุกอย่างแทนเธอได้ เพียงแต่เธอไม่มีความมั่นใจในตนเองขนาดนั้น
แท้จริงแล้วเธอลังเลใจอย่างมาก ดังนั้นจึงเลือกที่จะหลบเลี่ยง
เขาบังคับให้จิตใจเช่นนี้ ทำให้เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
น้ำตาร่วงเผาะลงมาราวกับทำนบแตก
"อย่าร้อง อย่าร้อง" พอเห็นดวงตาที่มักฉายแววยิ้มอยู่เสมอหลั่งน้ำตาพรั่งพรู หัวใจของเหลียนเซวียนก็เหมือนถูกบีบรัด รีบกอดนางไว้ในอ้อมอก
ยามประสบความยากลำบากในป่า นางไม่เคยร้องไห้แบบนี้ วันนี้กลับร้องจนเหมือนเด็กไร้ที่พึ่ง เหลียนเซวียนนึกเสียใจภายหลัง เขาไม่น่าบีบบังคับนางเกินไปเลย
แต่บางเื่ก็ควรถามให้ชัดเจน หากปล่อยให้ค้างคา เื่ในภายหน้าของพวกเขาสองคนยิ่งไม่อาจเป็จริง เขาลูบหลังนางเบาๆ เม้มริมฝีปากแน่น
เซวียเสี่ยวหรั่นน้ำตาไหลพรากอยู่ครู่ใหญ่ ร้องจนจมูกตันหายใจไม่ออก ในที่สุดก็หยุดร้องไห้
ไม่ได้ ขืนร้องไห้ต่อไป เกิดน้ำมูกไหลย้อยต่อหน้าผู้อื่น ได้ขายหน้ากันพอดี
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาก่อน ถึงค่อยเช็ดน้ำมูก
หลังจากนั้นก็เก็บผ้าเช็ดหน้าใส่ลงไปในกระเป๋าสะพายใบเล็ก
ขณะที่เก็บเข้าไปก็รู้สึกว่าตนเองโชคดีที่สะพายกระเป๋ามาด้วย มิเช่นนั้นก็หากใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำมูกก็คงน่าขายหน้า
เสียงถอนหายใจดังมาจากบนศีรษะ เซวียเสี่ยวหรั่นหัวใจสั่นสะท้าน รู้สึกปวดแปลบอยู่ลึกๆ
"หากเ้าไม่อยากตอบก็ช่างเถอะ"
น้ำเสียงแ่เบาแฝงความผิดหวังอย่างล้ำลึก
เซวียเสี่ยวหรั่นอดใจไม่ได้เงยหน้าขึ้น ดวงหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคยดวงนั้นฉายแววผิดหวัง ดวงตาสีนิลเข้มยิ่งหม่นลงกว่าเดิมหลายส่วน
ส่งผลให้ดวงหน้าของเขายิ่งดูหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
เซวียเสี่ยวหรั่นพลันใจสั่น "ใช่ว่าข้าไม่อยากตอบ"
เสียงของนางสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด
เหลียนเซวียนมองนางด้วยแววตาสงบนิ่งและอ่อนโยน คล้ายเป็กำลังใจให้นางพูดต่อ
"ข้าไม่รู้ควรตอบอย่างไร"
เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจความหมายของเธอหรือเปล่า
"อืม งั้นเ้าลองพูดออกมา เ้ากังวลสิ่งใด?" เหลียนเซวียนกุมมือนาง ดึงมาที่ริมฝีปากแล้วจุมพิตเบาๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นหัวใจเต้นแรง อยากชักมือกลับ แต่ไหนเลยจะสามารถรั้งกลับมาได้
"ด้วยศักดิ์ฐานะของท่าน ต่อไปต้องแต่งสตรีเข้าเรือนหลังอีกมากแค่ไหน" เธอถามข้อกังขาที่ใส่ใจที่สุด
เหลียนเซวียนอึ้งเล็กน้อย ต่อมาถึงเข้าใจ ที่แท้นางวิตกเื่นี้?
"เสี่ยวหรั่น ข้าจะเล่าสภาพแวดล้อมที่ข้าเติบโตมาให้ฟัง"
"หืม? เอาสิ" แม้ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนมาเป็หัวข้อนี้ด้วยเหตุผลใด แต่เซวียเสี่ยวหรั่นก็อยากฟังเขาเล่าเื่ของตนเอง
"เมื่อก่อนเสด็จแม่ของข้าเคยเป็โฉมงามอันดับหนึ่งของซีฉี ตอนนี้ก็คือหวงกุ้ยเฟยผู้ได้รับความโปรดปรานเหนือผู้ใดในหกตำหนัก ยี่สิบกว่าปีก่อน เสด็จพ่อรักษาการณ์ชายแดน ลอบเข้าไปไท่หลีเฉิงเมืองหลวงของซีฉี ได้พบกับองค์หญิงหกแห่งซีฉีหรือหวงกุ้ยเฟยในปัจจุบันตอนนั้นนางยังเพิ่งถึงวัยปักปิ่น เพียงพบคราแรกก็หลงใหลในความงามปานเทพธิดาจากแดนสรวง ต่อมาถึงฉวยโอกาสใช้าระหว่างสองแคว้น ยกทัพบุกไปถึงนอกกำแพงเมืองไท่หลีเฉิง
"ฮ่องเต้ซีฉียามนั้นกลัวว่าจะกลายเป็กษัตริย์สิ้นแคว้น จึงขอเจรจาสงบศึก และส่งองค์หญิงหกมาเป็บรรณาการให้เสด็จพ่อแทนการขอขมา หลังจากนั้นแปดเดือนก็คลอดข้าในวัง"
เหลียนเซวียนเอ่ยถึงเื่ราวในอดีต น้ำเสียงสงบนิ่งดังเล่าเื่ราวชีวิตของผู้อื่น
"ทำไมถึงแปดเดือนล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นฟังจนเพลิน แต่กลับจับจุดสำคัญได้
เหลียนเซวียนนิ่งงันก้มลงมองนาง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดต่อ "เพราะคราแรกที่เสด็จพ่อลอบเข้าไปไท่หลีเฉิง ก็ขืนใจองค์หญิงหกั้แ่ตอนนั้น"
นี่เป็เื่ที่เขาก็เพิ่งจะรู้ไม่นานมานี้ ขณะที่ให้บริวารไปตรวจสอบเื่อันหย่วนโหว ก็พบเื่นี้ในคราเดียวกัน
เซวียเสี่ยวหรั่นขนพองสยองเกล้า เธอเคยได้ยินว่าอู่เซวียนตี้เป็จอมเผด็จการ ฟุ้งเฟ้อสุรุ่ยสุร่าย มักมากในกามราคะ ดนตรีนารีพาชีกีฬาบัตรไม่เคยขาด เพียงแต่คาดไม่ถึงว่ากษัตริย์แห่งแว่นแคว้นเช่นพระองค์จะกระทำต่ำช้าไร้ยางอายเพียงนี้
"ตอนข้ายังเด็ก สุขภาพไม่แข็งแรงมาโดยตลอด สามวันดีสี่วันไข้ ไม่เป็ไข้ลมหนาวก็ตัวร้อน ไม่วิ่งชนก็หกล้ม ตามตัวมีแต่าแอยู่เสมอ เหล่าหมอหลวงเห็นแล้วยังตระหนก"
เหลียนเซวียนเล่าต่อ น้ำเสียงเรียบเสียจนคล้ายราตรีดึกสงัด
"เดี๋ยวชนเดี๋ยวล้มจนกระทั่งโตมาอายุแปดขวบ ปีนั้นอาจารย์เข้าวังมาถวายการรักษาให้เสด็จพ่อ ข้าในตอนนั้นป่วยหนักพอดี หลังจากเขาช่วยชีวิตข้ากลับมาได้ ก็ถามว่าข้ายินดีคารวะเขาเป็อาจารย์และติดตามออกจากวังออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกหรือไม่ ตอนนั้นข้ารับปากทันที หลังจากนั้นติดตามอาจารย์ออกจากวัง ไปยังเขาราชันย์โอสถพร้อมกับศิษย์พี่
เซวียเสี่ยวหรั่นฟังเื่ของเขาจบก็ใอ้าปากค้างอยู่เป็นานสองนาน
หลังจากได้สติกลับมา ก็รู้สึกปวดใจเหมือนถูกกระชาก มือที่ถูกเขากุมไว้พลิกกลับไปกุมมือเขาบ้าง
"เด็กน้อยที่น่าสงสาร" เซวียเสี่ยวหรั่นเอื้อมมือไปโอบไหล่พลางซบศีรษะบนบ่าเขา
มิน่าเหลียนเซวียนถึงเ็าห่างเหินกับผู้อื่นนัก มีพ่อแม่แบบนั้นน่ากลัวจริงๆ
เหลียนเซวียนแนบแก้มของตนเองกับหน้าผากของนาง
"ทั้งหมดนี้ล้วนเป็ความผิดของพวกเขา ถูกผิดดีชั่ว บุญคุณความแค้นของพวกเขาสองคน ไยต้องดึงผู้บริสุทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้อง" เซวียเสี่ยวหรั่นทวงความไม่เป็ธรรมแทนเหลียนเซวียน
"หากหวงกุ้ยเฟยเคียดแค้นอู่เซวียนตี้ถึงเพียงนั้นจริง นางได้รับความโปรดปรานมาหลายปี ย่อมมีโอกาสได้แก้แค้น แต่ก็ไม่ได้ทำ คงรู้ว่าหากอู่เซวียนตี้มีอันเป็ไป นางก็หนีไม่พ้น นางรักชีวิต ไม่ยอมเอาชีวิตของตนเองไปเสี่ยง แต่ในใจยังมีความแค้นเคือง ดังนั้นถึงมาระบายกับท่าน ช่างต่ำช้ายิ่งนัก น่ารังเกียจจริงๆ"
เขาไม่ยอมเรียกสตรีผู้นั้นว่าเสด็จแม่ เซวียเสี่ยวหรั่นเข้าใจความรู้สึก อดไม่ได้ที่จะกุมมือเขาแล้วสั่นเบาๆ
เหลียนเซวียนก้มมองมือน้อยๆ ของนางที่โอบกอดตนเองอยู่ เบื้องลึกดวงตากระเพื่อมไหว
...
[1] มาจากบทกลอน แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย มีความหมายว่า ต่อให้โลกนี้มีผู้คนมากมาย แต่ใจหมายรักมั่นเพียงหนึ่งเดียว
