โรงแรมที่จองไว้สำหรับจัดงานเลี้ยงฉลองอยู่ในระดับพอใช้ได้ ในห้องโถงเต็มไปด้วยผู้คน ดูแล้วธุรกิจของที่นี่น่าจะเฟื่องฟูพอสมควร
พวกเขาได้จองที่ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
เมื่อเหล่าโจวนั่งลงตรงที่นั่งหัวโต๊ะ ทุกคนจึงทยอยนั่งลงตรงที่นั่งของตน
“มาๆ ชนแก้ว!”
หลังจากดื่มไปสองสามแก้ว บรรยากาศก็ค่อยๆ ครึกครื้นขึ้น
ไวน์ไม่ใช่สิ่งที่ดีอะไรนัก แต่มันสามารถทำให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พวกเราค่อนข้างคอแข็งเอาเื่อยู่นา พี่จ้าว ผมได้ยินมาว่าพี่ออกจากกองทัพ อย่างน้อยมันก็เป็แค่เื่จิ๊บจ๊อย วันนี้พี่ต้องเป็คนออกปากแทนเรา ให้พวกเราได้เมาหัวราน้ำกันไปข้าง เริ่มที่ฉันก่อนเลย! มาๆ แก้วนี้สำหรับพี่”
เฉินตงยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดในอึกเดียวด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“นายนี่มันเด็กน้อยจริงๆ อา!”
เหล่าโจวก็เหมือนอ้อยที่เข้าปากช้าง เขาจนดื่มหมดอย่างมีความสุขเช่นกัน
หลังจากดื่มไวน์ไปไม่น้อยและทานอาหารไปจำนวนมาก ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่บางคนเริ่มถกเถียงเื่คดีที่เพิ่งจะปิดไป
“จ้าวอี้ ฉันไม่อยากจะพูดเลยว่าความช่างสังเกตของนายมันเฉียบคมมาก! แม้กระทั่งอดีตเพื่อนร่วมงานของฉันก็มีน้อยคนที่จะเทียบกับนายได้ พวกเรามาดื่มกันเถอะ”
เซี่ยตันตบไหล่ของจ้าวอี้อย่างห้าวหาญแล้วเอ่ยเสียงดัง
“มันเป็ความเคยชินน่ะครับ เมื่อก่อนตอนปฏิบัติภารกิจผมต้องระวังตัวอยู่ตลอด เพราะถ้าไม่ระวังให้ดี คุณจะไม่รู้เลยว่าะุที่จะพรากชีวิตมาจากทางไหน!”
จ้าวอี้เอ่ยอย่างอารมณ์ดี กองทัพได้สอนเขามากมาย และบางเื่ก็หลอมรวมอยู่ในกระดูกของเขาไปแล้ว
“น่าเสียดาย หรงลี่คนนี้น่าสงสารมากเลยทีเดียว ฉันได้อ่านประวัติของเธอแล้ว ในนั้นบอกว่าเธอเกิดในชนบทและจบการศึกษาแค่ชั้นประถามเท่านั้น แล้วก็ได้รับใบรับรองคุณสมบัตินักโภชนาการระดับสูงมาด้วยตัวเอง นึกถึงความพยายามที่เธอทำแล้วก็รู้สึกเสียดายเหลือเกินที่เธอเลือกเดินผิดก้าว!” เหล่าโจวพูดด้วยอารมณ์ ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แน่นอน! ฉันก็คิดว่ามันยากสำหรับทุกคนที่อยู่ที่นี่เหมือนกัน อีกทั้งเธอยังเลี้ยงดูลูกสาวตนเองให้เติบโตจนใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัยได้ มันไม่ง่ายเลยนะนั่น”
เฉินตงกล่าวเพิ่มเติม
“เข้าใจล่ะ นายสนใจลูกสาวเธอใช่ไหมล่ะ? ตอนอยู่ในศาลฉันเห็นทุกอย่างเลยนะ”
เจี่ยจ้าวิพูดพลางขยิบตา
“ฉันไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย ฉันก็แค่ปลอบใจหญิงสาวผู้บอบบางเท่านั้นเอง ฉันผิดเหรอ?”
เฉินตงอธิบายอย่างรีบร้อน ใบหน้าแดงก่ำ ไม่มีใครรู้ว่าเป็ผลจากแอลกอฮอล์หรือเขินอายกันแน่
คนที่นั่งอยู่ในห้องหัวเราะลั่น
เป็่เวลาแห่งความสุข
กริ๊งงงง!
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาผิดเวลา
จ้าวอี้สารภาพผิด “เพื่อนในหน่วยของผมน่ะ ทุกคนครับ ผมขอไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะครับ”
เมื่อเขาพูดจบก็ยืนขึ้นและหาจุดที่เงียบสงบเพื่อรับโทรศัพท์ อย่างแรกคือหน่วยงานที่เขาเคยอยู่ถือเป็ความลับ อย่างที่สองคือในห้องมีเสียงดังรบกวนมากเกินไป เขาได้ยินไม่ถนัด
“ได้ยินแล้ว นายพูดเถอะ...ผลเป็ยังไงบ้าง? เยี่ยม แล้วนายล่ะ? ...อะไรนะ? นายจะบอกว่าถ้านายกินอาหารตามรายการที่ฉันให้นายไปพร้อมกัน ผิวจะมีสีคล้ำอย่างชัดเจนงั้นเหรอ? นายแน่ใจผลลัพธ์หรือเปล่า...เข้าใจแล้ว คราวหน้าฉันจะเลี้ยงเหล้านายเอง”
เมื่อวางสาย ในใจของจ้าวอี้ก็หนักอึ้ง
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ใจของเขาก็เต้นอย่างรุนแรง นี่เป็คดีที่ไม่เป็ธรรม!
ข้อสรุปที่เพื่อนในหน่วยให้ไม่มีทางผิดพลาดแน่ ถ้าอย่างนั้นหรงลี่คงถูกใส่ร้ายหรือไม่เธอก็ปิดบังบางอย่างไว้!
ขณะที่กำลังจะเดินกลับไป เขาเห็นเซี่ยตันเดินมาทางนี้พอดี
“หัวหน้าครับ คุณมาพอดีเลย ผมมีเื่้ารายงานให้ทราบครับ”
ดวงตาของจ้าวอี้เป็ประกาย ถ้าได้รับการสนับสนุนจากเซี่ยตันล่ะก็ แบบนั้นเื่อาจจะง่ายขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว
“รอก่อน เดี๋ยวฉันกลับมาแล้วค่อยพูด”
เซี่ยตันเดินผ่านไปอย่างรีบร้อน ยังดีที่เธอไม่ได้ปล่อยให้จ้าวอี้รอนาน
“พูดมาเถอะ มีอะไรงั้นเหรอ? พวกเราคงอยู่ข้างนอกนานๆ ไม่ได้ พวกเขารอเราสองคนอยู่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะลงโทษพวกเราที่กลับไปช้าด้วยการให้ดื่มไวน์ ฉันจะบอกนายให้นะ เฉินตงเป็เด็กขี้แกล้งจะตาย!”
เซี่ยตันพูดติดตลก แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยของจ้าวอี้แล้ว ท่าทางของเธอก็ค่อยๆ จริงจังขึ้น
“หัวหน้าครับ ผมพบข้อสงสัยใหม่ในคดีล่าสุด”
“โอ้! ข้อสงสัยอะไรเหรอ?”
“ถ้าเป็สูตรที่ใช้ในวันเกิดเหตุอย่างที่หรงลี่ให้มาล่ะก็ อาหารจะเป็พิษและส่งผลให้ใบหน้าของผู้ตายมีสีคล้ำครับ แต่ผู้ตายกลับไม่มีอาการเช่นนี้เกิดขึ้นเลย หรือถ้าให้พูดก็คือ หรงลี่พูดโกหกครับ เธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง เธออาจไม่ใช่ฆาตกร!”
การแสดงออกของจ้าวอี้สง่าผ่าเผย
เขาเป็ทหารนายหนึ่งที่เคยพรากชีวิตผู้คนมามาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็คนที่เมินเฉยต่อชีวิตคน ในทางกลับกัน เขาเคารพทุกชีวิตอย่างมาก
“นายแน่ใจนะ?”
“แน่ใจครับ เพื่อนของผมเป็แพทย์ทหารในกองทัพ เขาทดลองกับเ้าพ่อค้ายาที่ถูกจับกุมได้ แน่นอนว่าวิธีนี้มันไม่ค่อยมีมนุษยธรรมหรอกครับ แต่อย่างไรก็ถือเป็หลักฐานที่เป็รูปธรรมน่ะครับ”
จ้าวอี้พูดอย่างมั่นใจในตัวเพื่อนในหน่วยของตนที่เขาเชื่อใจ เป็เพื่อนกันมายาวนาน
“นายพูดถูก พวกเราหาผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบแล้ว พวกเขาบอกว่าจะต้องเกิดปฏิกิริยาเป็พิษขึ้น แต่ลักษณะเฉพาะกลับไม่ชัดเจน เพราะงั้นพวกเขาเลยไม่สามารถตรวจสอบได้...”
เซี่ยตันหนวดหัวคิ้ว ข้อมูลส่วนนี้เป็ข้อมูลที่เธอปิดบังไว้ มีเพียงเหล่าโจวที่รู้เื่
“งั้นเราจะรออะไรกันอยู่ล่ะครับ? พวกเรารีบกลับไปสืบสวนต่อกันเถอะครับ!”
ท่าทางของจ้าวอี้ดูตื่นเต้น คดียังมีข้อสงสัยอยู่จริงๆ ด้วย
"เดี๋ยวก่อนจ้าวอี้..."
เซี่ยตันร้องเรียกเขา เธอไตร่ตรองคำพูดในใจแล้วจึงพูดต่อ “ข้อสงสัยในคดีนี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว นายเข้าใจไหม?”
จ้าวอี้ชะงัก นึกถึงคำพูดที่คุยกับเหล่าโจวบนรถ ท่าทางของเขาสงบลง “หัวหน้าหมายความว่า ไม่ว่าจะไขคดีได้หรือไม่นั้นที่จริงแล้วไม่สำคัญกับพวกเราเลย สิ่งสำคัญก็คือควบคุมเื่ชั่วร้ายไม่ให้เกิดขึ้นงั้นสินะครับ?”
“ไม่ๆ...”
เซี่ยตันโบกมือ "ไม่ใช่ว่าคดีนี้ไม่สำคัญ และไม่ใช่ว่าความจริงไม่สำคัญด้วย แต่ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว ความจริงของคดีนี้ไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย"
“คุณเจอข้อสงสัยนี้ั้แ่แรก แต่คุณก็ยังเลือกที่จะปิดคดีงั้นเหรอ? คุณทำผิดวินัยนะครับ!”
จ้าวอี้คำรามเสียงต่ำอย่างโกรธเกรี้ยว!
“นายคิดดูสิ คดีนี้หรงลี่ยอมสารภาพว่าเธอเป็ฆ่าเองนะ นั่นคือเธอมีแรงจูงใจในการก่อเหตุอย่างเป็ขั้นเป็ตอน นี่ก็เพียงพอให้ปิดคดีได้แล้ว”
“แต่นี่ไม่ใช่ความจริงนะครับ!”
“ความจริงมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ? นายลองคิดดูสิ ทำไมหรงลี่ถึงยอมสารภาพว่าเธอฆ่าคนล่ะ? เธอปิดบังอะไรไว้? แล้วทำไมเธอถึงต้องปิดบังด้วย? ฆ่าผู้ตายแล้วจะมีประโยชน์อะไรกับเธอ? ไม่มีแม้แต่น้อย! เธอได้รับผลกรรมของเื่นี้แล้ว และฉันก็คิดว่ามันมากพอแล้ว! ความจริงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วล่ะ นายคิดดูดีๆ เถอะ”
คำพูดของเซี่ยตันทำให้จ้าวอี้จมอยู่ในความคิดชั่วขณะ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยกับเซี่ยตัน “คามคิดผมยุ่งเหยิงมาก ผมจะกลับไปก่อนนะครับ รบกวนคุณบอกกับพวกเขาด้วย”
“จ้าวอี้ นาย...โธ่เอ๊ย!”
จ้าวอี้จากไปอย่างรีบร้อน ทำหูทวนลมกับเสียงเรียกของเซี่ยตัน
เขารู้ว่าเซี่ยตันรู้อยู่แก่ใจถึงข้อสงสัยนี้ อย่างน้อยเหล่าโจวต้องรู้ข้อสงสัยนี้ด้วยเช่นกัน แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะปิดคดีอยู่ดี
จ้าวอี้ไม่รู้ว่าทางเลือกของพวกเขานั้นถูกหรือผิด เขาแค่เลือกที่จะกลับก่อน
เซี่ยตันกลับไปที่โต๊ะอาหาร บอกคนอื่นว่าจ้าวอี้มีธุระที่ต้องขอกลับก่อน เธอเอ่ยกับเหล่าโจวคำหนึ่ง เซี่ยตันก็เลือกที่จะกลับก่อนเช่นกัน
ในใจเธอทิ้งเื่จ้าวอี้ไม่ลง กังวลว่าจ้าวอี้จะไม่ยอมเปลี่ยนความคิด
เมื่อเซี่ยตันรีบร้อนไปที่หอพักของจ้าวอี้ ด้านในก็เต็มไปด้วยควันหนาทึบ!
หอพักสะอาดมาก เครื่องนอนวางซ้อนกันอย่างเป็ระเบียบ บนพื้นสะอาดสะอ้าน มีเพียงที่เขี่ยบุหรี่ซึ่งมีก้นบุหรี่ห้าหกมวนวางอยู่ตรงหน้าจ้าวอี้
จ้าวอี้นั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางเรียบเฉย อกผึ่งผาย ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ และเซี่ยตันก็เข้ามาโดยไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว
“จ้าวอี้ ฉันจะเล่าเื่หนึ่งให้นายฟัง”
จ้าวอี้ไม่ได้ตอบกลับ เซี่ยตันจึงพูดต่อ
“มันเป็คดีที่ฉันเคยทำมาก่อน เป็คดีหั่นศพ คดีฆ่าหั่นศพที่โหดร้ายมากๆ ฆาตกรเป็เด็กอายุสิบสี่”
ท่าทางของจ้าวอี้ขยับเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มให้ความสนใจ
“เด็กชายอายุเพียงสิบสี่ปีฆ่าชายวัยกลางคนห้าคนตายในพริบตา อีกทั้งยังนำชิ้นส่วนศพของพวกเขามาต้มจนเดือด แล้วนำพวกมันไปกระจายทิ้งตามที่ต่างๆ ซึ่งทำให้การสืบสวนของพวกเราเกิดความยุ่งยากอย่างมาก นายว่าเด็กนี่สมควรตายไหม”
จ้าวอี้พยักหน้า
จากคำพูดไม่กี่คำ เด็กชายคนนี้ทำผิดมหันต์ โทษปะายิงเป้ายังไม่มากพอที่จะดับความโกรธเกรี้ยวของประชาชนเลย
“แต่นายรู้สถานะของเขาไหม? ท้ายที่สุดแล้วเขาถูกตัดสินโทษจำคุกเพียงสิบห้าปีเท่านั้น”
“ลูกเศรษฐี? ลูกเ้าหน้าที่รัฐ?”
จ้าวอี้อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น ขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้ว ผลลัพธ์เช่นนี้เหมือนจะทำให้คนไม่พอใจสักเท่าไร
“ไม่เลย! เขาเป็แค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งเท่านั้น คนที่เขาฆ่าตายเป็พ่อค้าแก๊งค้ามนุษย์ที่ลักพาตัวเขามา แก๊งค้ามนุษย์แก๊งนี้ลักพาตัวมาเด็กกว่าร้อยคน พวกมันทารุณกรรมเด็กหลายคนจนพิการและใช้ความเห็นอกเห็นใจของคนให้เด็กไปขอทานเพื่อแสวงหากำไร!”
เซี่ยตันพูดด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง จนถึงวันนี้เธอก็ยังไม่สามารถปล่อยวางได้
“นายไม่ได้เห็นว่าตอนแรกเด็กพวกนั้นย่ำแย่แค่ไหน คนที่มีแขนขาสมประกอบมีอยู่ไม่กี่คนเอง เด็กคนนี้เอาชีวิตรอดมาได้หลายปีโดยอาศัยความฉลาดของตน ตามคำให้การของเขา นับั้แ่เขาจำความได้ เขาก็คิดแล้วว่าจะฆ่าคนพวกนี้ยังไงดี”
ได้ยินประโยคดังกล่าว ในใจจ้าวอี้สั่นสะท้านด้วยความกลัว เด็กคนนี้โเี้มาก
ทั้งไตร่ตรองว่าจะฆ่าคนอย่างไร ทั้งประจบประแจงพ่อค้ามนุษย์ ความคิดเช่นนี้ยากจะพบได้
“ตอนที่พวกเราจับกุมเขา เขายิ้มและขอให้เราใส่กุญแจมือ รอยยิ้มนั่น ทุกวันนี้ฉันก็ยังลืมไม่ลง”
“คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลย พ่อค้ามนุษย์พวกนั้นมันสมควรตายอยู่แล้ว แต่วิธีของเขาโเี้เกินไป การจำคุกเขาไม่กี่ปีเพื่อให้เขาได้รับบทเรียนไม่ใช่เื่ไม่ดีเลย”
จ้าวอี้ปลอบใจเซี่ยตัน เขามองออกว่าเื่นี้ส่งผลกับเซี่ยตันอย่างมาก
“ตอนนั้น คดีนี้ยังไม่จบ...”
เซี่ยตันยิ้มขื่น เธอส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “ตอนนั้นเพื่อนร่วมงานของฉันต่างคิดว่าคดีนี้จบลงแบบนี้ แต่ฉันกลับไม่คิดว่าเด็กอายุสิบสี่ปีจะสามารถฆ่าคนวัยกลางคนห้าคนด้วยตัวคนเดียวได้ จากการสืบสวน ฉันพบปัญหาที่คาดไม่ถึงอยู่ด้วย คือมีเด็กหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ มีเด็กอายุประมาณแปดเก้าปีจำนวนสี่คนคอยช่วยเหลือเขา พวกเขาเป็ผู้สมรู้ร่วมคิดหลักในคดีนี้ และพวกเขาก็ถูกตัดสินโทษจำคุกเช่นเดียวกัน”
“นายรู้ไหม? เด็กสองคนที่ถูกตัดสินโทษจำคุกฆ่าตัวตายในสถานพินิจด้วยเหตุผลหลายอย่าง” เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ดวงตาของเซี่ยตัวก็เต็มไปน้ำตา
จ้าวอี้ทำได้เพียงยื่นทิชชูให้เธอและพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ
เขาอดไม่ได้ที่จะถามตัวเอง ถ้าเป็ตัวเขาเอง เขาจะเลือกอย่างไร?
หากมีการตัดสินโทษเฉพาะเด็กโตแล้วปล่อยเด็กคนอื่นไป พวกเขาอาจได้เจอครอบครัวของตน หรือถ้าไม่เจอก็อาจถูกส่งไปที่สถานสงเคราะห์แทน
พ่อค้ามนุษย์บังคับให้พวกเขาต้องฆ่าคน เื่นี้จะโทษพวกเขาได้ได้อย่างไรกัน? เด็กหนุ่มคนหนึ่งชักนำเด็กคนอื่นเพราะ้าต่อต้าน เขาจึงพยายามอย่างสุดความสามารถ
“ตามคำตัดสินของนักวิชาการและนักจิตวิทยานั้น ั้แ่เพื่อนทั้งสองคนของเด็กคนนี้ตาย เด็กคนนี้ก็มีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงสูงมาก หรือที่รู้จักกันว่าเป็โรคบุคลิกภาพผิดปกติชนิดรุนแรง ซึ่งอาจจะเป็มาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่มันไม่เหมือนกับตอนนี้ เขาแทบจะไม่พูดเลยสักคำ ในทุกวันเขามีสีหน้าหม่นหมองและย่ำแย่ นายไม่เห็นแววตาแบบนั้น…มันว่างเปล่า เ็า และเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งที่ทำให้คนหวาดกลัว”
เซี่ยตันกอดแขนของตนเอง เหมือนอยู่ๆ ก็รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา
เวลาผ่านไปนาน เซี่ยตันจึงสงบสติอารมณ์ของตนลงได้
“ดีขึ้นหรือยังครับ? แล้วตอนนี้เด็กคนนี้ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วหรือยัง?”
“ยังหรอก ไม่ใช่ในสองสามปีนี้แน่ ตอนนี้ทางเรือนจำกำลังถกเถียงกันอยู่ตลอดว่าสุดท้ายควรปล่อยตัวเขาออกมาหรือไม่ มันยากที่จะพูดนะว่าควรปล่อยตัวเขาออกมาไหม พวกเขากังวลว่าเขาจะก่อเื่วุ่นวายอะไรหรือเปล่า”
เซี่ยตันมองจ้าวอี้ “สองคดีนี้อาจไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่จากการวิเคราะห์ของฉันแล้ว ผลลัพธ์ในตอนนี้เป็ผลลัพธ์ที่ทุกคนรับได้อย่างไม่ต้องสงสัย”
ในใจของจ้าวอี้สะท้าน เขาไม่แน่ใจในความคิดของตนเอง มันจะดีจริงๆ เหรอที่ทำแบบนี้?
เขาไม่รู้และไม่มีใครให้คำตอบกับเขาได้
“คุณรู้เหรอครับว่าฆาตกรตัวจริงคือใคร?”
จ้าวอี้ถามอย่างอดไม่ได้
“ไม่หรอก ฉันไม่รู้ ฉันแค่เดาเอา นายก็เดาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”