อวิ๋นอี้เป็ผู้วางแผนเส้นทางความร่ำรวยของโรงเตี๊ยมเกาเซิ่ง
เมื่อพิจารณาจากกิจการในปัจจุบัน แผนนี้ค่อนข้างประสบความสำเร็จและนำผลประโยชน์ให้นางอย่างมหาศาล
ก่อนที่นางจะเข้าไปในสำนักซืออี๋ ทั้งสองเคยปรึกษากันไว้แล้ว ว่าจะเปิดสาขาเพิ่ม
อวิ๋นอี้เห็นเหรียญเงินนับไม่ถ้วนในตอนนี้ รู้สึกตื่นเต้นมาก จึงเสนอแผนขึ้นมาอีกครา
นางบอกลู่จงเฉิงถึงความจำเป็ในการเปิดสาขา จากทั้งในเชิงมหภาคและจุลภาค ไปจนถึงด้านอุปสงค์และอุปทาน พูดจนปากแห้ง ตาพร่ามัว เกือบจะพาให้ตนเองสลบไปเสียแล้ว
ผู้ใดจะรู้ว่าตอนสุดท้ายที่ถามความเห็นลู่จงเฉิง "มหาเสนาบดี ท่านคิดอย่างไรเ้าคะ?"
“ข้าต้องเชื่อท่านแน่นอนอยู่แล้ว เื่ที่ท่านยกมา ข้าล้วนเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ" เขามองนางอย่างแน่วแน่ แล้วพูดช้าๆ
"......"
อวิ๋นอี้ตกตะลึง รู้สึกว่าที่นางชักแม่น้ำมาพูดนั้นเปล่าประโยชน์
หากเชื่อนางก็พูดให้เร็วกว่านี้สิ! สิ้นเปลืองความรู้สึกและน้ำลายของนางนัก
แม้จะบ่นในใจเช่นนี้ ทว่าบนใบหน้ากลับนางยิ้มราวดอกไม้บาน "ขอบใจท่านมหาเสนาบดีที่ไว้วางใจข้า ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้แล้ว อีกไม่กี่วันข้าจะไปดูที่ หาที่ทางของร้านไว้ก่อน"
“ดีพ่ะย่ะค่ะ” ลู่จงเฉิงพูด "ข้าจะไปกับท่าน"
อวิ๋นอี้มิคิดกระไร "มหาเสนาบดีมีเวลาหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อพูดถึงเื่ธุรกิจ ลู่จงเฉิงพูดเยอะขึ้นเล็กน้อย ทว่าเมื่อพูดถึงเื่ส่วนตัวกลายเป็แปดกระบอกไม้ไผ่ตีไม่ดัง [1] เสียกระนั้น
อวิ๋นอี้สิ้นหวัง ไม่ขอให้เขาเอ่ยปากพูดกับนางเยอะอีกแล้ว เมื่อเห็นว่าเขาตอบรับ จึงพูดต่อ "เช่นนั้นค่อยไปกัน ่เดือนนี้ข้ายังต้องยุ่งกับเื่อื่น"
ขณะที่พูดนั้นนางมุ่ยปาก เมื่อคิดถึงการแสดงความสามารถ ใบหน้าเล็กๆ ที่น่ารักของนางย่นก็เข้าหากัน ดูหดหู่มาก
ลู่จงเฉิงละสายตาออกมา หางตาตกลงที่นิ้วของเขา มิรู้ว่าด้วยเหตุใด หลังจากที่พบนาง จิตใจของเขาและอารมณ์ดีขึ้นมิน้อย
ตอนที่ได้ยินว่านางถูกไทเฮาส่งไปที่สำนักซืออี๋ เขาหวั่นใจทั้งวันทั้งคืน
เขามิเคยมีประสบการณ์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษสตรีมาก่อน จึงคิดว่าเขาห่วงใยนางเพียงเพราะนางเป็คู่ค้าหุ้นส่วนของเขา
หลังจากที่นางออกมาแล้ว เขาพลันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันด้วยความคิดที่แตกต่าง ทั้งห้องเงียบไปครู่หนึ่ง
เสียงดังที่ชั้นล่างขัดจังหวะความคิดของอวิ๋นอี้ราวกับคลื่นซัดเข้ามา
หลังจากที่นางพูดจริงจังเื่ธุรกิจเสร็จแล้ว พลันคิดถึงบุรุษหนุ่มรูปงามผู้นั้น ความสนใจของนางกลับไปสู่การแข่งขันที่ครื้นเครง
บังเอิญที่เป็รอบสุดท้ายของการแข่งขันพอดี
รอบสุดท้ายเป็การเพิ่มหัวข้อพิเศษ บุรุษหนุ่มรูปงามที่นางให้ความสนใจก่อนหน้านี้จะแข่งขันกับบุรุษในชุดสีน้ำเงินอีกผู้หนึ่ง
บุรุษในชุดสีน้ำเงินอีกผู้หนึ่งหน้าตาไม่เลวเช่นกัน มิได้ดูสงบเสงี่ยมปวกเปียกเหมือนนักเรียนวิชาการทั่วไป ทว่าดูแข็งแกร่งอย่างชายชาตรี
ทว่าอวิ๋นอี้มิได้ชอบแนวนี้ จึงเพียงกวาดสายตาดูและผ่านไป
ใต้เท้าซ่งใช้หัวข้อเหมันตฤดู ให้ทั้งสองแต่งกลอน
บนฉากกั้นตรงกลาง แขวนผลงานอยู่สองชิ้น
อวิ๋นอี้หรี่ตาไปมอง ตัวอักษรทางด้านซ้ายดูฮึกเหิม ทำให้มีบรรยากาศที่ดุร้ายเป็อิสระ อักษรทางด้านขวานั้นละเมียดละไมและละเอียดอ่อน ราวกับบุรุษหนุ่มรูปงามที่เ็า
ที่ชั้นล่างมีการพูดคุยกันอย่างสนุกสนานว่าทั้งสองคนนั้น ผู้ใดจะเหนือกว่าในด้านการแต่งกลอน
อวิ๋นอี้คิด ต้องเป็บุรุษหนุ่มรูปงามที่นางสนใจอยู่แล้วน่ะสิ!
นางมองดูงานทางด้านขวาและพิจารณาให้ละเอียด
อืม...
แม้ว่าจะไม่เข้าใจความหมายสักประโยค ทว่าในเมื่อเป็ผลงานที่เทพบุตรคนใหม่ของนางเขียน ย่อมต้องดีที่สุดอยู่แล้ว
ทว่าในที่สุดกลับเป็บทกลอนที่ดูเกรี้ยวกราดทางด้านซ้ายนั้นชนะไป
"ขยะ!" อวิ๋นอี้พึมพำ "ดูอย่างไรกันนี่! ผลงานที่อยู่ทางด้านขวาดีกว่าชัดๆ!"
"พระชายารู้เื่บทกวีด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?" ลู่จงเฉิงได้ยินเช่นนั้น พลันหันหน้ามาถามนาง
อวิ๋นอี้แอบกลอกตา มิรู้แล้วจะทำไม มิรู้แล้วนางจะแสดงความคิดเห็นมิได้หรืออย่างไร?
ลู่จงเฉิงมิได้รับคำตอบ เขาไม่ดึงดันพูดต่อ บังเอิญกับที่จ่างกุ้ยมาเคาะประตู เข้ามาเชิญเขาออกไปปรึกษา เขาจึงลุกขึ้นพยักหน้านิ่งๆ แล้วออกจากห้องไป
ความครื้นเครงที่ชั้นล่างหายไป ผู้คนมากมายกำลังล้อมบุรุษหนุ่มชุดน้ำเงิน นางมองเห็นได้ชัดเจนจากชั้นบน สิ่งที่คนกลัวที่สุดคือการเปรียบเทียบ เมื่อเป็เช่นนั้นบุรุษผู้หล่อเหลาจึงดูอ้างว้างเป็พิเศษ
อวิ๋นอี้ทนมิไหว นางไม่ดูแล้ว เื่ที่ตั้งใจจะออกมาทำ ได้ทำไปหมดแล้ว นางจึงเตรียมตัวกลับจวน
หลังจากออกมาจากประตูทางข้าง นางเดินไปครึ่งถนนแล้วเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ พลันได้เห็นรถม้า
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนางคือ เบื้องหน้าของนาง มีบุรุษผู้หนึ่งเดินกะเผลกอยู่ เมื่อดูจากด้านหลังและเสื้อผ้าแล้ว เขาดูเหมือนเทพบุตรคนใหม่ในโรงเตี๊ยมผู้นั้นมาก
อวิ๋นอี้หัวใจเต้นแรง ฝีเท้าก้าวเร็วอย่างควบคุมมิได้
ยิ่งนางเข้าใกล้ นางยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
ขาซ้ายของบุรุษหนุ่มเป็ปกติ ทว่าขาขวาของเขาไม่ดี ต้องเกาะกำแพงเดินตลอดทาง เขาเดินช้ามาก เดินได้ประมาณสิบก้าวก็ต้องหยุดพัก
อวิ๋นอี้เดินผ่านเขาไป ชำเลืองมองเขาอย่างระมัดระวัง พลันต้องใ
เป็บุรุษหนุ่มที่โรงเตี๊ยมผู้นั้นจริงๆ ด้วย!
บุรุษหนุ่มสุดหล่อปานนั้นกลับกลายเป็...ชายพิการ!
มิทันที่นางจะระงับความรู้สึกใของนางได้ ก็พลันได้สบตากับบุรุษผู้นั้น
ไม่เหมือนกับสีหน้าที่ดูนุ่มนวลและอ่อนโยนในโรงเตี๊ยม ในเพลานี้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาดูเคร่งขรึม ราวกับน้ำแข็งที่ไม่ละลายในฤดูเหมันต์ แม้แต่สายตาที่จ้องมาที่นางก็ดูน่ากลัว
อวิ๋นอี้ชะงักเล็กน้อยแล้วก้าวถอยหลัง
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเหนือหัว ราวกับควันที่พุ่งเข้าใส่แก้วหูของนาง
นางก้มหน้าลง รู้สึกแย่เล็กน้อย
เสียงฝีเท้าดังก้องอยู่ในหูของนางอีกครา ตามด้วยเสียงการหายใจเบาๆ อวิ๋นอี้เงยหน้าขึ้นมอง บุรุษผู้นั้นกำลังเดินผ่านนางไปข้างหน้าทีละก้าว
“ช้าก่อนเ้าค่ะ!” นางโพล่งออกมา เดินไปหยุดเขาที่เบื้องหน้า “ท่านเป็คนในโรงเตี๊ยมนั่นใช่หรือไม่?”
บุรุษผู้นั้นขมวดคิ้วและมองนางอย่างไร้อารมณ์ “ขอทาง”
“ข้าเห็นพวกท่านแข่งกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ชนะ ทว่าข้าคิดว่าบทกวีที่ท่านเขียนนั้นดีจริงๆ ดีกว่าหลี่ซูซวนนั่นมาก! อักษรของเขาราวกับสุนัขคลาน อ่านมิออก มิรู้ว่าชนะได้อย่างไร! ท่านอย่าได้เสียใจไป คนที่มีความสามารถที่แท้จริงจะถูกค้นพบไม่ช้าก็เร็ว ในความคิดของข้า พวกนักเรียนเน่าๆ พวกนั้นเป็เพียงพวกขี้ประจบประแจง หลี่ซูไป๋แค่ชนะการแข่งขันเล็กๆ พวกเขาก็กรูเข้าห้อมล้อมจะสอพลอ มิสมกับเป็ผู้มีการศึกษาเอาเสียจริง!" อวิ๋นอี้กลัวว่าเขาจะจากไป จึงพูดคำปลอบโยนที่กลั้นเอาไว้นานพูดออกมาเสียหมดในคราเดียว
บุรุษผู้นั้นหยุดจริงๆ สีหน้าของเขาดูซับซ้อน ถามย้ำอีกรอบ "หลี่ซูไป๋?"
"ใช่น่ะสิ!" อวิ๋นอี้กล่าวต่อ "คนที่ชนะนั่นไง"
"ท่านบอกว่าอักษรของเขาเป็อย่างไรนะ?"
"น่าเกลียด!" อวิ๋นอี้พูดสัตย์จริง "บทกลอนยิ่งแย่ มันไม่ยุติธรรมเลยที่เขาจะชนะ"
"เช่นนั้นหรือ?" บุรุษหนุ่มไม่เดินต่อ เขาพิงกำแพง แววตาสีดำของเขาปนไปด้วยความอ่อนโยน “เช่นนั้นท่านมาอยู่ต่อหน้าข้าเพื่อการใด?"
"เพื่อปลอบใจท่าน" อวิ๋นอี้พูด นางมีความกระตือรือร้นที่จะคุยกับหนุ่มรูปงามเสมอ "เพียงความผิดพลาดชั่วคราว มิจำเป็ต้องเอามาใส่ใจ ข้าเชื่อว่า สักวันหนึ่งท่านจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนเ้าค่ะ!"
บุรุษผู้นั้นเลิกคิ้ว โน้มตัวเล็กน้อย ทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น
ใบหน้าของอวิ๋นอี้ร้อนผ่าว เสียงของบุรุษผู้นั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม "ขอบใจสำหรับคำปลอบโยน ทว่ามีบางอย่างที่ท่านอาจจะเข้าใจผิด"
"สิ่งใด?" นางกะพริบตาอย่างสับสน
“คนที่อักษรน่าเกลียดดูมิได้ที่คุณหนูพูด ชื่อหลี่ซูซวน และข้าคือหลี่ซูซวน” เขาขยับริมฝีปาก มีเสียงเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูด “ไปล่ะ”
อวิ๋นอี้ยืนอยู่ตรงนั้นกว่าค่อนวัน กว่าจะมีสติกลับมาได้
บ้าจริง!
นางขายขี้หน้ายกใหญ่!
นานๆ ทีจะปลอบโยนคน ทว่าดันเข้าใจผิดเสียได้!
อวิ๋นอี้เอามือปิดหน้า ในใจอยากจะขูดผนังเสียให้ได้ นางไปที่รถม้า ขึ้นนั่งแล้วทำตัวราวกับแกล้งตาย
ความโชคดีเดียวคือมิมีผู้อื่นอยู่ในซอยนั้น ท่าทีที่โง่เขลาของนางถูกคนที่ชื่อหลี่ซูซวนผู้นั้นเห็นเพียงคนเดียว
เชิงอรรถ
[1] แปดกระบอกไม้ไผ่ตีไม่ดัง 八竿子打不着 หมายถึง ความสัมพันธ์ของคนที่ห่างเหินกัน ไม่สนิท หรือความสัมพันธ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้