เช้าตรู่
ณ ศาลาฉีอวิ๋น
วันนี้แขกมาเร็วเป็พิเศษ
ผู้มาเยือนเป็ชายหนุ่มในชุดดำ เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป ทั้งยังมีรูปร่างกำยำและท่าทางอ่อนโยน ไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้ในทันทีว่าเขามีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง
บางครั้งสาวใช้ตัวน้อยจะจงใจเดินวนเวียนรอบๆ ชายหนุ่มผู้นี้และลอบมองเขาด้วยความเอียงอาย
เมื่อได้ยินมาว่าเขากำลังตามหาปี้เหยียน หญิงสาวเหล่านี้ต่างลอบอิจฉานางในใจ
อวิ๋นจื่อใช้เวลานานกว่าจะตื่นเต็มตา จากนั้นนางก็ถูกหงจินจับแต่งตัวพาออกมาพบแขก
คนที่มาคือเย่เช่อนั่นเอง
ั้แ่เหตุการณ์ครั้งนั้นอวิ๋นจื่อก็ไม่ได้พบเขามาหลายวันแล้ว
ทันทีที่พบหน้ากัน ริมฝีปากของเย่เช่อก็ยกขึ้นเล็กน้อย เขาถามว่า “เมื่อคืนเ้านอนหลับสบายหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อมองตาเขาและกล่าวว่า “ไม่เลย”
เย่เช่อให้หงจินออกไปรอด้านนอกก่อนจะรินชาให้อวิ๋นจื่อด้วยตัวเอง จากนั้นเขาก็มองใบหน้าของนางอย่างจริงจังและถามว่า
“ข้าสงสัยมาตลอดว่าเ้าเป็ใครกันแน่?”
หัวใจของอวิ๋นจื่อวูบไหว นางพยายามแสร้งทำเป็สงบนิ่งก่อนจะถามกลับว่า
“ท่านหมายถึงอะไร?”
เย่เช่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปี้เหยียนไม่ต้องกลัว ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นั้นถึง้าฆ่าเ้า”
อวิ๋นจื่อมีท่าทีเข้าอกเข้าใจ นางกล่าวอย่างเหนียมอายว่า “เ้ารู้จักคนที่มาหาข้าเมื่อคืนนี้หรือ? เขาเป็มือสังหารใช่หรือไม่?”
เย่เช่อไม่ตอบ เขากล่าวด้วยความอ่อนโยนและรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า “อาเจินบอกข้าว่าเ้าตกลงที่จะให้เขาไถ่ตัวเ้าออกไป แต่ข้ายังอยากได้ยินจากปากเ้า”
ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็หญิงสาวที่นุ่มนวลและอ่อนหวาน นางคู่ควรกับการทะนุถนอม เขาไม่อยากซักไซ้นางมากไป
เขาถามแบบนั้นเพียงเพราะมันเป็นิสัยของเขา
เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของหญิงสาว เย่เช่อก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาไม่ควรถามออกไปแบบนั้น
‘แม้แต่ิเจี๋ยกับอาเจินก็ไม่เคยสงสัยในตัวตนของนาง แล้วเหตุใดข้าต้องสงสัยนางด้วย?’
ไม่จำเป็เลย
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่พูดอะไร เย่เช่อก็รู้สึกว่าเขากำลังทำให้นางหวาดกลัว!
ใบหน้าของเขาผุดรอยยิ้มอ่อนโยน “ปี้เหยียน เ้าควรรู้ว่าแท้จริงแล้วข้าไม่ได้สนใจว่าเ้าเป็ใคร”
เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้แขนของหญิงสาว จับมือนาง และจูบมือเรียวของนางอย่างอ่อนโยน
จิตใจของอวิ๋นจื่อสั่นสะท้านและเกิดความงุนงงอย่างช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มชุดดำนั่งลงฝั่งตรงข้ามพร้อมกับจ้องมองนางด้วยดวงตาที่ร้อนแรง
อวิ๋นจื่อเรียกสติของตัวเองกลับมาอีกครั้งพร้อมกับมองไปที่ดวงตาของเขา
เมื่อทั้งคู่สบตากัน ความสงสัยทั้งหมดของเย่เช่อก็หายไปทันที
หญิงสาวหลบตาด้วยความเขินอาย นางรู้สึกอ่อนไหวอย่างมาก
นางกับเขาตอนนี้เป็อะไรกัน?
ความทุกข์ระทมกำลังกัดกินหัวใจของเย่เช่อ เขาได้ยินมาว่าหญิงคนหนึ่งในหอจุ้ยฮวนเสียชีวิต จากนั้นปี้เหยียนก็สั่งให้ตระกูลมู่ฆ่าผู้อยู่เื้ัเหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งเป็หญิงงามอันดับต้นๆ ของหอจุ้ยฮวนชื่อชิงเกอ เมื่อซูเจินบอกเื่นี้กับเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาทุกข์ใจแค่ไหน
ปี้เหยียนควรเป็หญิงสาวจิตใจงดงามไม่ใช่หรือ?
“วันนี้เ้าออกไปข้างนอกกับข้าดีหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อส่ายหน้า “ข้าไม่อยากออกไป คุณชาย อย่างที่ข้าเคยกล่าวไว้ว่าข้าขายเพียงศิลปะไม่ขายเรือนร่าง”
เย่เช่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ ข้าย่อมจำได้ เ้าอย่าโกรธไปเลย”
อวิ๋นจื่อยังคงส่ายหน้า “วันนี้เป็วันที่สามั้แ่จินเหนียงจากไป ข้าไม่อยากออกไปไหนเลยจริงๆ”
เย่เช่อเข้าใจและกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าศพของนางจะถูกฝังโดยคนของทางการ นางมีความสำคัญกับเ้ามาก เหตุใดเ้าไม่ฝังศพให้นางด้วยตนเองล่ะ?”
อวิ๋นจื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ทำเช่นนั้นได้หรือ? ท่านพาข้าไปได้จริงหรือ?”
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็ออกจากหอจุ้ยฮวน
นับั้แ่อวิ๋นจื่อออกมาจากจวนตระกูลมู่ การออกมาข้างนอกเช่นนี้นับเป็เื่ยากมาก นางเคยคิดว่าอยากจะออกมาเที่ยวเล่นสักครั้ง แต่ที่ผ่านมาสภาพจิตใจของนางกลับไม่ปลอดโปร่งนัก แถมอากาศใน่ต้นฤดูใบไม้ผลิก็เริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ
อารมณ์ที่เศร้าหมองของอวิ๋นจื่อค่อยๆ จางหายไป ตอนนี้ในสายตาของนางมองเห็นเพียงสีเขียวของผืนป่าเท่านั้น
หัวใจของนางพอจะผ่อนคลายลงไปได้บ้าง
เย่เช่อพานางหยุดพักราวๆ เจ็ดครั้ง หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงไหล่เขา
เมื่อรถม้าหยุดลง เย่เช่อก็กล่าวว่า “ที่ตั้งของสุสานอยู่ทางทิศเหนือ เราออกเดินกันเถอะ”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและไม่กล่าวอะไร นางเพียงเดินตามเย่เช่อช้าๆ
เนินเขานี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ทิวทัศน์ทั้งหมดเป็ทรายสีเหลืองที่ทอดตัวยาวและมีพืชพรรณอยู่น้อยนิด ในขณะเดียวกันกลับมีหลุมศพของผู้คนมากมายกระจายอยู่ทั่ว
“ที่นี่ที่ไหน?” อวิ๋นจื่อถามอย่างนุ่มนวล
เย่เช่อกล่าวว่า “ูเาเป่ยหมาง มีสุสานมากมายอยู่ที่นี่”
ภายใต้การจัดการของเย่เช่อ อวิ๋นจื่อได้จัดเตรียมสุสานให้จินเหนียงอย่างรวดเร็ว คนเฝ้าสุสานถามอย่างกระตือรือร้นว่าจะจารึกถ้อยคำไว้บนศิลาหน้าหลุมฝังศพหรือไม่
อวิ๋นจื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนำกระดาษและปากกามา นางจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นนางจึงลงมือเขียนถ้อยคำง่ายๆ สองสามคำโดยไม่พูดอะไร
เย่เช่อสั่งให้คนไปเอาธูปและกระดาษเงินมาเผาหน้าหลุมฝังศพ
เย่เช่อกล่าวว่า “เ้าไว้อาลัยได้ แต่อย่าเศร้าโศกนานนัก คนตายไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
เมื่อทั้งสองออกจากสุสาน เย่เช่อเห็นว่าสีหน้าของนางยังคงกังวล เขาจึงกล่าวว่า “ตอนนี้ชานเมืองกำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เหตุใดเ้าไม่ไปเดินเล่นกับข้าล่ะ?”
อวิ๋นจื่อไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่พยักหน้า
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงสถานที่อันงดงามแห่งหนึ่ง
ในลานเล็กๆ ที่เงียบสงบ มีกอไผ่กอหนึ่งเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ เมื่อผลักประตูเข้าไป ดวงตาของอวิ๋นจื่อมองเห็นเพียงทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยสีฟ้าอมม่วง ดอกมู่จิ่น[1]สีม่วงและสีน้ำเงินบานสะพรั่งทั่วสวน
อวิ๋นจื่อถาม “ท่านชอบดอกมู่จิ่นหรือ?”
เย่เช่อส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ดูที่พื้นสิ”
มีทางเดินเล็กๆ ที่ปูด้วยหินสีน้ำเงินในสนาม และสองข้างทางปูด้วยหญ้าปี้จื่อ ด้านหลังมีดอกจื่อเยวี่ยน[2]บานสะพรั่งอยู่เต็มไปหมด
สีม่วงอันสง่างามและเงียบสงบ สีม่วงและสีเขียวที่ปะปนกันอยู่ในลานเล็กๆ แห่งนี้ดูกลมกลืนกันมาก
อวิ๋นจื่อมองไปที่ดอกไม้สีม่วงในสวน จากนั้นก็หันกลับมามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างและกล่าวว่า “คุณชายเย่ชอบสีม่วงสดใสแบบนี้หรือ? แต่ข้าไม่เคยเห็นคุณชายสวมอาภรณ์สีม่วงเลย”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางยังคงสงบ เย่เช่อยิ้มและกล่าวว่า “เ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ชอบสีม่วง? หรือเพียงเพราะข้าไม่สวมเสื้อตัวนอกสีม่วงหรือ?”
ประโยคดังกล่าวมีกลิ่นอายของความหวานอยู่หน่อยๆ
อวิ๋นจื่อจึงหน้าแดงก่ำอย่างช่วยไม่ได้
------------------------
[1] ดอกมู่จิ่น หรือดอกชบาจีน มีกลีบดอกสีม่วงอมชมพูและสีขาว โคนกลีบด้านในดอกจะเป็สีแดง ขอบใบหยัก ลักษณะเป็ไม้พุ่มใหญ่ ดอกชบาจีนจะผลิบานั้แ่เดือนต้นเดือนกรกฎาคมจนถึงปลายเดือนตุลาคม โดยจะเริ่มบานั้แ่เริ่มมีแสงอาทิตย์จนอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็จะหุบ
[2] ดอกจื่อเยวี่ยน หรือดอกแอสเตอร์ ไม้ดอกลักษณะคล้ายดอกเบญจมาศ แต่ดอกมีขนาดเล็กกว่า มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและญี่ปุ่น ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว สีครีม สีเหลือง สีชมพู สีแดง สีม่วง และสีน้ำเงิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้