“ฮ่าๆ ไม่เลวเลย ร่างกายของเ้าแข็งแกร่งมากทีเดียว!”
ไป๋จื่อเยว่กับมู่ขวงตบมือกันพลางหัวเราะออกมา
เกราะพลังป้องกันร่างกายเมื่อครู่ของมู่ขวงมีลักษณะคล้ายคลึงกับเกราะป้องกันของพลังกังชี่มาก แต่ในความเป็จริงแล้วมันต่างกันอยู่ เพราะพลังนี้ของมู่ขวงได้มาจากการฝึกกายา แม้พลังป้องกันของมันจะแข็งแกร่งจนน่าตกตะลึง แต่พลังโจมตีของมันกลับอ่อนมาก ซึ่งต่างจากพลังกังชี่
แม้ว่าวรยุทธ์ของมู่ขวงจะอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นเก้า แต่หากเขาจะหวังพึ่งเพียงพลังป้องกันก็ไม่อาจเอาชนะยอดฝีมือระดับหนิงกังได้
“เ้าเองก็ไม่เลวเหมือนกัน สามารถฝึกกระบี่แสงเหนือจนบรรลุระดับสัมฤทธิ์ได้แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่พี่เฟิงยกย่องเ้าว่าเป็อัจฉริยะวิถีกระบี่ ฝ่ามือตัดภูผาของข้ายังไม่บรรลุถึงระดับสัมฤทธิ์เลยด้วยซ้ำ”
มู่ขวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มันแน่นอนอยู่แล้ว คุณชายผู้นี้กำลังจะกลายเป็เซียนกระบี่ในอนาคต เป็วีรบุรุษที่จะต่อสู้เคียงข้างพี่เฟิงเชียวนะ”
ไป๋จื่อเยว่เก็บกระบี่ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“เอาเถอะ เ้าน่ะทำตัวว่าง่ายเข้าไว้ รีบไปเอาผลึกอสูรออกมาได้แล้ว”
มู่ขวงเตะก้นของไป๋จื่อเยว่และเอ่ยวาจาอย่างหยอกล้อ เขาเดินไปยังร่างของอสูรร้าย ก่อนจะโคจรพลังปราณส่งเข้าไปในร่างของอสูร เืที่อยู่ภายในร่างของมันถูกแผดเผาจนกลายเป็พลังเืหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเด็กหนุ่ม จากนั้นเขาก็เริ่มฝึกฝนร่างกายของตัวเอง
มู่ขวงกัดฟัน ร่ากายของเขาสั่นเทาด้วยความเ็ป แต่เขายังคงฝึกฝนต่อ
ไป๋จื่อเยว่คว้าผลึกอสูรมาจากร่างของมัน เด็กหนุ่มถือผลึกอสูรไว้ในมือข้างหนึ่งและเริ่มดูดซับพลัง เขาพลันกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งเดือน ข้าเกือบจะบรรลุระดับหนิงกังแล้ว”
ไป๋จื่อเยว่ฝึกฝนเคล็ดวิชาจิติญญากลืนเจ็ดดาราซึ่งไม่ใช่เคล็ดวิชาธรรมดา ดังนั้นคุณภาพของพลังกังชี่ที่เขาสามารถกลั่นออกมาได้จึงอยู่ในระดับสูง โดยธาตุพลังที่เด็กหนุ่มกลั่นออกมาก็คือธาตุทองคำ ซึ่งมีพลังโจมตีแข็งแกร่งที่สุด
มู่ขวงยังคงสั่นเทาจากการอดทนต่อความเ็ประหว่างทำการฝึก แต่เขายังคงฝืนพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าการฝึกของพี่เฟิงเป็อย่างไรบ้าง แต่ข้าเดาว่าเขาคงก้าวขึ้นสู่ระดับหนิงกังแล้ว”
“คงจะเป็เช่นนั้น”
ไป๋จื่อเยว่ยื่นฝ่ามือออกมา พลังสีขาวภายในร่างพลันพวยพุ่ง ทว่าคาดไม่ถึงว่าในมวลพลังปราณของเขาจะมีกระแสพลังสีดำสายหนึ่งโผล่ออกมาด้วย
เมื่อมองเห็นกระแสพลังสีดำ ไป๋จื่อเยว่ก็ขมวดคิ้วด้วยความเป็กังวล
หลังจากที่เขารอดตายจากการถูกพิษ กระแสพลังสีดำนี้ก็อยู่ในร่างกายของเขาแล้ว และเหมือนว่าพลังนี้จะมีพิษปะปนอยู่ด้วย ทั้งยังเป็พิษที่มีอานุภาพไม่ธรรมดา แต่มันไม่ได้มีผลอะไรกับเขา
“มารดามันเถอะ ภายในพลังปราณมีพิษอยู่เช่นนี้ แท้จริงแล้วมันดีหรือไม่ดีกันแน่?”
ไป๋จื่อเยว่อับจนหนทาง “ดูเหมือนว่าหลังจากพี่เฟิงออกมาจากการปิดด่านฝึกฝน ข้าคงต้องไปถามความเห็นของพี่เฟิงหน่อยแล้ว”
ภายในห้องฝึกในหอคอยเทียนอวิ่น
พลังฟ้าดินที่กำลังโอบล้อมอยู่โดยรอบหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของมู่เฟิงอย่างต่อเนื่อง จากนั้นร่างกายของเขาก็ทำการกลั่นพลังปราณให้ไหลเวียนเข้าสู่มวลคลื่นพลังลูกหนึ่ง และเวลานี้พลังปราณภายในมวลคลื่นพลังทั้งเก้าลูกของเขาก็เข้มข้นเป็อย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าอีกไม่นานมันจะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นได้แล้ว
ในขณะเดียวกัน หัวใจของมู่เฟิงก็กำลังกลั่นพลังกังชี่โลหิตชูร่าออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ส่วนพลังที่ถูกกลั่นออกมาก็ไหลเวียนไปยังมวลคลื่นพลังลูกหนึ่งในร่างของเขา
เดิมทีมวลคลื่นพลังลูกนี้เป็สีขาวนวล แต่เวลานี้มันได้กลายเป็สีแดงอ่อนๆ แล้ว ทำให้สีของมันแตกต่างจากมวลคลื่นพลังลูกอื่น และดูเหมือนว่าสีของมวลคลื่นพลังลูกนั้นจะเข้มขึ้นทีละน้อยด้วย เมื่อเวลาผ่านไปพลังที่บรรจุอยู่ภายในก็ยิ่งน่าใมากขึ้น จากสีแดงอ่อนเริ่มเปลี่ยนเป็สีแดงเข้ม จนกระทั่งกลายเป็สีแดงโลหิต
เมื่อมันกลายเป็สีแดงโลหิตอย่างสมบูรณ์ พลังกังหยวนสีโลหิตก็หลั่งไหลไปตามเส้นลมปราณภายในร่างอย่างรวดเร็ว เมื่อััได้ถึงสิ่งนี้มู่เฟิงก็ลองปล่อยพลังของมันออกมาทันที
ระดับหนิงกัง ในที่สุดก็สามารถบรรลุได้สำเร็จแล้ว!
มวลคลื่นพลังลูกนั้นของเขาพลันสามารถรองรับพลังปราณเพิ่มขึ้นได้เยอะมาก
มู่เฟิงเปิดดวงตาสีโลหิตขึ้น ฉับพลันนั้นดวงตาของเขาก็มีแสงทอประกายออกมาอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มบางตรงมุมปากของเด็กหนุ่มปรากฏขึ้นทันใด
เขาเหยียดฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเกล็ดและกรงเล็บอันแหลมคมออกมา พลังกังหยวนสีแดงโลหิตพลันถูกควบแน่นขึ้นบนฝ่ามือของเขา โดยอานุภาพของพลังของมันก็แข็งแกร่งและรุนแรงเป็อย่างยิ่ง ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นสามถึงขั้นสี่เขาก็มีความมั่นใจเป็อย่างมาก!
“เยว่เอ๋อร์ ข้าทำสำเร็จแล้ว”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อืม”
ซีเยว่ขานรับเพียงเท่านั้น
มุมปากของมู่เฟิงกระตุก เขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ “เ้าจะชมเชยข้าสักสองประโยคไม่ได้เลยหรือ”
“ไม่เลว เ้ามดตัวน้อยเปลี่ยนเป็มดตัวใหญ่ขึ้นแล้ว”
ซีเยว่กล่าววาจาเชือดเฉือนออกมาอย่างไม่รักษาน้ำใจ
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของมู่เฟิงกระตุก แอ่งน้ำเย็นนี้...ช่างลึกเสียจริง...
เด็กหนุ่มดึงพลังสายเืกลับคืนมา เกล็ดบนิัของเขาก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว ปีกสีโลหิตหดกลับเข้าสู่ร่าง รูปลักษณ์ในร่างมนุษย์กลับคืนมาอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน พลังกังหยวนสีโลหิตในมือของเขาก็จางลงด้วยเช่นกัน และอานุภาพพลังของมันก็กลับคืนสู่ระดับหนิงกังขั้นหนึ่ง
“เฮ้อ...น่าเสียดายที่ร่างมนุษย์ไม่อาจใช้พลังกังชี่โลหิตชูร่าออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”
มู่เฟิงถอนหายใจ หลังจากกลับคืนสู่ร่างมนุษย์แล้ว เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของพลังกังชี่โลหิตชูร่าอ่อนแอลง
“หากเ้าคิดจะหลอมรวมพลังกังชี่ธาตุพิเศษออกมา เ้าจะหลอมเป็ธาตุพลังใด เ้าคิดไว้แล้วหรือยัง?”
ซีเยว่เอ่ยถาม
สำหรับพลังกังชี่ นอกจากห้าธาตุพื้นฐานแล้วยังมีธาตุพิเศษอื่นอีก เช่น ธาตุลม ธาตุสายฟ้า ธาตุน้ำแข็ง ธาตุมืด ธาตุแสงสว่างและธาตุมิติเป็ต้น
มู่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขายังไม่ได้คิดเื่นี้อย่างจริงจัง เด็กหนุ่มจึงถามกลับว่า “เ้าคิดว่าข้าเหมาะกับธาตุใด?”
“อืม ดูจากทักษะวิชาของเ้าแล้ว หากว่าเ้าหลอมรวมพลังกังชี่ธาตุสายฟ้าออกมา มันคงสามารถช่วยดึงศักยภาพของวิชาอัสนีบาตย่ำแปดทิศของเ้าออกมาได้ ดังนั้นธาตุสายฟ้าจึงเป็ตัวเลือกที่ดีสำหรับเ้า หรือจะเป็ธาตุเพลิงก็ได้ เพราะมันจะช่วยให้เ้าสามารถแสดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของวิชาะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยาออกมาได้”
ซีเยว่ครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะเสนอธาตุพลังทั้งสองที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับมู่เฟิง
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็ธาตุสายฟ้าแล้วกัน สายฟ้าเป็ตัวแทนของ์ ฮ่าๆ เดิมทีการฝึกยุทธ์ก็เป็การพลิก์ เป็สายฟ้าพลิก์”
มู่เฟิงหัวเราะออกมา
“ธาตุสายฟ้าเป็ธาตุพลังที่แข็งแกร่งที่สุดธาตุหนึ่งในบรรดาธาตุพลังกังชี่ธาตุพิเศษ แต่พลังกังชี่ธาตุสายฟ้าเป็สิ่งที่พบเห็นได้ยากมาก คงไม่อาจหาเจอได้โดยง่าย”
ซีเยว่กล่าว
“การค้นหานี้ย่อมเป็ปัญหาแน่นอน"
มู่เฟิงเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
“เอาเถอะ อย่าเพิ่งไปสนใจเลย ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็บรรลุระดับหนิงกังได้แล้ว ฮ่าๆ ออกไปกินข้าวมื้อใหญ่กันก่อนเถอะ”
มู่เฟิงส่ายหน้าเลิกคิดมากอีก เขาผุดลุกขึ้นก่อนจะขยับแข้งขยับขาที่กำลังชาหนึบ จากนั้นเขาก็สวมใส่เสื้อคลุมและเดินออกจากห้องฝึก แต่เมื่อเปิดประตูห้องฝึกออกมา เขาก็พบกับข่งเซวียนเอ๋อร์
นี่มันอะไรกัน เหตุใดหญิงสาวถึงมานั่งฝึกฝนอยู่หน้าประตูห้องฝึกของมู่เฟิง แต่ห้องฝึกนี้ก็เป็ห้องที่ข่งเซวียนเอ๋อร์ใช้ประจำ นอกจากมู่เฟิงแล้วก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใช้ห้องนี้อีก
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ข่งเซวียนเอ๋อร์ก็ลืมตาขึ้นทันที
“มู่เฟิง ในที่สุดเ้าก็ออกมาจากการปิดด่านฝึกเสียที”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างไม่พอใจ
“ทำไม คิดถึงข้าหรือ?”
มู่เฟิงกล่าวหยอกล้อ
“เฮอะ ใครจะไปคิดถึงคนหลงตัวเองอย่างเ้ากัน ข้าเพียงเห็นเ้าเข้าไปฝึกฝนในห้องฝึกของเปิ่นเสียวเจี่ยผู้นี้ตั้งหนึ่งเดือน ข้าก็หลงคิดว่าเ้าตายในห้องฝึกไปแล้วเสียอีก”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ทำหน้ามุ่ย
“โถ่ สาวน้อย ถึงอย่างไรเราก็เป็สหายกัน เ้าอย่าได้ต่อว่าข้าเลย เดี๋ยวข้าจะเลี้ยงข้าวเ้าเอง ถือว่าเป็การชดเชยสำหรับการยึดครองห้องฝึกของเ้ามาหนึ่งเดือน”
มู่เฟิงเคาะนิ้วลงบนหัวของข่งเซวียนเอ๋อร์ก่อนจะกล่าวอย่างหยอกล้ออีกครั้ง
“คิกๆ นับว่าเป็ข้อเสนอที่ไม่เลว”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ยิ้มแย้ม ก่อนเดินกอดแขนของมู่เฟิงออกไปข้างนอก
“จริงสิ เ้ารู้หรือไม่ เมื่อสองวันก่อนสำนักศึกษาเป๋ยโต่วซึ่งเป็หนึ่งในสำนักศึกษาของดินแดนเป่ยหยวนได้เดินทางมาแลกเปลี่ยนที่สำนักศึกษาของเรา พวกคนจากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วแต่ละคนบ้าพลังมาก พวกเขาสามารถเอาชนะศิษย์สายในและยอดฝีมือของเราบนแท่นสังเวยโลหิตได้ด้วย”
ข่งเซวียนเอ๋อร์พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงหันมากล่าวเื่นี้กับมู่เฟิง