หวังเยี่ยนคือหวังเจี้ยนหรู?
เ่ิูเกิดคิดเช่นนี้ขึ้นมา
จากนั้นเขาก็รู้สึกหน้ามืดตาลายเพราะยากจะเชื่อการกะเกณฑ์ของตัวเอง
เซียนหญิงผู้มองพสุธาจากเบื้องฟ้า เซียนหญิงที่ใช้จิตกระบี่แหวกนภา ฟันก้อนเมฆทมิฬท่วมฟ้าขาดออกจากกัน คน...คนๆ นั้น คือหัวหน้าหมวดปีหนึ่งของสำนักกวางขาวจริงๆ หรือ?
ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรเลยจริงๆ
หากมิใช่เพราะเห็นต่อหน้าต่อตา ทำให้เขาได้ข้อสรุปอันเด็ดขาดและเป็จริงเช่นนี้แล้ว เขาคาดว่าต่อให้ฝันก็ไม่อาจหาความเหมือนกันในความเกี่ยวข้องระหว่างสองคนนี้ได้เลย
ก่อนหน้านี้แม้เ่ิูจะรู้อยู่บ้างว่าพลังของหวังเยี่ยนนั้นแกร่งมาก แต่ในความคาดหมายด้านบวก พลังของหวังเยี่ยนแม้จะแข็งแกร่งแต่ก็มีขีดจำกัด อย่างมากสุดก็น่าจะอยู่แค่อาณาทะเลระทมขั้นต้นเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าจะแกร่งกล้าถึงขั้นนี้ได้
“ดูท่าแล้วเ้าคงมองออกบ้างแล้วสินะ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เสียเวลาอธิบายอะไรมาก” หวังเจี้ยนหรูระบายยิ้มเล็กน้อยยามมองเ่ิู
เ่ิูกลืนน้ำลาย ปิดกั้นความตระหนกในใจตัวเองแล้วส่ายหน้าแรงๆ เพื่อปลุกตัวเองให้ตื่น เขาถามเจือยิ้มขื่น “เช่นนั้นตอนนี้ข้าควรเรียกท่านว่าหัวหน้าหมวดหวังหรือเซียนกระบี่หวังเจี้ยนหรู?”
“นามเป็เพียงแค่รหัสเท่านั้นเอง” หวังเจี้ยนหรูยิ้ม “สิบปีก่อนหน้าข้านามว่าหวังเจี้ยนหรู สิบปีจากนั้นข้านามว่าหวังเยี่ยน มีอะไรแตกต่างกันด้วยหรือ? อย่างไรข้าก็ยังคงเป็ข้า”
เ่ิูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง เขาจึงถามอีก “แล้ว...ใบหน้าตอนนี้คือหน้าตาที่แท้จริงของท่านหรือ หรือว่าท่านตอนอยู่สำนักกวางขาวถึงเป็ตัวจริง?”
หวังเจี้ยนหรูยิ้มสุขใจนัก “เ้าทายสิ?” ว่าพลางไม่รอให้เ่ิูตอบกลับ นางก็ตอบคำถามตัวเองเบ็ดเสร็จ “แน่นอนว่านี่ต่างหากคือร่างที่แท้จริงของข้า ฮะๆๆๆๆ เ้าคิดว่าสตรีผู้เพียบพร้อมไร้ที่ติพร้อมพลังเลอเลิศเช่นข้า จักเติบใหญ่เป็ขี้เหร่เช่นหวังเยี่ยนได้หรือ?”
พี่สาวใหญ่ ท่านจะหลงตัวเองเกินไปแล้วมั้ง
เ่ิูก่นว่าในใจ
ทว่าตอนนี้เขาเองก็ทายถูก ว่าหวังเยี่ยนน่าจะใช้วิชาฝ่ามือแปรพักตร์เปลี่ยนโฉมหน้าของตัวเอง เพราะพลังนางสูงส่ง ฝีมือเองก็เยี่ยมยุทธ์ ดังนั้นคนอื่นๆ ถึงได้มองไม่ออก
คิดแล้วคิดอีก หากให้เหล่าศิษย์ปีหนึ่งของสำนักกวางขาวมาเห็นว่าหวังเยี่ยนที่พวกเขามองว่าเป็ป้าวัยทองจืดชืดคือเซียนกระบี่หวังเจี้ยนหรูผู้เป็เอก ไม่รู้ว่าจะะเืใจกันขนาดไหน เหล่าศิษย์ที่เคยมีปัญหากับรูปลักษณ์ภายนอกและพวกที่นอนหลับในคาบนาง จะเสียดายจนน้ำตาเล็ดหรือเปล่าหนอ
ความจริงแล้วใจเขายังมีข้อสงสัยอยู่อีกมาก
แต่เ่ิูก็หาได้ถามต่อไปไม่
เพราะหลังจากความตระหนกระลอกโต เ่ิูก็ฟื้นคืนสภาพเดิม
เขารู้ในทันทีว่าต่อหน้าเขานี้มิใช่ป้าวัยทองอีกต่อไป แต่เป็ผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดที่ทั้งนครลู่ิต้องสั่นผวา
ยอดฝีมือขั้นสุดยอดตัวจริง
เพราะเหตุผลบางอย่าง ยอดฝีมือขั้นสุดยอดผู้มีความอ่อนโยนต่อเขาเสมอ แต่ยอดฝีมือย่อมต้องมีความเด็ดเดี่ยวหาญกล้าของยอดฝีมือ ไฉนหวังเจี้ยนหรูถึงต้องฝังแซ่ของตัวเองมาตลอดสิบปีนั้น ย่อมต้องมีเหตุผลของนาง หรืออาจจะพัวพันอยู่กับความลับส่วนตัวที่เขาไม่อาจหยั่งถึงได้หมด...แล้วก็มิใช่เื่ที่เขาสมควรไปลองทำความเข้าใจด้วย
บางครั้ง การรู้อะไรมากเกินไปก็ใช่จะเป็เื่ดี
“เสี่ยวจวินล่ะ?” เ่ิูเปลี่ยนเื่คุย “นางไม่เป็ไรใช่ไหม?”
หวังเจี้ยนหรูมองเ่ิูแล้วจึงตอบ “จะไม่เป็ไรได้อย่างไร? เ้าตัวเล็กกำลังตกที่นั่งลำบากมาก หาไม่แล้ว เ้าคิดว่าทำไมข้าถึงต้องพานางมาซ่อนไว้ที่นี่เล่า การต่อสู้วันนั้นเ้าก็เห็นนี่”
เ่ิูอ้าปากถาม “ยอดฝีมือที่ควบคุมเมฆดำครอบท้องฟ้านั่นมาฆ่านางหรือ? เช่นนั้นสตรีอับแสงที่เขาบอก หรือว่าจะเป็...”
“เสี่ยวจวิน” หวังเจี้ยนหรูน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นมา “สตรีอับแสงแห่งนครอันธการ ในที่สุดก็ได้ปลุกชีพจรในกายแล้ว เ้ายังจำตอนที่ร่างเสี่ยวจวินปรากฎพลังเช่นนั้นออกมาในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องได้ไหม?”
เ่ิูพยักหน้า
่เี่ิที่โกรธเกรี้ยวจนถึงขีดสุดเพราะเซี่ยโหวอู่หักหลัง ะเิพลังมหาศาลและน่าพิศวงออกมาอย่างไร้ร่องรอย ผลาญทำลายเทวรูปปกปักที่ห่างออกไปห้าร้อยเมตร ตอนนั้นเ่ิูเองก็ตระหนกไม่แพ้กัน เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถทำลายเทวรูปที่ไกลขนาดนั้นได้เลย
พลังที่เสี่ยวจวินสำแดงออกมาตอนนั้น ท่วมท้นเป็ม่านหมอกสีแดงชาด ราวกับมารคลั่งเผาโลกันตร์ถูกปลุกจากหุบเหวอเวจี พาให้คนหนาวสั่นไปยันขั้วิญญา มิใช่พลังสายสว่างอย่างแน่นอน
สำหรับเมืองมืดมิดไม่ะเืเมืองนั้น เ่ิูเพิ่งเคยได้ยินนามนี้เป็คราแรก
นครอันธการ
สตรีอับแสง!
เพียงได้ยินสองนามนี้ก็ทำให้คนฟังเหมือนตกสู่โพรงดำมืด ถูกกลิ่นอายความกลัวห่อหุ้มจนหายใจไม่ออก
“มีใครผิดใจกับยายตัวน้อยหรือเปล่า?” เ่ิูถามอย่างระมัดระวัง
หวังเจี้ยนหรูพยักหน้า “มีแน่นอน...ผู้เป็ธรรมทั้งหลายในใต้หล้าล้วนอยากฆ่านาง นอกจากราชสำนักเสวี่ยแล้ว อำนาจวิทยายุทธ์ทุกรูปแบบในเผ่ามนุษย์บนภพไทวะนี้เหมือนเป็ตระกูลเดียวกัน สามกลุ่มอิทธิพล สี่ตระกูลขุนนางรวมทั้งกลุ่มใหญ่น้อยอื่นๆ มีแต่จะ้าตัดรากถอนโคน แม้แต่พวกปีศาจในภพไทวะยังอยากกำจัดเสี่ยวจวิน”
เ่ิูรู้สึกเหมือนดวงใจถูกกระแทกแรงๆ
เด็กหนุ่มคอแห้งผาก ก่อนถามไปอย่างอดมิได้ “นครอันธการคือที่เช่นไรกัน? ทำไมถึงมีศัตรูมากถึงเพียงนี้?”
“สถานที่ซึ่งไร้แสงสว่าง ที่ๆ แม้แต่ปีศาจยังหวาดกลัว ที่ซึ่งอยู่หว่างกลางระหว่างอันธการและแสงสว่าง ที่ซึ่งเคยเป็ใหญ่ในแว่นแคว้นนับไม่ถ้วน...ที่ซึ่ง...ที่ซึ่งเป็ปริศนา” หวังเจี้ยนหรูประหนึ่งจมจ่อมกับความทรงจำบางอย่าง ครู่ต่อมาถึงตอบแ่เบา “เอาล่ะ เื่ที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว สภาพนางไม่สู้ดีนัก เ้าไปเยี่ยมนางหน่อยเถิด บางทีนี่อาจเป็การพบกันครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้”
“พบกันครั้งสุดท้าย?” เ่ิูในัก “หมายความว่าอย่างไร หรือว่า...”
“เมืองลู่ิไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับนางแล้ว ข้าต้องพานางไปจากนี่” หวังเจี้ยนหรูตอบผะแ่ “ความจริงเ้าตัวเล็กควรไปจากที่นี่นานแล้ว หากมิใช่เพราะนางยินดีจะยอมเสี่ยงเพื่อได้พบหน้าเ้า”
ตอนที่นางเอ่ยคำนี้ เ่ิูก็ลอบเห็นว่าภายในดวงเนตรงามของเซียนกระบี่มีความคลุมเครือ แต่กลับหนักแน่นยิ่งกว่าใดทั้งมวล
เ่ิูเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
เขาเดินผ่านระเบียงศาลากลางน้ำตามทิศที่หวังเจี้ยนหรูชี้ไป มาถึงเรือนไม้แสนธรรมดาหลังหนึ่ง
เปิดประตูเข้าไป ภายนอกมีเส้นแสงครึ้มมัวฉายเข้ามา
เ่ิูได้เห็นคนที่เขาอยากเจอเป็ครั้งแรก
บนเตียงไม้หลิวสีเขียว ่เี่ิร่างน้อยนอนหนุนหมอนใบโต นางหัวเราะเบาๆ ให้เขา คลุมผ้าห่มไหมผืนหนาไว้บนกายเหมือนลูกแมวอ่อนหวานไม่สบาย ดวงเนตรใสซึ่งเคยห่อเหี่ยวพลันเบ่งบานด้วยความยินดี...เมื่อพบหน้าเ่ิู
เทียบกับคราวที่เจอกันครั้งสุดท้ายแล้ว เด็กน้อยผอมลงมากเหลือเกิน
ดวงหน้าที่ก่อนเก่าเคยอิ่มเต็มเหมือนทารก ตอนนี้ผอมจนเห็นกระดูก เส้นผมซึ่งเคยดำเงาสลวยกลับแห้งจนหงิกเสียด้วยซ้ำ มือเล็กที่โผล่พ้นผ้าห่มมานั้นไม่ชุ่มชื้นสมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน ผอมแห้งเหมือนกรงเล็บนก หนังหุ้มกระดูกนิ้วจนเห็นเส้นเืชัดเจน...
ใจของเ่ิูเหมือนถูกบีบรัด เขาเ็ป
เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันเท่านั้น เกิดอะไรกับร่างกายนางกันแน่ ถึงได้ทำให้ซูบซีด ห่อเหี่ยวเหมือนจะสิ้นพลังชีวิตในเร็ววันนี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวเหมือนดอกไม้เหี่ยวแห้งที่ใกล้โรยราเต็มที
“พี่ชิงหยู!” ดวงหน้าน้อยแย้มยิ้มสุขใจ “ในที่สุดท่านก็มา ข้าดีใจจัง”
นางดิ้นขลุกขลักจะนั่งให้ได้
แต่ร่างกายอ่อนแอเกินไป ราวกับไม่เหลือแม้เศษแรง ดังนั้นจึงทำได้แค่ขยับเล็กน้อยเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องนอนจมอยู่กับหมอนใบเดิม หายใจติดขัด
“อย่าขยับสิ” เ่ิูรีบนั่งบนหัวเตียงแล้วประคองตัวนาง
ยามมือัักับร่างที่เปราะบางไร้เรี่ยวแรง าามารก็ไม่อาจห้ามความปวดร้าวในใจได้ เขายากจะนึกว่าที่ผ่านมานี้ เด็กน้อยต้องทนทรมานอย่างไร หาไม่แล้วนักยุทธ์อาณาน้ำพุิญญามีหรือจะอ่อนแอจนถึงขั้นนี้
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เ่ิูถามอย่างปวดใจ “ไยร่างกายเ้า...ถึงกลายเป็เช่นนี้?”
เด็กหญิงน้อยคลอเคลียหน้าตัวเองกับแขนของเขาอย่างยากลำบาก นางฝืนยิ้มเจิดจ้าให้แล้วตอบ “ข้าไม่เป็ไรหรอก พี่ชิงหยูท่านอย่าเศร้านะ แค่มีพลังประหลาดน่ารังเกียจเกิดขึ้นไม่เลือกเวลา อยากจะร่างกายข้า ข้าจำต้องใช้พลังอย่างมากเพื่อจะคุมมันไว้ให้ได้ชั่วคราว...พี่เจี้ยนหรูบอกว่า เื่นี้ที่จริงแล้วก็เป็เื่ดีสำหรับข้า เพราะหากข้าเข้ากับพลังนี้ได้ ข้าจะก็จะกลายเป็จอมยุทธ์ที่ไม่เป็สองรองใคร”
“พลังประหลาดหรือ?” เ่ิูนึกอะไรออกพลางถาม “ใช่พลังที่ออกมาตอนสมรภูมิหรือเปล่า?”
เด็กน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ตอนนั้นเองที่สีหน้านางเปลี่ยนกะทันหัน หน้าเกิดซีดขาว ร่างกายสั่นไหวน้อยๆ
เ่ิูนิ่งงัน ฉับพลันก็ได้เห็นภาพอันน่าพิศวง...
ริ้วลายสีแดงชาดล่องลอยอยู่ใต้ิัขาวซีดของนาง เหมือนอสรพิษตะลุยรุมเร้าอย่างบ้าคลั่ง มันทวีจำนวนมากขึ้น แน่นขึ้นทุกวินาที เส้นเืซึ่งเคยเป็สีน้ำเงินพลันเปลี่ยนเป็แดงชาด ริ้วลายค่อยๆ กลืนกินดวงหน้าเล็กซูบผอมของนาง ราวกับยาพิษที่น่าหวาดกลัว...
ไอสีแดงเริงรำออกมาจากร่างเล็ก
เ่ิูรู้สึกเหมือนตนเผชิญหน้าอยู่กับหุบเหวแห่งความมืดไร้ก้นบึ้ง พลังกดดันมหาศาลทำให้เขาหายใจไม่ออก ดวงใจเหมือนถูกมืออันธการตะปบเอาไว้แล้วดึงออกมาจากอก
“แฮ่กๆ!”
หมาหัวโตซึ่งนอนฝันหวานมานานตื่นขึ้นในบัดดล
มันกระโจนออกจากอกเ่ิูเหมือนสายฟ้าแลบ สองขาหลังเหยียบย่ำเป็ฝีเท้าประหลาดๆ มันมองเด็กหญิงน้อยอย่างใและโกรธขึ้ง ปากส่งเสียงร้อนรน มันแยกเขี้ยวคอสั่น ท่าทางดูอันตราย น่ากลัวเหมือนพร้อมเลือกคนมาขย้ำได้ตลอดเวลา
นี่เองก็เป็ครั้งแรกที่เ่ิูได้เห็นเ้าหมาบื้อตัวนี้ดุร้าย
“อย่าเอะอะ กลับมา” เ่ิูกลัวว่าเ้าหมานี่จะพุ่งไปกัดทึ้ง เขาคว้ามันไว้แล้วปิดปาก จากนั้นก็เก็บกลับที่เดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้