ซางจือิรู้ดีว่าไทเฮามีรับสั่งกับตนเอง ไม่ว่าจะถอนได้หรือไม่ได้ก็ต้องถอน โชคดีที่เขามีแผนรับมือในใจอยู่แล้ว เขาจึงทูลทันทีว่า “กระหม่อมเคยอ่านวิธีถอนพิษนี้ในตำรายา เพียงแต่…...”
ไทเฮาตรัสถามทันที “เพียงแต่อันใด?”
ซางจือิทูลตอบอย่างระมัดระวัง “เพียงแต่อาจจะทำลายชื่อเสียงราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาตรัสด้วยสีหน้าเ็า “ขอเพียงปกป้องชีวิตฮ่องเต้ได้เื่ชื่อเสียงราชวงศ์มิใช่ปัญหา” อย่างมากคือสังหารคนที่รู้เื่ทั้งหมด ก็แค่ชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่เื่ยาก
ซางจือิจึงทูลอย่างละเอียด “พิษกู่นี้มีชื่อว่าพิษดอกท้อ สิ่งที่แสวงหาคือสามีภรรยามีใจเดียวกัน เพียงให้ผู้ใช้พิษกู่เป็ผู้เริ่ม ตราบใดที่ผู้เริ่มใช้พิษกู่คนแรกร่วมรักกับผู้อื่น พิษกู่นี้ก็จะสลายไปเอง เท่านี้ผู้ที่ถูกพิษกู่ก็จะไม่เป็ไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แววตาของไทเฮาพลันเคร่งขรึมราวกับย้อมด้วยน้ำหมึกลงไปหนึ่งชั้นจนมองเห็นอันใดไม่ชัดเจน เจตนาสังหารที่ปกคลุมบนร่างพระนางเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดพระนางก็เปล่งเสียงออกมา “พาตัวอู๋เจาหรงไป เรียกองครักษ์สองคนตามไปด้วยแล้วจัดการเื่นี้โดยเร็ว”
เมื่อเว่ยหรูไห่ได้ยินพลันใเสียใหญ่โต เขารู้ว่าองครักษ์สองคนนั้นคงไม่รอด และเกรงว่าอู๋เจาหรงก็คงจบไม่สวยเช่นกัน ทว่าเมื่อมองซ่งอี้เฉินที่บรรทมอยู่บนเตียง เขาก็ไม่กล้ารั้งรออีกจึงตอบรับทันที
เสียงะโดิ้นรนของอู๋เจาหรงที่ดังมาจากด้านนอกตำหนักค่อยๆ ไกลออกไป
ฮวารั่วซีมองซ่งอี้เฉินเงียบๆ พลางบิดผ้าในมือเป็ก้อนนับครั้งไม่ถ้วน นางแอบเหลือบมองซางจือิคราหนึ่ง เมื่อเห็นเขาส่ายศีรษะให้ตนเองเล็กน้อย ในใจนางพลันสงบลงทันที
ฮวารั่วซีเป็คนกระทำเื่นี้จริงๆ สวนในวังหลวงวันนั้นนางได้ยินว่าอู๋เจาหรงคิดจะไปขวางซ่งอี้เฉิน นางจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา เหยียนอู๋อวี้อยากได้รับความโปรดปรานเพียงลำพังก็ให้นางได้ลิ้มรสความรู้สึกสูญเสียความโปรดปราน เดิมทีฮวารั่วซีคิดจะฉวยโอกาส่สูญเสียความโปรดปรานกำจัดเหยียนอู๋อวี้ทิ้ง ไม่คิดเลยว่าซ่งอี้เฉินจะหมดสติไปก่อนที่ตนเองจะทันได้ลงมือ
ปกปิดเื่เอาไว้ไม่ทัน หนำซ้ำยังถูกเปิดโปงออกมาเช่นนี้ ความจริงแล้วฮวารั่วซีรู้สึกโมโหกับวิธีการของซางจือิเล็กน้อย
ไทเฮารู้ว่านางเป็คนทำ ฉะนั้นต้องสงสัยนางในเื่นี้อย่างแน่นอน ต่อไปนางต้องคิดหาวิธีตัดความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องของตนเองไปให้หมด
เต๋อเฟยกระวนกระวายใจมากเช่นเดียวกัน นางเพิ่งดูแลตำหนักหลังได้ไม่นานเื่ก็ประเดประดังเข้ามาหลายครั้งติดๆ กัน ก่อนหน้าเป็เพราะเื่เฆี่ยนฮูหยินเหยียนแม่ลูกทำให้ไทเฮารำคาญใจตนเอง ยามนี้เกิดเื่ขึ้นอีก พาลให้รู้สึกน่าโมโหจริงๆ เต๋อเฟยถึงขั้นคิดว่าเป็เพราะกิจการในตำหนักหลังทำให้ตนเองสวดมนตร์ได้ล่าช้าใช่หรือไม่ พระโพธิสัตว์จึงลงโทษนาง
เมื่อคิดถึงตรงนี้เต๋อเฟยจึงตัดสินใจว่ากลับไปจะต้องเคร่งครัดให้มากกว่านี้แล้ว
ทว่าเื่ในตอนนี้ยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรแล้วนางก็ยังต้องออกหน้าอธิบายเื่นี้ให้ทุกคนทราบด้วยเหตุผลที่ฟังดูดี
อย่างไรก็ตามเต๋อเฟยมิได้รู้สึกรำคาญใจ นายหญิงประมุขแห่งตำหนักหลังต้องจัดการเื่นี้อยู่แล้วมิใช่หรือ? ตราบใดที่ยังมีโอกาสจัดการกับเื่พวกนี้ นางก็จะไม่ทิ้งอำนาจในมือไปแน่นอน
ทันใดนั้นซ่งอี้เฉินที่อยู่บนเตียงพลันส่งเสียงครวญครางออกมาและขยับนิ้วมือ ฮวารั่วซีกับเต๋อเฟยรีบพุ่งไปข้างหน้าทันที “ฝ่าา…”
ซ่งอี้เฉินเพียงแค่รู้สึกว่าตนเองฝันยาวนาน ดูเหมือนว่าตนเองในความฝันจะกลับไปสู่่วัยเยาว์อีกครั้ง
ครั้งแรกที่เขาพบกับอู๋เหยียน เขายังเป็เพียงแค่องค์รัชทายาทที่ไม่ได้รับความโปรดปราน ไร้ความสามารถพิเศษ ไร้เรี่ยวแรงจับไก่ ตอนแรกที่เขาเข้าไปในกองทัพเขารู้สึกอึดอัดกับชีวิตขมขื่นเช่นนี้ยิ่งนัก ทว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นจับจุดอ่อนได้เขาจึงทำได้เพียงฝืนทำท่าทางกระตือรือร้น ใน่เวลานั้นหากไม่มีอู๋เหยียนแอบช่วยแย่งของในมือนายน้อยป้อมหมาป่ามาให้ เกรงว่าเขาคงผ่านชีวิตเช่นนั้นมาไม่ได้เป็แน่
เขาปฏิบัติต่อนางเหมือนที่ปฏิบัติต่อขุนนาง แม้นางจะเป็อิสตรี ทว่ากลับมีรูปร่าง หน้าตาและการเคลื่อนไหวไม่ต่างจากบุรุษ ต่อให้สวมชุดกระโปรงก็ยังดูแปลกมากอยู่ดี
แม้เขาจะรู้สึกขอบคุณนาง ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยคิดข้องเกี่ยวอันใดกับนางเลย เขาชื่นชอบสตรีที่มีความอ่อนโยนดุจสายน้ำ มีความรู้มีมารยาท เต็มไปด้วยพร์ มีเพียงสตรีเช่นนี้ที่จะมีคุณสมบัติต่อการยกถาดเสมอคิ้ว[1] และอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่ากับเขา
ตระกูลอวิ๋นมีอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใดแล้วเกี่ยวอันใดกับเขา? เบื้องบนมีรัชทายาทซึ่งเป็ที่โปรดปรานของเสด็จพ่ออยู่แล้ว เขาคงไม่มีโอกาสปีนไปถึงตำแหน่งนั้นได้ตลอดไป
ทุกอย่างพังทลายลงั้แ่ไทเฮาได้รับจดหมายที่อวิ๋นอู๋เหยียนเขียนให้เขา
ต่อมาเขามักคิดว่าหากทำลายจดหมายที่ได้รับมาในตอนแรกเร็วสักหน่อย ชีวิตเขาคงไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเช่นนี้กระมัง!
เขาก้าวมาจากองค์ชายที่ไร้ชื่อเสียงโด่งดัง ไร้ซึ่งความปรารถนา ได้กลายเป็ฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุด ซึ่งมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าอำนาจสูงสุดเช่นนี้อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวมากเพียงใด ดูเหมือนเขาััถึงจุดสูงสุดของอำนาจแล้ว ทว่าในความเป็จริงมันคือการทุ่มเททำให้ผู้อื่นโดยที่ตนเองไม่มีทางได้กลับคืนมาอีกเลย
“ฝ่าา… ฝ่าา…”
เสียงเรียกที่อยู่ข้างหูคือผู้ใด? ผู้ใดกำลังเรียกเขาอยู่?
เขาพยายามลืมตาขึ้นมอง ดวงตาคู่หนึ่งปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้า เป็ดวงตาของอู๋เหยียน แม้สังหารคนในสนามรบไปนับไม่ถ้วน ทว่าดวงตานั้นยังคงกระจ่างใสอย่างยิ่ง ราวกับไม่เคยมีความกระหายเืแม้แต่น้อย ในเวลานั้นเขารู้สึกว่าดวงตาคู่นี้อยู่ผิดที่ผิดทาง มันควรอยู่บนร่างกายของสตรีงามเลอโฉม หาใช่นางไม่
ขณะที่ดวงตาคู่นั้นกำลังจับจ้องตนเอง มันเต็มไปด้วยความตกตะลึง ความสิ้นหวังและความไม่ยินยอม
“ลูก ในท้องข้ายังมีลูกของท่านอยู่…...ไม่คิดว่าท่านจะ...…”
ใช่แล้ว ยังมีลูกของเขา ท้องนางนูนขึ้นมา เขาเคยััสิ่งมีชีวิตที่ดิ้นขลุกขลักในนั้นมาก่อน!
ทว่า…...ทว่า...…
ระหว่างลังเล ท้องที่เต้นตุบๆ พลันแยกออกจากกัน เด็กทารกตัวน้อยผู้หนึ่งปีนออกมา ก่อนจะยื่นสองมือมาหาแล้วเรียกเขาว่า “เสด็จพ่อ...…เสด็จพ่อ...…”
เขายื่นมือออกไปกอดเด็กคนนั้นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ที่อกซ้ายของเด็กคนนั้นมีกระบี่ปักอยู่ และเืกำลังไหลออกมาไม่หยุด...…
“อย่า...…” ในที่สุดเขาก็ลืมตา ก่อนจะเห็นใบหน้าตึงเครียดเป็กังวลของสตรีสองนาง
“ฝ่าา…... ในที่สุดพระองค์ก็ฟื้นแล้ว!” เสียงนุ่มนวลของฮวารั่วซีดังขึ้น นางจับมือเขาอย่างประหม่า
ซ่งอี้เฉินยังไม่ตื่นจากความฝัน เขาขยับถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว “อู๋เหยียนกำลังมองอยู่...…”
เมื่อฮวารั่วซีได้ยินเช่นนี้พลันใจกระตุก เขายังไม่ลืมสตรีน่าเกลียดอัปลักษณ์ผู้นั้น!
คล้ายซ่งอี้เฉินจะฟื้นคืนสติแล้ว เขาจึงเปลี่ยนคำพูดช้าๆ “ไฉนพวกเ้าจึงอยู่ที่นี่?”
“ฝ่าาหมดสติไปเพคะ” เต๋อเฟยรีบตอบ “อู๋เจาหรงวางพิษกู่ทำร้ายพระองค์ อมิตตาพุทธ สุดท้ายพระองค์ก็ปลอดภัยแล้ว”
จากนั้นไทเฮาจึงเดินมาดูซ่งอี้เฉิน นางจับมือเขาพลางตรัสถามว่า “เฉินเอ๋อร์ ลูกเป็อย่างไรบ้าง?”
ชื่อเรียกที่ห่างหายไปนานนี้ทำให้หัวใจของซ่งอี้เฉินรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก เขารีบลุกขึ้นนั่งแล้วกล่าว “ลูกไม่...…”
เขายังไม่ทันกล่าวจบ จู่ๆ กลับรู้สึกแสบลำคอ ก่อนจะกระอักเืออกมาหนึ่งคำ
ทั้งสามคนที่อยู่ข้างเตียงใจนหน้าถอดสี ไทเฮาะโเรียกซางจือิ “หมอหลวงซาง รีบมาดูอาการฝ่าาว่าเป็อย่างไรบ้าง?”
ซางจือิรีบตอบรับแล้วก้าวออกไปตรวจอาการหนึ่งรอบ จากนั้นเขาจึงประสานมือพลางทูลว่า “ขอแสดงความยินดีกับไทเฮา พิษกู่ถูกถอนออกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“เช่นนั้นเหตุใดฝ่าาจึงอาเจียนเป็เื?” ฮวารั่วซีรีบร้อนถามด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ซางจือิมองนางคราหนึ่งพลางวางความปวดร้าวใจไว้ในฝ่ามือ ก่อนจะทูลด้วยความนอบน้อมว่า “เืเมื่อครู่เกิดจากการละลายของพิษกู่ อาเจียนออกมาก็ไม่เป็ไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าายังต้องพักรักษาอาการอีกสองสามวัน กระหม่อมจะเขียนเทียบยาบำรุงร่างกายให้พ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้จึงพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าซ่งอี้เฉินกลับฟังอย่างงุนงง “พิษกู่? เกิดเื่อันใดขึ้น?”
เต๋อเฟยรีบอธิบายต้นสายปลายเหตุแบบเรียบง่ายหนึ่งรอบ แล้วกล่าวอีกว่า “ยามนี้เกรงว่าอู๋เจาหรงจะ...…”
ไทเฮาตรัสด้วยสีหน้าเ็า “การกระทำของพวกฏเช่นนี้ ถึงตายก็ไม่สาสม”
เต๋อเฟยรีบเงียบเสียงลงทันที
ไทเฮาจับมือซ่งอี้เฉินอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่เป็อันใดแล้ว พระนางรู้สึกโล่งอกพลางตรัสว่า “ฝ่าากลับตำหนักบรรทมก่อนเถิด ่นี้รักษาพระวรกายให้ดีก่อน ไม่ต้องประชุมท้องพระโรง เื่อื่นค่อยให้พวกเขาส่งไปที่ห้องทรงอักษร”
ซ่งอี้เฉินมิได้ปฏิเสธ ต่อให้ประชุมท้องพระโรง เขาก็เป็เพียงหุ่นเชิด อีกทั้งยามนี้เขาวางแผนอยู่ในใจแล้ว เช่นนั้นก็ได้เวลาพอดี
เพียงแค่คิดว่าตนเองถูกผู้อื่นวางพิษกู่ ในใจก็รู้สึกโมโหยิ่งนัก เขาตรัสเสียงเ็า “เสด็จแม่ เื่นี้ต้องสอบสวนให้ชัดเจน”
ระหว่างที่เขาตรัสนั้น สายตาก็กวาดมองทั่วร่างของฮวารั่วซีเช่นเดียวกัน ฮวารั่วซียังคงมีท่าทางตึงเครียดและเป็กังวล ดูเหมือนไม่มีอันใดผิดปกติ
นางเป็คนวางยาพิษมิใช่หรือ? ซ่งอี้เฉินสงสัยมากว่าเหตุใดนางต้องทำกับเขาเช่นนี้? นางทำไปได้อย่างไร?
เชิงอรรถ
[1] การยกถาดเสมอคิ้ว หมายถึง เทิดทูนให้เกียรติซึ่งกันและกัน