"เพียะ"
ทันใดนั้นก็มีเสียงตบมือดังเพียะดังขึ้นท่ามกลางความมืด ทั้งบรรยากาศหวานชื่นและความเศร้าะเือารมณ์จางหายไปในพริบตา
เหลียนเซวียนมองนางกำแขนอย่างหัวเสีย ก็หัวเราะขบขันหน้าอกกระเพื่อม เซวียเสี่ยวหรั่นซึ่งอยู่ในอ้อมแขน เงยหน้าแดงซ่านขึ้นมองเขา
"ที่นี่ยุงเยอะเหลือเกิน ท่านดูสิ กัดข้าไปตั้งกี่ตุ่มแล้วเนี่ย"
หญิงสาวยื่นแขนออกมาต่อหน้าเขา บนแขนเรียวเล็กและบนข้อมือปรากฏตุ่มแดงเป็จ้ำๆ หลายแห่ง
เหลียนเซวียนลูบข้อมือเล็กจ้อยของนางพลางถอนหายใจเบาๆ "ยุงนี่ก็รู้จักเลือกคนอ่อนแอเป็อาหาร"
"ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่ามีข้าถูกกัดแค่คนเดียว?" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ยอมแพ้ ดึงข้อมือเขาออกมาแล้วอาศัยแสงจันทร์พิจารณาอย่างถี่ถ้วน
เอ้อ... ไม่ถูกกัดจริงด้วยแฮะ
จากนั้นก็เปลี่ยนไปจับมืออีกข้างมาพลิกดู "ต้องเป็เพราะเนื้อของท่านแข็งเกินไปแน่ๆ ขนาดยุงยังกัดไม่เข้า ถึงกับต้องยอมแพ้"
เซวียเสี่ยวหรั่นทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ พลางหาเหตุผล
เหลียนเซวียนอดไม่ไหวะเิเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ทั้งที่ยังกอดนางไว้ในอ้อมแขน อารมณ์คับแค้นในแววตาถูกเสียงหัวเราะขับไล่จนไม่เหลือแม้แต่เงา
เซวียเสี่ยวหรั่นพวงแก้มร้อนผ่าวพิงอยู่ในอ้อมแขน ััได้ถึงแผงอกกระเพื่อมขึ้นลงของเขา มุมปากก็โค้งขึ้นตามโดยไม่รู้ตัว
เธอชอบให้เขาหัวเราะแบบนี้
เวลาเขาไม่ยิ้ม รังสีดุดันรุนแรงเกินไป ความเ็าและเปล่าเปลี่ยวในแววตาคล้ายเป็ปราการห่อหุ้มตัวเขาไว้
เมื่อเขาหัวเราะอย่างเต็มที่ ก็เหมือนกับท้องฟ้ามืดมิดถูกเปิดออก เผยให้เห็นแสงตะวันสว่างเจิดจ้า
"หลับตา" เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าดังขึ้นข้างหู
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกดีใจ ในที่สุดก็จะได้ลงไปเสียที เธอรีบหลับตาอย่างว่าง่าย
"อ๊ะ?" เซวียเสี่ยวหรั่นพลันตระหนก ลืมตาทันที
ดวงหน้าหล่อเหลาเลื่อนเข้ามาแทบจะชิดกับเปลือกตาของเธอ ลมหายใจอุ่นร้อนอยู่ระหว่างปากและจมูกของคนทั้งสอง ผสมผสานจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็ของใคร
ั์ตาสีดำเข้มซึ่งเปิดปรืออยู่ตรงหน้าคล้ายวังน้ำวนดูดกลืนทุกสรรพสิ่งเข้าไป เซวียเสี่ยวหรั่นเหมือนจะตกลงไปในวังวนนั้นไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้หนทางหลุดออกไปได้
ชั่วขณะนั้นหัวใจเต้นแรงดวงตาเริ่มเหม่อลอย มือน้อยๆ ทุบไหล่ของเขาอย่างคนไม่มีแรง คล้ายว่าโมโหในความบุ่มบ่ามของเขา และกำลังประท้วงที่ถูกเขาหลอก
ดวงตาของเหลียนเซวียนแฝงแววยิ้มล้ำลึก ขยับริมฝีปากออกอย่างเสียดาย ขณะที่นางยังคงมึนงง สายตาเต็มไปด้วยความคลางแคลง เขาก็ประทับจุมพิตลงไปบนขนตาของนาง "เด็กดี หลับตาเสีย"
เขาทำขนาดนี้แล้ว นางจะไม่หลับตาได้หรือ เซวียเสี่ยวหรั่นถูกโอบล้อมด้วยลมหายใจร้อนผ่าว เหงื่อของเธอไหลท่วมตัวอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
เธอแทบจะถูกเขาย่างสุกอยู่แล้ว ขณะที่ยังมึนๆ งงๆ เซวียเสี่ยวหรั่นก็พูดงึมงำออกมาคำหนึ่ง "ร้อน..."
การนัวเนียอย่างเร่าร้อนพลันหยุดชะงัก ก่อนที่เ้าของอ้อมกอดจะยอมปล่อย แค่กอดเธอไว้ในอ้อมแขน ลมหายใจกระชั้นถี่ค่อยผ่อนช้าลง
"ว้าย" เซวียเสี่ยวหรั่นเอนซบไปตัวเขาราวกับไร้กระดูก ขณะยังไม่ได้สติคืนมา ก็ต้องใจนขวัญหนีดีฝ่อเมื่อจู่ๆ ร่างกายก็ลอยวืดในอากาศกะทันหัน
แม่จ๋า... นี่เขาะโลงไปจากหอที่มีความสูงห้าชั้นเลยหรือ เซวียเสี่ยวหรั่นหน้าเหวอ
จนกระทั่งเขาพาลงมาถึงกิ่งของต้นไม้สูงใหญ่ เซวียเสี่ยวหรั่นถึงได้สติ
เหลียนเซวียนยังคงรักษาความเร็ว ะโข้ามกำแพง ขึ้นหลังคา ข้ามต้นไม้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ช้าทั้งสองก็กลับมาถึงเรือนของเซวียเสี่ยวหรั่น
แสงโคมแดงละมุนละไมสว่างไสวไปทั่วลานสวนอันเงียบสงบ
เหลียนเซวียนปล่อยเซวียเสี่ยวหรั่นลง ก่อนจูงมือนาง หมายจะพากลับเข้าไปในห้อง
เซวียเสี่ยวหรั่นนั่งอยู่บนยอดหอสูงมาครึ่งคืน ซ้ำยังขวัญผวาจากที่เขาพาะโลงจากหอห้าชั้นไม่หาย แข้งเข่าจึงอ่อนปวกเปียกไปชั่วขณะ
เหลียนเซวียนเห็นเช่นนั้น ก็โน้มกายลงแล้วอุ้มนางขึ้นมา พาเดินเข้าไปในห้อง
"ท่านปล่อยข้าลง เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะทำอย่างไร" เซวียเสี่ยวหรั่นหน้าแดงซ่าน กดเสียงกระซิบบอกกล่าว
"ไม่มีใครอยู่แล้วล่ะ" เหลียนเซวียนวางนางลงบนเก้าอี้กลมไม้หวงฮวาหลี
"ท่านทราบได้อย่างไรว่าไม่มีคน" เซวียเสี่ยวหรั่นมองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง
เรือนหลังนี้ยังมีอูหลันฮวา หงกู ชิงเยว่และชิงหนิงสี่คน
"ดึกขนาดนี้ พวกนางคงพักผ่อนกันหมดแล้ว" เหลียนเซวียนนั่งลงข้างกายนาง แตะกาน้ำช้ากระเบื้องสีขาว น้ำชาในนั้นยังอุ่นอยู่ จึงเอื้อมมือไปรินให้นางถ้วยหนึ่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นกะพริบตาถี่ๆ รู้สึกได้ว่าแย่แล้ว "ตอนนี้ยามไหนแล้ว"
เธอไม่ค่อยเข้าใจการนับโมงยามของคนที่นี่
"ใกล้ยามไฮ่ [1] แล้ว" เหลียนเซวียนค่อยๆ ดื่มชา
ยามไฮ่ดูเหมือนจะเป็่สี่ทุ่ม ปรกติเวลานี้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้วจริงๆ
"แต่ข้ายังไม่ได้อาบน้ำเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อ วันนี้เธอเหงื่อออกทั้งตัว จะไม่อาบน้ำได้อย่างไร เซวียเสี่ยวหรั่นบ่นพึมพำขึ้นมา "เรือนหลังนี้ไม่มีบ่อน้ำ มิเช่นนั้นข้าไปตักมาล้างเนื้อล้างตัวเองจะสะดวกกว่า"
เหลียนเซวียนแทบพ่นน้ำชาออกมา เอ่ยอย่างจนใจ
"ในครัวต้องมีน้ำร้อนเตรียมไว้อยู่แล้ว เ้าเรียกพวกชิงเยว่ไปยกมาให้ก็ได้"
"คนนอนกันหมดแล้ว ต้องไปปลุกพวกเขาให้ตื่นไม่ดีเท่าไรมั้ง" เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกตา ต้องโทษเขาคนเดียว จะแล่นไปที่สูงขนาดนั้นทำไมก็ไม่รู้
"ท่านดู มีแต่รอยยุงกัด"
นางยื่นสองมือออกไป รอยยุงกัดสามสี่ตุ่มั้แ่หลังมือถึงข้อมือ แลดูขัดตาอย่างยิ่งเมื่อมาอยู่บนผิวขาวเนียนละเอียดของนาง
ดวงตาของเหลียนเซวียนขรึมลง ค้นหาขวดสีขาวใบเล็กออกมาจากถุงเหอเปา ขณะคิดจะทายาให้กลับได้ยินเสียงนางทวงขึ้น "อย่าเพิ่ง ข้ายังมิได้อาบน้ำเลย เดี๋ยวล้างออกก็สิ้นเปลืองแย่"
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบฝาขวดมาปิด "เห็นอยู่ว่าเป็สีผึ้งหยกทาผิวชั้นยอด ท่านกลับเอามาทาแก้ยุงกัด ญาติผู้พี่รู้เข้ามีหวังโกรธท่านตายเลย"
"เขาเองก็ใช้แบบนี้" เหลียนเซวียนหัวเราะ
"ฟุ่มเฟือยทั้งคู่" เซวียเสี่ยวหรั่นย่นจมูกใส่เขา
"วันนี้ดึกแล้ว ข้าจะไม่ติดตามเอาคำตอบจากเ้า แต่เสี่ยวหรั่น ที่ข้าเล่าเื่ราวสมัยก่อนเ่าั้ให้เ้าฟัง เพราะอยากให้รู้ว่าสตรีทั่วหล้าสำหรับข้าแล้ว เป็เพียงแค่พักตร์ชาดกระดูกขาว ไม่ว่าจะงดงามหรือขี้ริ้วล้วนคือความว่างเปล่า หากเ้าไม่มาปรากฏตัว บางทีชาตินี้ข้าอาจไม่คิดแต่งงาน"
เหลียนเซวียนเก็บรอยยิ้ม มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง
การแสดงออกที่รอบคอบและจริงจังของเขาทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกหวั่นไหวในใจ แต่ว่า... นางเม้มปาก กระซิบถาม "แล้วหากพระบิดาของท่านมีราชโองการลงมาล่ะ?"
"เขาเคยสัญญาให้ข้าจัดการเื่การแต่งงานด้วยตนเอง" เหลียนเซวียนรู้ว่านางวิตกสิ่งใด "เสี่ยวหรั่น เ้าเคยพูดเองแท้ๆ ว่าเชื่อใจข้า แต่ไยข้าไม่เห็นรู้สึกถึงความเชื่อมั่นของเ้าเลย"
เขาตัดพ้ออย่างจนใจอยู่บ้าง
"ข้าเชื่อท่าน แต่ปัจจัยภายนอกหลายอย่างใช่ว่าเชื่อมั่นก็สามารถหลีกเลี่ยงได้" เซวียเสี่ยวหรั่นนั่งบิดตัวอย่างไม่สบายใจ
เื่ใหญ่ในชีวิตแบบนี้หาใช่การเลือกผักในตลาด จะตัดสินใจส่งเดชได้อย่างไร
"อย่ากังวลมากไป มีข้าอยู่" เหลียนเซวียนกุมมือนาง "พรุ่งนี้ตอนข้ามา หวังว่าเ้าจะคิดได้แล้วว่าจะตอบคำถามของข้าอย่างไร"
"อื้อ" เห็นเขาทำสีหน้าจริงจัง เซวียเสี่ยวหรั่นก็พยักหน้าซื่อๆ
...
[1] ยามไฮ่ หมายถึง่เวลาระหว่าง 21.00-22.59
