เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่รับรู้ว่าตนเองหลบหลีกจากความวุ่นวายของตระกูลเซี่ยได้อีกครั้งแล้ว
หากเซี่ยต้าจวินจะมาขอผลผลิตจากสองแม่ลูกจริง ย่อมไม่ได้ผลประโยชน์อะไรกลับไปโดยไม่ต้องสงสัยแน่นอนว่าปัญหาน้อยลงไปหนึ่งอย่างมักเป็เื่ดีเวลาของเซี่ยเสี่ยวหลานล้ำค่าเพียงใดจะฟุ่มเฟือยไปกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
ขอบคุณที่คนตระกูลเซี่ยล้วนมีแผนการของตนอยู่ในใจพอมีเื่จึงไม่สามารถร่วมแรงกันจัดการให้สำเร็จถึงมารบกวนชีวิตของเซี่ยเสี่ยวหลานได้ไม่บ่อยครั้งนัก
ใบแจ้งส่งผลผลิตส่งไปยังทุกบ้านเซี่ยเสี่ยวหลานจะไปส่งธัญพืชให้สถานีรับผลผลิตในชุมชนกับหลี่เฟิ่งเหมยสำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วสิ่งนี้คือการเรียนรู้ที่แปลกใหม่ประสบการณ์ที่ในชาติก่อนเธอไม่เคยมีความรู้ตรงส่วนนี้
ข้าวต้องตากให้แห้งที่สุด ห้ามมีหินหรือทรายและก็ห้ามมีสิ่งเจือปนอื่นๆ ด้วย ข้าวทุกเม็ดสวยสมบูรณ์เป็สีเหลืองทองไม่มีเมล็ดข้าวที่แห้งเหี่ยวถึงจะนับว่าเป็ผลผลิตที่ได้มาตรฐาน
หนึ่งปีต้องส่งผลผลิตหลายครั้ง เก็บเกี่ยวข้าวแล้วก็ส่งข้าวก่อนหน้านี้ยังมีข้าวสาลีและผักกาดก้านขาวนำส่วนหนึ่งของผลผลิตในไร่นาออกมาส่งคืนโดยเปล่าให้แก่ประเทศใช้ทดแทนภาษีเกษตรกรรม ผลผลิตของรัฐไม่อาจทดแทนภาษีทั้งหมดได้ส่วนที่ไม่เพียงพอก็ต้องควักเงินจ่าย เมื่อก่อนคณะผลิต [1] ร่วมกันส่งผลผลิตและจ่ายภาษีเกษตรกรรมหลังกระจายที่ดินให้กับทุกครัวเรือนแล้วจึงให้ทุกครัวเรือนส่งผลผลิตและภาษีด้วยตนเอง
“ตอนนี้ไม่ต้องส่งภาษีแล้ว เปลี่ยนเป็เก็บเงินบำรุงแทน”
หลิวเฟินไปรับซื้อปลาไหลเซี่ยเสี่ยวหลานจึงบรรจุข้าวด้วยกันกับป้าสะใภ้ ข้าวเหล่านี้ต้องทั้งตากและร่อนอย่าว่าแต่สิ่งแปลกปลอม แม้แต่เศษเล็กเศษน้อยก็ไม่มี
หลี่เฟิ่งเหมยบอกว่าปีนี้ต้องจ่าย ‘ค่าบำรุง’ เซี่ยเสี่ยวหลานถึงกับมึนงงไปเลย
ชนบทในยุค 80 มีหลายอย่างมากมายที่เธอไม่เข้าใจเธอไม่เข้าใจการปลูกพืช และไม่รู้ว่าชีวิตชนบทในปี 80 ยากเย็นเท่าไร ไม่เพียงแต่งานเกษตรอันเหนื่อยยากดูเหมือนว่าสำหรับเกษตรกรแล้วผลผลิตส่งรัฐด้วยจำนวนที่ไม่มากพอคือความกดดันอันใหญ่หลวง...เทคโนโลยีข้าวลูกผสม [2] พัฒนาั้แ่ยุค 70 แล้ว มณฑลอวี้หนานได้เริ่มสาธิตเพาะปลูกในปี 76 แต่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้รับการเผยแพร่ให้เป็ที่นิยมโดยกว้างขวาง
อย่างไรเสียในเขตอันชิ่งนี้ เกษตรกรล้วนปลูกข้าวธรรมดา
ข้าวลูกผสมสามารถให้ผลผลิตมากกว่าพันชั่งต่อหนึ่งหมู่ ข้าวธรรมดาปลูกให้ดีที่สุดก็สามารถให้ผลผลิตประมาณเจ็ดแปดร้อยชั่งต่อหนึ่งหมู่เท่านั้น
ข้าวที่กะเทาะเปลือกขัดสีแล้ว ข้าวสารทั้งหมดจาก 100 ชั่งยังได้ไม่ถึง 70 ชั่งด้วยซ้ำ ครอบครัวสมาชิก 3 คนมีที่ดินประมาณ 5 หมู่ และก็ไม่ใช่ว่า 5 หมู่นี้จะสามารถปลูกข้าวได้ทั้งหมดพื้นที่ลาดชันมีส่วนที่ไม่ดีบ้าง ที่นาไม่สมบูรณ์ปลูกธัญพืชไม่ออกผลบ้าง—ผลผลิตส่งรัฐนั้นเป็การส่งเปล่าโดยไม่มีคืนธัญพืชที่เหลืออยู่จะขายในราคาต่ำให้แก่ประเทศ หากไม่ขายผลผลิตในมือเกษตรกรจะเอาเงินมาจากไหน? แต่หากขายแล้ว เงินขายผลผลิตก็เก็บไม่อยู่จ่ายทั้งยาฆ่าแมลง ต้นกล้า ปุ๋ยเคมี รวมถึง ‘เงินบำรุง’ ที่หลี่เฟิ่งเหมยกล่าวถึง
เงินบำรุงมีชื่อเต็มว่า ‘กองทุนวางแผนครอบคลุมประจำชุมชนและบำรุงกิจกรรมหมู่บ้าน’ สามบำรุงและห้าวางแผนนี้เป็เงินสองส่วน
ห้าวางแผนคือค่าวางแผนครอบคลุมในชุมชนห้าด้าน ได้แก่ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าวางแผนประชากร ค่าอบรมฝึกฝนกองกำลังพลเมืองเงินสนับสนุนผู้มีคุณูปการ และค่าขนส่งสาธารณะที่จัดตั้งโดยประชาชน ส่วนสามบำรุงที่ว่าคือค่าบำรุงในหมู่บ้านสามด้านได้แก่ กองทุนสำรองสาธารณะ สวัสดิการ และค่าธรรมเนียมการบริหารเงินสำรองสาธารณะไม่ใช่กองทุนสำรองที่อยู่อาศัยของยุคอนาคตแต่ใช้สำหรับการทำชลประทานและอนุรักษ์แหล่งน้ำ ปลูกป่าจัดซื้อทรัพยากรการผลิตที่มีความคงทน สวัสดิการประกอบด้วยการสนับสนุนห้าปัจจัย [3] อุดหนุนครอบครัวอดอยากความร่วมมือระบบบริการการแพทย์และกิจการสวัสดิการอื่นๆค่าธรรมเนียมการบริหารใช้เป็ค่าตอบแทนของหน่วยงานและรายจ่ายการบริหาร
หลี่เฟิ่งเหมยไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้แน่นอนทางชุมชนให้จ่ายเงินอะไร ทุกคนก็เพียงยึดตามความ้าแล้วปฏิบัติตามก็เท่านั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งไม่เข้าใจกันไปใหญ่หลังเกิดใหม่สองวันแรกเธอมัวแต่กังวลเื่ปากท้องต่อมาทำธุรกิจได้เป็รูปเป็ร่าง จนกระทั่งถึงตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่เคยได้ััชีวิตอันยากจนข้นแค้นที่แท้จริงของชนบทเลย
เมล็ดข้าวเหลืองอร่ามซึ่งถูกเลือกอย่างพิถีพิถันบรรจุไว้หลายกระสอบเซี่ยเสี่ยวหลานปฏิเสธในการทบทวนบทเรียนอยู่บ้านหลายวันมานี้หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินไม่อยากให้เธอออกไปข้างนอกแต่เซี่ยเสี่ยวหลานเป็พวกอยู่เฉยไม่ได้จึงจะไปชุมชนส่งผลผลิตให้รัฐกับหลี่เฟิ่งเหมย
หลี่เฟิ่งเหมยกลัวเธอจะเฉาตาย เลยยอมให้เซี่ยเสี่ยวหลานไปด้วยกัน
หรือจะบอกว่ามีจักรยานแล้วสะดวกก็ย่อมได้ จักรยาน 28 นิ้วสามารถขนผลผลิตได้หลายร้อยชั่งไม่มีจักรยานก็ต้องใช้รถเข็นลากไปถึงสถานีส่งผลผลิตระหว่างทางพบกับกลุ่มส่งผลผลิตของบ้านเฉินวังต๋ามารดาของเฉินชิ่งออกปากเรียกเซี่ยเสี่ยวหลานและหลี่เฟิ่งเหมยไว้
“ไปด้วยกันเถอะ กลางทางมีพรรคพวกอีกกลุ่มด้วย”
หลี่เฟิ่งเหมยดีใจไม่น้อย เอ่ยเรียกว่าพี่สะใภ้
ส่วนเซี่ยเสี่ยวหลานเรียกป้าอย่างอ่อนหวานเธอชอบคนในหมู่บ้านชีจิ่งมากทีเดียว คนเหล่านี้ย่อมต้องเคยพูดอะไรลับหลังบ้างอยู่แล้วแต่ไม่ใช่ประเภท้าให้หมดสิ้นหนทางด้วยเจตนาร้ายเป็หมู่บ้านที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขตอันชิ่งเหมือนกันแต่บรรยากาศของหมู่บ้านชีจิ่งกับหมู่บ้านต้าเหอไม่เหมือนกันเลย...เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่ามีความเกี่ยวข้องกับหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านชีจิ่งด้วย
สะใภ้ใหญ่เฉินดูใส่ใจเซี่ยเสี่ยวหลานถามถึงเื่ราวเกี่ยวกับการเรียนของเธออยู่ตลอดทาง
การทดสอบสองครั้งในวิชาภาษาอังกฤษของเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอได้คะแนนเต็มทั้งสองรอบวิชานี้คือวิชาจุดอ่อนของเฉินชิ่งเซี่ยเสี่ยวหลานระลึกความช่วยเหลือที่เฉินวั่งต๋ามีต่อพวกเธอแม่ลูกไว้ในใจจึงเสนอตัวบอกว่าจะช่วยเฉินชิ่งทบทวนบทเรียน
“ถ้าคุณป้าวางใจ พี่เฉินชิ่งปิดภาคเรียนแล้วฉันก็จะช่วยสอนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษให้เขาจ้ะ”
เกาเข่าวิชาภาษาอังกฤษในตอนนี้ไม่ได้ยาก ต่อให้เป็เกาเข่าในอนาคตขอเพียงรู้และเข้าใจคำศัพท์จำนวน 3,000 คำขึ้นไปก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ทว่าผู้เข้าสอบในอนาคตสะสมความรู้มาั้แ่ประถมมัธยมต้นและมัธยมปลาย จนถึงก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานจะได้เกิดใหม่ยังมีบางคนใช้ประโยชน์จากแอพลิเคชั่นช่วยท่องคำศัพท์ใน่เวลาว่างด้วยนับประสาอะไรกับปริมาณคำศัพท์แค่ 3,000 คำกัน?
แต่สำหรับผู้สอบในยุคนี้หรือผู้สอบจากพื้นที่ไกลปืนเที่ยงในปี 83 ก็ถือว่ายากเสียเหลือเกิน
คะแนนวิชาภาจีนจะแย่แค่ไหน เมื่อพบกับภาษาแม่ที่คุ้นเคยก็สามารถคว้าคะแนนบางส่วนมาได้อยู่ดี แต่ว่าวิชาภาษาอังกฤษนั้นไร้พื้นฐานฟื้นฟูเกาเข่าเมื่อหลายปีก่อนก็ไม่นับร่วมในคะแนนเกาเข่า สำหรับผู้สอบถือว่าเป็การเปลี่ยนแปลงที่ปุบปับกะทันหันมากอาจารย์ก็ไม่รู้จะสอนให้เป็ระบบได้อย่างไร
ต้องท่องจำเท่านั้น ไร้ซึ่งวิธีจดจำที่มีประสิทธิภาพสูงโดยสิ้นเชิง
เสียงสระและเสียงพยัญชนะ?
เห็นคำศัพท์ยังอ่านไม่ออก จะแยกแยะเสียงสระกับเสียงพยัญชนะได้อย่างไร?
วิชาภาษาอังกฤษไม่เพียงแต่เป็เสือขัดขวางหนทางเกาเข่าของเฉินชิ่งสำหรับผู้เข้าสอบคนอื่นก็เป็... หาก้าหาอาจารย์มาดูแลเป็พิเศษก็ต้องตามหาอาจารย์ดีๆ ! แม้เฉินวั่งต๋าจะรู้จักคนในตัวเมืองเขาก็หาเส้นสายแบบนี้ไม่ได้ เขาเป็เพียงหัวหน้าหมู่บ้านมิใช่หัวหน้าเขตเสียหน่อย
เซี่ยเสี่ยวหลานเรียนภาษาอังกฤษอย่างไรย่อมไม่มีคนรู้แต่เธอสอบได้คะแนนเต็มทั้งสองครั้ง เช่นนั้นก็แปลว่าเรียนได้ดี
มารดาเฉินชิ่งชอบใจยิ่งนัก จูงมือเซี่ยเสี่ยวหลานไว้ไม่ปล่อยคะแนนของเฉินชิ่งไม่ย่ำแย่ หากภาษาอังกฤษสามารถเพิ่มพูนได้อีก เกาเข่าปีหน้าก็จะยิ่งมั่นคงขึ้น—
“เสี่ยวหลาน อีกเดี๋ยวตอนส่งผลผลิตเธอก็ต่อแถวข้างหลังป้านะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานอ่านสีหน้าของป้าสะใภ้ไม่ออก แต่หลี่เฟิ่งเหมยกลับแย้มยิ้มไปทั้งใบหน้าเธองงงวยก็แค่เข้าแถว มีอะไรสำคัญด้วยหรือ?
เมื่อถึงตอนส่งผลผลิตเซี่ยเสี่ยวหลานถึงได้เข้าใจข้อดีของการต่อแถวหลังบ้านเฉินวั่งต๋า
ภายนอกสถานีส่งผลผลิตมีผู้คนเข้าแถวยาวเหยียดบ้านเฉินจะส่งผลผลิตก็ไม่แทรกแถวเพียงรอคอยบนทางนอกสถานีพลางหาเื่สนทนาไปเรื่อยๆ ภายในสถานีมีเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจผู้นำชุมชนกำลังนำหัวหน้าแต่ละหมู่บ้านตรวจสอบเรียงครัวเรือน
ยึดจากที่เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจไม่ใช่ว่าชั่งน้ำหนักตามใบประกาศแจ้ง ตรวจรับเสร็จแล้วปล่อยผลผลิตไว้ มิใช่นับว่าเสร็จสิ้นหนึ่งครัวเรือนแล้วหรือ?
เธอไร้เดียงสาเกินไปเสียแล้ว!
ส่งผลผลิตให้รัฐไม่ได้ราบรื่นง่ายดายเช่นนี้เลยต่างหาก
ต่อแถววนถึงบ้านไหนเมื่อไรคนของสถานีจะนำแท่งเหล็กโปร่งกลางแทงเข้าไปในกระสอบดึงออกมาก็จะสามารถนำผลผลิตมาตรวจสอบได้ข้าวสาลีของมณฑลอวี้หนานโตเต็มที่ในเดือนมิถุนายนปลายเดือนมิถุนายนก็ส่งข้าวสาลีให้สถานีรับผลผลิตหนึ่งรอบ ส่วนครั้งนี้เป็ข้าว
แท่งเหล็กติดข้าวออกมาเล็กน้อย คนของสถานีเทลงบนฝ่ามือเพื่อพิจารณา
“ไม่ผ่าน”
คนส่งผลผลิตได้แต่แย้มรอยยิ้มพูดจาอ่อนหวาน ไม่รู้ว่าพูดอย่างไรต่อมาถึงกลายเป็ผลผลิตระดับสามได้
ผลผลิตระดับสามถือว่าผ่านมาตรฐานแล้ว แต่ระดับของผลผลิตต่ำปริมาณที่ต้องส่งก็เพิ่มขึ้น—เกณฑ์การประเมินอยู่ในมือของผู้ประเมินจากสถานีรับผลผลิตมีแต่ประเมินให้ต่ำ แทบไม่มีผลผลิตระดับหนึ่งปรากฏออกมาเลย
เข้าแถวจนเกือบเที่ยงวัน ในที่สุดก็วนมาถึงบ้านเฉิน
คนของสถานีเห็นสะใภ้ใหญ่เฉินเข้า สีหน้ายังคงขึงขังเหมือนเดิม แต่กลับประเมินข้าวของครอบครัวเธอให้เป็ ‘ระดับหนึ่ง’ ในทันที
เซี่ยเสี่ยวหลานดูความแตกต่างของข้าวไม่ออกเหล่าคนโดยรอบย่อมไม่อยากจำนนอยู่แล้ว ทว่าไม่มีใครโตแย้งกับคนของสถานี ทว่าอย่างไรเสียสุ้มเสียงกระซิบกระซาบย่อมต้องมีบ้าง
“บ้านเฉินจากชีจิ่งชุน”
“เฉินวั่ง...”
“ชู่ อย่าเอ็ดไป”
เฉินวั่งต๋าไม่จำเป็ต้องเดินมาด้วยซ้ำชายชรากำลังติดตามผู้นำของชุมชนอยู่ เมื่อวนถึงครอบครัวของเขาคนของสถานีรับผลผลิตก็ประเมินเป็ ‘ระดับหนึ่ง’ ให้โดยอัตโนมัติเซี่ยเสี่ยวหลานพินิจเคล็ดลับออกแล้วเช่นกัน คนสร้างกิตติศัพท์ต้นไม้สร้างเงา [4] ความน่าเกรงขามของชายชราอยู่ถึงระดับนั้นคนของสถานีย่อมไม่กล้าเล่นตุกติก
ตรวจรับผลผลิตของบ้านเฉินได้อย่างว่องไวมาก ครู่เดียวก็วนมาถึงครอบครัวของหลี่เฟิ่งเหมยหลี่เฟิ่งเหมยและเซี่ยเสี่ยวหลานชั่งน้ำหนักข้าวเป็อย่างดีที่บ้านแล้ว ทุกกระสอบ 100 ชั่งพอดี แต่พอมาถึงสถานีรับผลผลิตกลับชั่งได้ไม่ถึง 80 ชั่งด้วยซ้ำ—สีหน้าหลี่เฟิ่งเหมยไม่เบิกบานเอามากๆแต่ก็ไม่กล่าวอะไร
เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจถึงกลิ่นตุๆ ในเื่นี้ได้นานแล้ว แต่เธอจะพุ่งออกมาเปิดโปงได้หรือ? การฟาดฟันต่อสู้ในที่ทำงานไม่ใช่ว่าเป็พลังงานบวกของความกระตือรือร้นก้าวหน้าทั้งหมดเซี่ยเสี่ยวหลานตระหนักอยู่เสมอว่าพวกแอบลอบกัดนั้นรับมือยาก
“นี่ก็ของบ้านฉัน”
สะใภ้ใหญ่เฉินโพล่งออกมาอีกหนึ่งประโยค
คนของสถานีดูในใบรับผลผลิต เ้าบ้านแซ่หลิว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับแซ่สกุล ‘เฉิน’ เลยแม้แต่นิดเดียวจะเป็บ้านเดียวกันได้อย่างไร?
เชิงอรรถ
[1]生产队 คณะผลิต คือการรวมกลุ่มภายใต้เศรษฐศาสตร์การเกษตรในระบอบสังคมนิยมของประเทศจีนคณะผลิตจะมีหน้าที่ทำการผลิตทางเกษตรกรรม โดยสามารถร่วมกันวางแผนการเกษตรเองได้แต่รับผิดชอบความเสียหายและกำไรด้วยตนเองเช่นกันเมื่อถึงเวลาก็ส่งผลผลิตและจ่ายภาษีเกษตรกรรมให้รัฐ
[2]杂交水稻 ข้าวลูกผสม คือข้าวที่ผสมพันธุ์ข้าวสองสายพันธุ์เข้าด้วยกันช่วยให้ปริมาณข้าวเพิ่มมากขึ้นต่อจำนวนพื้นที่เพาะปลูก แก้ปัญหาผลผลิตน้อยแต่มีข้อจำกัดคือต้องใช้ความชำนาญในการเพาะเมล็ดสูงมากเนื่องจากในรุ่นสามเป็ต้นไปจะได้ข้าวที่ไม่สมบูรณ์ จึงต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ในเกือบทุกรอบของการเพาะปลูก
[3]五保户 สนับสนุนห้าปัจจัย คือ การรับรองเลี้ยงดูเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี คนชรา และผู้พิการที่ไม่มีความที่มาของรายได้โดยรับรองด้านการรับประทานอาหาร เสื้อผ้า การรักษาโรค ที่อยู่อาศัย และการทำพิธีศพถ้าเป็เด็กกำพร้าจะได้รับการศึกษาด้วย
[4]人立名树立影 คนสร้างกิตติศัพท์ต้นไม้สร้างเงา หมายถึงต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาให้คนพึ่งพิงอาศัยความร่มเย็นฉันใดผู้มีเกียรติยศมากก็จะมีคนอาศัยประโยชน์จากชื่อเสียงได้ฉันนั้น