การส่งผักดองไปฝากขายกับร้านอาหารได้เงินดีกว่าการขายปลีกตามที่คาดไว้ ภายในหนึ่งเดือนฮั่วเสี่ยวเหวินสามารถหาเงินได้ถึงสามร้อยกว่าหยวน
แม้จะได้เงินเร็วไม่เท่ากับการขายลูกสาวของบ้านฮั่ว แต่ดีกว่าเงินเดือนเก้าสิบหยวนของจางเจียิมาก
แต่เมื่อกิจการขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมก็ย่อมมีปัญหาตามมา เริ่มจากปัญหาด้านการหาซื้อผักกาดขาวในหมู่บ้าน มีคนบอกว่ามีร้านขายผักดองในตำบลให้ราคาผักกาดขาวสูงกว่าฮั่วเสี่ยวเหวิน ส่งผลให้เธอต้องไปหาซื้อจากหมู่บ้านข้างเคียงแทน
ต่อด้วยปัญหาด้านการแข่งขัน เดิมทีผักดองก็ไม่ได้ทำยาก คนในหมู่บ้านเห็นว่าฮั่วเสี่ยวเหวินทำเงินได้เยอะมากก็พากันเลียนแบบและขายให้ร้านอาหารตาม
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฮั่วเสี่ยวเหวินนำผักดองไปส่งในตำบลแต่ถูกร้านที่เคยส่งให้มาโดยตลอดปฏิเสธไปสองร้าน ร้านให้เหตุผลว่าผักดองของคนอื่นทั้งดีและราคาถูกกว่า
เื่นี้ไม่ได้ร้ายแรง ก็แค่ได้เงินจากการจัดซื้อและขายส่งน้อยลงเท่านั้น
แต่ใครจะไปคิดว่าวันก่อนจางซู่นำผักไปส่งกลับมาแล้วเล่าว่าเกิดปรากฏการณ์ผักดองเป็พิษขึ้นในตำบล ทางตำรวจเข้ามาทำการสอบสวน ฮั่วเสี่ยวเหวินถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงบนเก้าอี้เมื่อได้ยินข่าวนี้
ความจริงเื่ราวไม่ได้ร้ายแรงแบบที่จางซู่เล่า เหตุการณ์คือมีคนไปทานอาหารที่ร้านอาหารแล้วถ่ายท้องและอาเจียนเมื่อกลับถึงบ้าน หลังจากลูกค้าแจ้งความ ทางตำรวจตรวจสอบแล้วพบว่าเกิดจากปัญหาด้านคุณภาพของผักดอง
ผักดองจะเสียง่ายมากหากไม่ตากผักกาดให้แห้งสนิทหรือปิดภาชนะไม่มิดชิด หลายคนในหมู่บ้านค่อนข้างยากจน เสียดายผักกาดขาว ผสมผักดองที่เสียแล้วไปขายพร้อมกับผักดองที่ยังดีอยู่
จางซู่คือนักจัดซื้อที่ฮั่วเสี่ยวเหวินหามา เนื่องจากก่อนหน้านี้เกิดปัญหาด้านการจัดซื้อ ฮั่วเสี่ยวเหวินจึงต้องหาคนมาช่วยตัวเองจัดซื้อผักกาดขาวจากหมู่บ้านข้างเคียง หากมีเวลาเขาก็จะช่วยส่งสินค้าไปขายในตำบลด้วย
ต่อให้ผักดองขายได้ไม่ดีเท่าเดิมก็ต้องจ่ายค่าแรงเหมือนเดิม และไม่ใช่แค่จางซู่คนเดียวด้วย
เฉินอวี่โหรวฉลาดมาก เมื่อได้ยินว่าฮั่วเสี่ยวเหวินให้เงินเดือนจางซู่ก็รีบบอกว่าตัวเองมีผลงานด้านการขายเช่นกัน อีกทั้งตอนนี้เธอยังช่วยฮั่วเสี่ยวเหวินทำผักดองด้วย ต้องมีเงินเดือนเช่นกัน
สรุปก็คือ ตอนนี้เธอมี ‘พนักงาน’ สองคนรอรับเงินเดือนอยู่ คนงานหาง่ายแต่เลิกจ้างยาก จางซู่เป็คนที่เธอให้เฉินอวี่โหรวไปเกลี้ยกล่อมมา ฮั่วเสี่ยวเหวินตัดสินใจไล่ออกพร้อมเงินเดือนไม่ลง
ตอนนี้ฮั่วเสี่ยวเหวินปวดหัวมาก อยู่บ้านไปก็ไม่มีอะไรทำจึงออกไปเดินเล่น
แต่การเดินเล่นบนท้องถนนไม่ได้ช่วยผ่อนคลายเท่าใดนัก มีคนเข้ามาทักทายเป็ครั้งคราว
“เสี่ยวเหวิน วันนี้ไม่ทำผักดองหรือ?”
“เสี่ยวเหวิน เดี๋ยวนี้รวยใหญ่แล้วนะ”
ก็แค่พวกคนที่อิจฉาที่เธอหาเงินได้ ฮั่วเสี่ยวเหวินจึงต้องใช้เส้นทางที่เปลี่ยวแทน ทำให้เธอเดินมาถึงบนูเาโดยไม่รู้ตัว
ลมเย็นพัดผ่านูเา เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปก็มีแต่ใบไม้เขียวชอุ่ม เงาไม้กระจัดกระจายทอดเงาลงบนพุ่ม
แต่ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่มีอารมณ์มาชมทิวทัศน์ เื่ในอดีตฉายขึ้นในหัวเหมือนภาพยนตร์ ั้แ่ความดีใจตอนหาเงินได้ครั้งแรก ความเสียใจตอนตัวเปียกเป็ไก่ตกน้ำหลังจากขายผักดองกลับมา ความลำบากที่ต้องเก็บผักกาดขาวจนดึกดื่น…
ฮั่วเสี่ยวเหวินรู้สึกเปียกชื้นที่ดวงตา จมูกร้อนผะผ่าวก่อนจะร้องไห้ออกมา ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตอนที่ถูกแม่ของเ้าเป๋สามขาบังคับพากลับบ้าน รู้สึกถึงความสิ้นหวังไม่รู้จบ
จางเจียิยืนมองเธอร้องไห้อยู่ไกลๆ เฝ้ามองดูเธอขดตัวเป็ก้อน เขารู้สึกปวดใจเช่นกัน
ทุกคนต่างก็มี่เวลาที่อ่อนแอ หลังจากปลดเปลื้องหน้ากากออก ฮั่วเสี่ยวเหวินดูน่าสงสารมาก จางเจียิเดินเข้าไปหา เขายืนทำอะไรไม่ถูกอยู่หน้าเธอ
เธอทำตัวเข้มแข็งมาโดยตลอด คอยบังคับให้เขาลาออกจากงานมาทำผักดองกับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ตอนนี้เธอกลับดูหมดหนทาง
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยยอมรับกับตัวเอง ความจริงคือเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก
ฮั่วเสี่ยวเหวินยิ่งมีความสามารถ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า…ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่เอาแต่บอกให้เขาลาออกมาหาเงินด้วยกันกับเธอ ในที่สุดเขาก็ไม่อาจเข้าไปกอดเธอได้เหมือนเมื่อก่อน ไม่อาจพูดกับเธอว่า ‘ไม่ต้องกลัว มีพี่อยู่ทั้งคน’
ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมานาน จำได้กระทั่งเสียงฝีเท้าของอีกฝ่าย ฮั่วเสี่ยวเหวินรู้ว่าจางเจียิมาแล้ว เธอลุกขึ้นพุ่งตัวเข้าสู่อ้อมอกของเขา
อ้อมอกของเขายังคงกว้างและอบอุ่น กลิ่นอันคุ้นเคยส่งจากจมูกไปทั่วร่าง ฮั่วเสี่ยวเหวินร้องไห้หนักกว่าเดิม
ฮั่วเสี่ยวเหวินได้ัักับความสุขอีกแบบ ความสุขที่โลกนี้ยังมีคนคนหนึ่งคอยให้กำลังใจเมื่อเธอประสบความสำเร็จ และคอยร้องไห้เป็เพื่อนเมื่อเธอล้มเหลว
……
เื่ราวดูจะไม่ได้เลวร้ายนัก หลังจากข่าวลือเบาลงฮั่วเสี่ยวเหวินยังคงส่งสินค้าให้ร้านอาหารตามเดิม เพียงแต่ขายได้น้อยลงเท่านั้น
เมื่อผักดองกลับมาขายได้ตามปกติ คนในหมู่บ้านจึงเริ่มกลับมาทำเช่นกัน ฮั่วเสี่ยวเหวินอดกังวลไม่ได้ว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรจริงๆ
ฮั่วเสี่ยวเหวินบอกเล่าถึงความกังวลของตัวเองให้จางเจียิฟังระหว่างทานมื้อเย็น จางเจียิไม่รู้จะช่วยอย่างไร เขาบอกเธอว่าเลิกทำก็ได้ เขาจะเลี้ยงดูเธอเอง
ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่ได้พูดอะไร งานที่โรงงานอิฐสามารถทำได้ทั้งชีวิตหรือ? เธอไม่มีอารมณ์มาเถียงเื่นี้กับเขา
นึกไม่ถึงว่าเฉินอวี่โหรวจะเสนอความคิดดีๆ ให้ “เสี่ยวเหวิน เธอต้องสร้างยี่ห้อของตัวเอง ทำให้ตัวเองเป็ที่รู้จัก จากนั้นยึดร้านอาหารสักสองสามแห่งเป็คู่ค้าแบบประจำ เช่นนี้เวลาเจอปัญหาเธอจะได้ไม่โดนผลกระทบมากเกินไป”
ฮั่วเสี่ยวเหวินอ้าปากค้าง นี่มันใช่หลักการทางธุรกิจที่เด็กหญิงอายุสิบห้าสิบหกจะพูดออกมาได้หรือ?
ทั้งเกลี้ยกล่อมเถ้าแก่ร้านอาหารสำเร็จอย่างง่ายดาย ทั้งเข้าใจเื่ภาพลักษณ์ของยี่ห้อ ฮั่วเสี่ยวเหวินสงสัยว่าเธอใช่แม่เฒ่าทาริกาหรือไม่
ฮั่วเสี่ยวเหวินนึกถึงความเป็ไปได้อย่างหนึ่งด้วยความรวดเร็ว…อีกฝ่ายอาจจะทะลุมิติมาเช่นกัน ทั้งก่อนหน้านี้อาจเคยเป็นักธุรกิจ
เมื่อนึกถึงว่าตัวเองได้เจอพวกเดียวกัน ฮั่วเสี่ยวเหวินอดตื่นเต้นไม่ได้
“เธอทะลุมิติมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเหมือนกันหรือ?”
เฉินอวี่โหรวมองเธอเหมือนมองคนบ้า “ทะลุมิติอะไรนะ”
ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่เชื่ออยู่แล้ว จึงค่อยๆ เค้นความจริง “ถ้าอย่างนั้นเธอมีความรู้ด้านธุรกิจเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร? อย่าบอกนะว่าอ่านเจอจากในหนังสือ”
“พ่อฉันเป็นักธุรกิจ เคยตามออกไปเที่ยวด้วยบ่อยๆ เขาเป็คนบอกหลักการทางธุรกิจให้ฉันฟัง”
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ ฮั่วเสี่ยวเหวินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย พ่อของเธอทำธุรกิจเก่งขนาดนี้ ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่รู้ว่าเธอผ่านอะไรมาแต่รู้ว่าพ่อของเธอต้องมาตามหาแน่ และสักวันหนึ่งเฉินอวี่โหรวก็ต้องกลับไป
แต่ตอนนี้ต้องรีบแก้ปัญหาก่อน ฮั่วเสี่ยวเหวินเริ่มวางแผนจัดการปัญหาด้านยี่ห้อของตัวเอง
คิดอยู่เนิ่นนานฮั่วเสี่ยวเหวินตัดสินใจใช้ห้องห้องหนึ่งในบ้านมาทำผักดองโดยเฉพาะ พร้อมกันนั้นยังเขียนป้ายว่า ‘ร้านผักดองสกุลฮั่ว’ เท่านี้ก็มีที่ให้ลูกค้าตรวจสอบแล้ว
เธอเตรียมจัดพิธีเปิดเหมือนโรงงานอิฐ เชิญลูกค้าทุกคนมาร่วมงาน ถือเป็การเปิดกิจการอย่างเป็ทางการ
ตอนที่ฮั่วเสี่ยวเหวินพูดเื่นี้ จางเจียิไปลาหยุดกับทางโรงงานเป็เวลาสามวันเพื่อมาช่วยงานเธอทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้