เสียง “เพล้ง” ดังขึ้นในตำหนักเฉียงเวย
ฉู่ชิงเฉียงจับขวดแจกันหยกเขวี้ยงลงกับพื้นอย่างสุดแรง แววตาของนางเปี่ยมด้วยความอาฆาตเคียดแค้น “มู่อวิ๋นจิ่น นางคนชั้นต่ำ! รอดตัวไปได้อีกแล้ว! ”
“องค์หญิงอย่ากริ้วเพคะ วันหน้ายังอีกยาวไกล พวกเราย่อมต้องหาวิธีโค่นนางลงได้เพคะ” บ่าวใช้หว่านซิ่วพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าให้องค์หญิงห้าสบายพระทัย
“เชอะ! วิธีอะไรกัน! ตอนนี้ข้าถูกนางผู้หญิงชั้นต่ำกุมความลับอยู่ หากไม่กำจัดนางโดยเร็ววัน ไม่ช้าไม่นาน ข้าต้องถูกนางกำจัดทิ้งเป็แน่… คนอย่างฉู่ชิงเฉียงไม่เคยถูกใครหน้าไหนข่มขู่มาก่อน!” ฉู่ชิงเฉียงพูดด้วยความแค้นเคือง
ในระหว่างนั้นเอง ขันทีน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาในตำหนัก “องค์หญิง มีคนส่งจดหมายมาจากนอกวังขอรับ”
จากนั้นขันทีน้อยโค้งตัวลง พร้อมกับยื่นซองจดหมายมอบให้กับฉู่ชิงเฉียง
ฉู่ชิงเฉียงปรายตามองจดหมายฉบับนั้น พร้อมกับหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน ก่อนขยำจดหมายด้วยมือที่สั่นเครือ ริมฝีปากขบกันแน่น หันไปคว้าแจกันหยกขาวสี่ห้าใบเขวี้ยงลงพื้นอย่างแรง
“ชิชะเ อยากให้ข้ารู้จักหน้าที่! มู่อวิ๋นจิ่น เ้าใจกล้าบังอาจมาต่อกรกับองค์หญิงอย่างข้า อย่างนั้นอย่ามาหาว่าจิตใจโเี้อำมหิตแล้วกัน!” ฉู่ชิงเฉียงแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย พร้อมฉีกจดหมายเป็เสี่ยง ๆ
“ทหาร นำจดหมายของเปิ่นกงจู่ส่งไปที่ชายแดน ในเมื่อเปิ่นกงจู่จัดการนางชั้นต่ำไม่ได้ ก็จะหาคนอื่นมาจัดการนางแทนจะเป็ไรไปเชียว!”
…
(เมื่อเดินทางกลับมาที่จวนองค์ชายหก)
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้โยกเยกที่ด้านหลังสวน พลางหยิบตำราขึ้นมาเปิดอ่านด้วยว่ากำลังอ่านติดพัน
จื่อเซียงยืนพัดลมเย็น ๆ ให้กับมู่อวิ๋นจิ่น ด้วยความฉงนใจที่เห็นนางอ่านไปหัวเราะไป จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “คุณหนู อย่าบอกว่าไม่รู้จักตัวอักษรนะเ้าคะ? ”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังแอบเหล่ตามองทันใด “ใครบอกว่าข้าอ่านตำราไม่ออก?”
“ทำไมวันนี้คุณหนูดูอารมณ์ดีเป็พิเศษเ้าคะ?” จื่อเซียงเอ่ยถามยิ้มแย้ม
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้างก ๆ “แน่นอนน่ะสิ การทำให้คนที่คิดทำร้ายพวกเราเดือดพล่านบ้าง ไม่ดีหรอกหรือ?”
“หากเป็เช่นนั้น เื่นั้นก็ย่อมดีมิน้อย แต่น่าเสียดายคุณหนูเวินที่ไท่เฟยอยากจับคู่นางให้กับองค์ชายสาม ไม่ก็องค์ชายแปด ดูท่าแล้วชาตินี้คงไม่มีทางเป็ไปได้อีกแล้ว” จื่อเซียงเอ่ยขึ้น
“คุณหนู บ่าวเห็นว่าคุณหนูเวินน่าสงสารอยู่มิน้อย เพราะนางถูกองค์หญิงห้าบีบบังคับมิใช่หรือเพคะ?” จื่อเซียงถามขึ้นอีกครั้ง
มู่อวิ๋นจิ่นเอาแต่ยิ้มมุมปาก “เื่นี้ปล่อยให้พี่ใหญ่เป็คนจัดการแล้วกัน”
จู่ ๆ มู่อวิ๋นจิ่นกลับรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกจนกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก ก่อนจะเอ่ยขึ้นจากความรู้สึกภายใน “จื่อเซียง พวกเราไปวัดสุ่ยอวิ๋นเดี๋ยวนี้เลย!”
พอกล่าวจบแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็แปลกใจกับสิ่งที่นางพูดออกมาเหมือนกัน
……
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามทั้งสองก็เดินทางมาถึงวัดสุ่ยอวิ๋น
มู่อวิ๋นจิ่นและจื่อเซียงเดินเข้าไปในห้องลับ เดินไปได้ประมาณสิบห้านาที มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินมาถึงหน้าประตู
“จื่อเซียง เ้ารอข้าอยู่ข้างนอก หากมีใครมาก็ะโบอกข้าด้วย”
“ได้เ้าค่ะ คุณหนู”
มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปในห้องลับ ก่อนจุดโคมไฟนำทาง และค่อย ๆ เยื้องย่างเข้าไปด้านในทีละก้าวอย่างระมัดระวัง
ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่นางเข้ามาด้านในจะมีฉู่ลี่และท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนมาด้วย ทำให้ไม่รู้สึกเคว้งคว้าง
ทว่าในวันนี้ นางต้องเดินเข้ามาเพียงลำพัง ทุกย่างก้าวที่เยื้องย่างจะต้องเพิ่มความระวังให้มากขึ้นเป็พิเศษ
ก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไปในค่ายกล เท้าของมู่อวิ๋นจิ่นหยุดชะงัก นางวางโคมไฟนำทางลง จากนั้นจึงหลับตาอย่างช้า ๆ หวนระลึกถึงแสงรังสีอินฟราเรดที่ไขว้กันไปมา
จากนั้นไม่นาน มู่อวิ๋นจิ่นค่อย ๆ เม้มปาก ถอนลมหายใจยาว และก้มตัวหมอบลงกับพื้น ค่อย ๆ คลานอย่างระวังโดยไม่ให้ตัวัักับรังสีอินฟราเรด
แต่เนื่องจากท่านอาจารย์คงซื่อได้เพิ่มเสียงกลไกเตือนภัยไว้แ่า มู่อวิ๋นจิ่นจึงไม่สามารถขยับตัวเร็วได้ดั่งใจ้า
“มู่เอ๋อร์ นั่นใช่เ้าหรือไม่?”
ภายในห้องลับมีเสียงของสตรีที่แหบแห้งและสั่นเครือดังขึ้นมา จนมู่อวิ๋นจิ่นใจนมิกล้าขยับเขยื้อนตัว
“มู่เอ๋อร์ นั่นใช่เ้าหรือไม่?”
เสียงของสตรีผู้นั้นยังคงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความหวังและดีใจ
เมื่อได้ยินเสียงของสตรีที่อยู่ในห้องลับดังขึ้น สายตาของมู่อวิ๋นจิ่นกลับกลอกไปมาด้วยความตระหนกใ
“เ้าเป็ใครกัน?” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดหวั่นใจ
ทันทีที่สตรีผู้นั้นได้ยินเสียงของมู่อวิ๋นจิ่น นางก็หัวเราะหึ ๆ เสียงต่ำออกมา
“ท่านอาจารย์คงซื่อบอกข้าว่าให้รอสตรีที่ชื่อมู่เอ๋อร์ โดยบอกว่ามีเพียงมู่เอ๋อร์เท่านั้นที่จะช่วยข้าออกไปได้”
“ท่านคือหรงเฟยใช่หรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยถามอย่างฉงน
สตรีที่อยู่ในห้องลับหัวเราะ ก่อนตอบออกมา “ใช่ ข้าเอง!”
พอทราบว่าสตรีผู้นั้นคือหรงเฟย มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับร้องออกมาด้วยความใ “เหตุใดสองครั้งก่อนที่หม่อมฉันมาที่นี่กับฉู่ลี่แล้วไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้นล่ะเ้าคะ?”
“เหอะ ๆ เพราะมีบางเื่ที่ข้าต้องพูดกับเ้าตามลำพัง”
“มู่เอ๋อร์ ในใต้หล้าแห่งนี้ มีเ้าเพียงผู้เดียวที่ข้าสามารถเชื่อใจได้”
…
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเดินออกมาจากห้องลับ พลันสีหน้าของนางกลับซีดขาวเหมือนไก่ต้มราวกับผ่านความตื่นใจนขวัญหนีดีฝ่อ
คิดมาถึงตรงนี้ มู่อวิ๋นจิ่นจึงก้มหน้ามองข้อมือ นางเห็นรอยรูปขนหงส์สีทองปรากฏขึ้น พลันทราบได้ทันทีว่าเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็ความจริง
ไม่นึกไม่ฝันว่าหรงเฟยจะอยู่ภายในห้องลับนั้น
ระหว่างทางที่เดินกลับออกไป มู่อวิ๋นจิ่นไม่ทราบว่ารอยรูปขนหงส์มาปรากฏที่ข้อมือของนางได้อย่างไร แต่มันเหมือนซึมผ่านิั และเข้าไปสู่ร่างกาย
เมื่อเดินทางกลับมาถึงจวนองค์ชายหก เป็เวลาที่ตะวันได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
มู่อวิ๋นจิ่นลงจากรถม้า ก้มหน้าลงมองข้อมือ ตอนนี้รอยรูปขนหงส์กลับมลายหายไปแล้ว จนนางเกิดความฉงนใจขึ้นมา
พอมู่อวิ๋นจิ่นกลับมาที่จวนก็พรวดเข้าไปที่เรือนลี่เฉวียนทันที จากนั้นแอบแง้มหน้าต่างมองไปห้องที่อยู่เยื้องกัน เห็นแสงไฟถูกจุดอยู่ นางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อปิดหน้าต่างลง ข้อมือของนางกลับเรืองแสงรูปขนหงส์สีทองขึ้นมาอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลังของนางว่า “คารวะนายหญิงมู่เอ๋อร์”
มู่อวิ๋นจิ่นสะดุ้งโหยงกับเสียงที่ดังขึ้นมา เมื่อหันหลังไปมอง นางเห็นบุรุษหนึ่งคนและสตรีอีกหนึ่งคนที่มีท่าทางแปลกพิลึก
สตรีคนนั้นสวมชุดสีชมพู ปล่อยผมสีม่วงยาวลงมาถึงบ่า แววตากลมใสสุกสกาว ฉีกยิ้มส่งให้มู่อวิ๋นจิ่นและสิ่งที่แปลกพิลึกที่สุดคือนางมีหูยาวเหมือนแมว
ส่วนบุรุษนั้นใส่ชุดเกราะสีทอง มีผมสีเงิน พร้อมกับปีกวิหคที่สามารถเก็บและสยายได้ทุกเมื่อ
“พวกเ้าเป็… คน ผี หรือปีศาจ?”
ทันทีที่สตรีคนนั้นเดินเข้ามาหยุดยืนเบื้องหน้ามู่อวิ๋นจิ่น นางยิ้มให้พร้อมร้องออกมาว่า “เหมี๊ยว”
“เหมียว นายหญิงมู่เอ๋อร์ หม่อมฉันชื่อฉีฉี่” เสียงของฉีฉี่เต็มไปด้วยความออดอ้อนและอ่อนหวาน
“คารวะนายหญิง กระผมชื่อซิวเม่ย”
เมื่อทั้งสองแนะนำตัวเป็ที่เรียบร้อยแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นกลับรู้สึกว่า ที่ข้อมือของนางประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวอุ่นขึ้นมา
มู่อวิ๋นจิ่นจึงก้มมองข้อมือของนาง เห็นรูปขนหงส์สีทองกะพริบแสงสีทองไม่หยุดหย่อน
“พวกเราคือผู้พิทักษ์ตำหนักหวงอวี่ หลายปีมานี้เสาะแสวงหานายหญิงมาโดยตลอด แต่กลับไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อย ในวันนี้รูปขนหงส์สีทองได้ปรากฏขึ้นมา ทำเอาหม่อมฉันและซิวเม่ยต่างเดินตามหาว่าเป็ใคร” ฉีฉี่เล่าให้ฟัง
สิ่งที่ฉีฉี่เล่าออกมานั้นทำให้มู่อวิ๋นจิ่นค่อยปะติดปะต่อเื่ราวได้หน่อย แต่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของฉีฉี่ทำให้คนที่เห็นเกิดความสงสัยขึ้นมา “เ้าเป็คนหรือเป็แมวกันแน่?”
“เหมียว หม่อมฉันเป็ทั้งคนและก็เป็ทั้งแมว สรุปแล้วจิติญญาภายในคือแมวเ้าค่ะ” ฉีฉี่ยกมือที่มีกรงเล็บแสดงให้มู่อวิ๋นจิ่นดู
หลังจากนั้นนางชี้ไปทางซิวเม่ยที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เขาเป็ครึ่งนกกระเรียนครึ่งมนุษย์เ้าค่ะ”
“แล้วคนในตำหนักหวงอวี้ล้วนเป็แบบนี้ทุกคนหรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วถามขึ้นด้วยไม่รู้จะถามเื่ใด
ฉีฉี่พยักหน้ารับ “ใช่เ้าค่ะ ในตำหนักหวงอวี่ มีอีกชื่อว่าตำหนักปาณภูต ผู้ที่อยู่ในตำหนักนี้ล้วนมีรูปร่างเป็ครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์”
“อย่างนั้นหรงเฟย…” มู่อวิ๋นจิ่นกลับไม่ได้ถามต่อ
หรงเฟยเป็แค่พระสนมเฟยผิน เหตุใดถึงมาอยู่ที่ตำหนักหวงอวี่ได้ นี่ดูแล้วจะเลอะเลือนไปกันใหญ่แล้ว
“หืม? หรงเฟยคือใครกัน?” ฉีฉี่เบิกตาโพลงใช้มือเกาหูทั้งสองข้างไปมา
“ไม่มีอะไรหรอก” มู่อวิ๋นจิ่นปัดปฏิเสธไป
ฉีฉี่จึงพยักหน้ารับแล้วขยับก้าวเดินเข้าไปใกล้มู่อวิ๋นจิ่นก้าวหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่ร่างของมู่อวิ๋นจิ่น “อย่างนั้นนายหญิงเป็ปาณภูตชนิดใดกัน?”
“ข้าเป็มนุษย์” มู่อวิ๋นจิ่นตอบอย่างจนปัญญา
“มนุษย์?” ฉีฉี่ร้องออกมาด้วยความใ จนต้องหันไปมองซิวเม่ยด้วยแววตาฉงนงงงวย ว่าตำหนักหวงอวี่ถูกพวกมนุษย์เข้าไปยึดครองแล้วหรือ
ซิวเม่ยส่ายหน้าให้กับฉีฉี่พลางปรามขึ้นว่า “จะเสียมารยาทไม่ได้เด็ดขาด”
“นั่นสิ” ฉีฉี่ยกมือขึ้นประสานขออภัย จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “นับจากนี้ต่อไป ฉีฉี่จะอยู่ข้างกายนายหญิง และปกป้องนายหญิงอย่างสุดความสามารถเ้าค่ะ”
“ซิวเม่ยก็ด้วยเช่นกันขอรับ”
มู่อวิ๋นจิ่นมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ทว่าก็พยักหน้ารับแต่โดยดี “พวกเ้าไม่ต้องเกรงใจมากถึงเพียงนี้หรอก!”
“เหมียว ตอนนี้ก็ดึกดื่นมากแล้ว นายหญิงรีบพักผ่อนก่อนเถอะเ้าค่ะ” ฉีฉี่พูดจบ มู่อวิ๋นจิ่นก็สังเกตเห็นข้อมือของฉีฉี่เรืองแสงรูปขนหงส์สีทอง เหมือนที่นางมีเช่นกัน
“นี่เป็สัญลักษณ์พิเศษแห่งตำหนักหวงอวี่ ยามปกติจะไม่เรืองแสง แต่หากมีอันตรายมาถึงนายหญิง สัญลักษณ์นี้จะส่งสัญญาณเตือนให้พวกเราทราบ ถึงตอนนั้นพวกเราจะปรากฏตัวข้างกายนายหญิงทันทีเ้าค่ะ” ฉีฉี่ยิ้มมุมปาก
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นรีบก้มมองข้อมือของตัวนางเอง และพบว่าแสงสีทองได้หายวับไปแล้ว
“ในเมื่อได้พบหน้านายหญิงแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะไม่รบกวนอีกแล้วขอรับ” ซิวเว่ยที่นิ่งเงียบอยู่นานเอ่ยปากขึ้นบ้าง
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับด้วยความเข้าใจ
จากนั้นฉีฉี่ได้ปล่อยพลังภายในออกมา เห็นเป็แสงสีชมพูเปล่งประกายรอบตัวซิวเว่ย ส่วนั์ตาของเขาเป็สีเงิน กระทั่งทั้งสองเดินจากไป แต่เพียงไม่กี่ก้าว ร่างนั้นก็ได้มลายหายวับไปภายในห้องนอนมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นเอาแต่ถอยหลังจนติดกำแพงห้อง มองดูภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าจะใช้คำใดมาอธิบายถึงสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไรดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้