อารามเต๋าของเจียงเฉิงเยว่ห่างจากหมู่บ้านค่อนข้างไกล ตั้งอยู่บนไหล่เขา ถนนหนทางลำบากและอันตรายยิ่ง ดังนั้นรังเล็กๆ ที่เขาปักหลักอยู่อย่างสงบนี้จึงสร้างได้ไม่ค่อยดีนัก มีหนึ่งวิหารหลัก สองห้องปีกข้าง และหนึ่งห้องครัว มีน้ำตกอยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบจั้ง อากาศหนาวเย็นในฤดูหนาวกับฤดูร้อนมีความชื้นสูง ยังไม่ถึงเดือนสิบก็ต้องเปิดเตาเพื่อให้ความอบอุ่น โชคดีที่ตั้งบนไหล่เขาจึงมีฟืนทุกชนิด เงื่อนไขนั้นยากลำบากเล็กน้อย ฉิงชางจวินผู้อายุน้อยกว่าสามร้อยปีจึงเปิดใจยอมรับ ไม่สนใจเงื่อนไขภายนอกเท่าไรนัก
เจียงเฉิงเยว่ยืนอาบแสงจันทร์อยู่บนไหล่ทางมองไปที่อาคารมืดมิด้า เป็ครั้งแรกในรอบร้อยห้าสิบกว่าปีที่เขารู้สึกอ้างว้างอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ความโดดเดี่ยวราวกับคมมีดสับร่างเป็ชิ้นๆ เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลี่อวิ๋นหังอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าไม่คิดมาก่อน ความประทับใจในเวลานั้นเต็มไปด้วยด้านที่สวยงาม อีกฝ่ายในวัยเยาว์พึ่งพิง ไว้วางใจ เอาแต่ใจและออดอ้อนเขาเพียงผู้เดียว แม้ว่ามีหลายครั้งที่อีกฝ่ายจะขี้งอนและจงใจเฉยเมยกับเขา
ยามนึกถึงความทรงจำนั้นช่างอบอุ่น เขามักเพิกเฉยต่อมันเพราะการคิดถึงความทรงจำเหล่านี้อบอุ่นยิ่งนัก เขารู้สึกมีความสุขล้นในอกทุกครั้งหลังโอบกอดความทรงจำเหล่านี้เอาไว้ แม้จะรู้ว่าอาจไม่ได้เห็นมันอีกก็ตาม อย่างไรก็ดีกว่าในยามนี้ สุดท้ายแล้ว ณ ตอนนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำทั้งหมดล้วนเพื่อเสด็จพี่หลี่อวิ๋นเฉิน...เกี่ยวข้องอะไรกับฉิงชางจวินกัน? ความไว้วางใจ ความพึ่งพิง ความเอาแต่ใจและความออดอ้อน มีมากน้อยเพียงใดที่เพิ่มขึ้นจากสายสัมพันธ์ในครอบครัวยามได้เห็นใบหน้านั้นของหลี่อวิ๋นเฉิน?
เจียงเฉิงเยว่ยอมรับมาตลอดว่าตนเองไม่ใช่คนฉลาด ปัญหานี้ซับซ้อนเกินกว่าขอบเขตที่สมองของเขาจะจัดการได้ เขายืนเพียงลำพังภายใต้แสงจันทร์ จากนั้นก้าวไปทางอารามเต๋าของตนเองอย่างรวดเร็ว “ไม่คิดแล้ว!” เขาะโกับตนเอง
ประเด็นสำคัญคือ หากมัวแต่คิดอาจไม่ได้อะไรนอกจากความเ็ปและความหดหู่
นอกจากนี้ เื่นี้ไม่ใช่ความผิดของหลี่อวิ๋นหัง! หลี่อวิ๋นหังถึงกับตกเป็เหยื่อเสียด้วยซ้ำ คนที่ชื่นชอบและเคารพคือพี่ชาย ใช้เวลากว่าร้อยปีจึงรู้ว่าพี่ชายที่สนิทสนมซึ่งเขาตามหา ความจริงแล้วไม่มีตัวตนอยู่ สุดท้ายแล้ว...กลายเป็เพียงเื่หลอกลวง
เจียงเฉิงเยว่กลับมาถึงอารามเต๋าอย่างรวดเร็ว ใช้ทักษะจุดไฟอย่างคุ้นเคย จุดตะเกียงและกองไฟ พลางขุดคุ้ยใบชาที่มีเชื้อราเล็กน้อยออกมาชงชาให้ตนเอง
เขาเคยฝึกฝนการอดอาหารมาแล้ว จะกินหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ทว่าตัวฉิงชางจวินเองไม่ได้เื่อยู่เล็กน้อยที่ยอมจำนนต่อความอยากอาหารของตนเอง เขาคิดอยู่เสมอว่าการไม่กินอาหารในยามนี้ช่างโง่เขลา...ช่วยไม่ได้ที่่นี้เขาอารมณ์ไม่ดี จึงไม่อยากอาหารตามไปด้วย
หลังจากดื่มชาร้อนอย่างเชื่องช้า เขานึกขึ้นได้จึงหยิบไม้ขนไก่ปัดฝุ่นไปรอบด้านอย่างเอื่อยเฉื่อย ที่จริงแล้วเคล็ดวิชาไล่ฝุ่นก็สามารถแก้ปัญหาได้เช่นกัน ทั้งสะดวกรวดเร็วและไม่ได้ใช้พลังิญญามากนัก ทว่าเวลานี้เขาเต็มใจที่จะทำด้วยตนเอง หาอะไรทำเล็กน้อยหลีกเลี่ยงการคิดฟุ้งซ่าน ขณะที่กำลังทำความสะอาดอย่างกระตือรือร้น จู่ๆ ค่ายกลที่เขาวางไว้โดยรอบอารามเต๋ากลับเคลื่อนไหว คงจะมีคนหรือสัตว์เข้ามา ทว่าเมื่อดูจากตำแหน่งแล้วอาจเป็คนในหมู่บ้าน
ปกติแล้วเจียงเฉิงเยว่ยังคงรักษาระยะห่างที่แน่นอนจากชาวบ้าน เพราะกลัวว่าจะถูกพบเห็นเบาะแส ดังนั้นจึงจงใจสร้างอารามเต๋าให้ห่างจากหมู่บ้านระยะหนึ่ง ทั้งสูงและเดินลำบาก คนในหมู่บ้านรู้เพียงว่านักพรตเต๋าผู้นี้ที่กำลังบ่มเพาะเพียงลำพังบนูเาอาจเป็ผู้ละทางโลก ผ่านไปร้อยกว่าปีแล้วไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ของเขาชรา ปกติแม้ว่าจะเคารพแต่ก็ยำเกรง ฉะนั้นหากไม่จำเป็ คนในหมู่บ้านจะไม่ขึ้นมา โดยเฉพาะกลางดึกเช่นนี้
เจียงเฉิงเยว่หยุดมือและเปิดประตูออกไป ภายใต้แสงจันทร์ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูวิหาร แบกกระเป๋าใบใหญ่ กำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตู
“สือเยว่?” เจียงเฉิงเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
คนที่มาคือพี่ชายของไป้เอ๋อร์ซึ่งโตกว่าเขาสิบปี พ่อแม่ของไป้เอ๋อร์เลือกนามได้อย่างตามมีตามเกิด เด็กคนนี้เกิดในเดือนสิบจึงได้นามว่าสือเยว่
ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นเกาศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้มแหย “ข้าเอง ท่านนักพรต”
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพิ่งพบกันที่เชิงเขาแท้ๆ ทว่าพูดอะไรไม่ได้มากนัก จึงทำได้เพียงให้คนผู้นั้นเข้ามา “เ้ารอเดี๋ยว ข้าจะไปหยิบตะเกียง”
“ไม่รบกวนท่านนักพรต แม่ของข้าให้ข้านำของบางอย่างมาให้ท่าน ข้าแบกเข้าไปให้ท่านได้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง อีกฝ่ายมาส่งถึงหน้าประตูแล้วหากปฏิเสธคงดูไม่ค่อยดี จึงทำได้เพียงตอบตกลง ขณะที่พูดก็พาเดินผ่านวิหารใหญ่ไปที่ห้องปีกข้างพร้อมถือตะเกียง
สือเยว่วางกระเป๋าลง จากนั้นหยิบของออกมาทีละอย่าง ไม่มีอะไรมากไปกว่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเล็กน้อย ยังมีจำพวกเนื้อแห้งที่อีกฝ่ายกับบิดาล่ามา จากนั้นก็ของจำเป็ในการดำรงชีวิตอย่างข้าว ขนมปังและน้ำมัน สุดท้ายยังมีเสื้อผ้ากับรองเท้าสองชุดที่มารดาของอีกฝ่ายเย็บให้กับมือ
ความจริงแล้วสิ่งอื่นนั้นไม่สำคัญอะไร ท้ายที่สุดแล้วเขาจะกินหรือไม่ก็ได้ ทว่าเสื้อผ้าอาภรณ์เช่นนี้...ปฏิเสธไม่ได้จริงเชียว ต่อให้ฉิงชางจวินจะเก่งกาจเพียงใด เขาก็ไม่สามารถทำงานฝีมือของสตรีเช่นนี้ได้!
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยอย่างเกรงใจ “ลำบากแม่ของเ้าแล้ว...ช่วยกล่าวขอบคุณนางแทนข้าด้วย”
“ท่านนักพรตพูดอะไรกัน? หากไม่ใช่ท่านนักพรตรับน้องชายของข้าไป ด้วยร่างกายที่อ่อนแอขี้โรคยามเขายังเด็ก เกรงว่าคงรอดไม่เกินอายุสิบปี”
ถ้อยคำนี้เป็เื่จริง หยินขั้นสูงสุด โชคดีที่มีผนึกของตี้จวินวางเอาไว้ในที่แห่งนี้ พลังหยินชั่วร้ายจึงเข้ามาไม่ได้ รวมกับที่เจียงเฉิงเยว่ค้นพบและมอบหยกคู่เพลิงสุวรรณให้ในภายหลัง เขาคอยปกป้องมาโดยตลอด จึงปกป้องเด็กคนนั้นไว้ได้อย่างสุดกำลัง
เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้ม
“ในหมู่บ้านนี้ บ้านใดที่มีความเจ็บป่วยหายนะเล็กน้อยไม่ได้มารบกวนท่านนักพรตบ่อยๆ หรอกหรือ? เหตุใดท่านนักพรตถึงต้องสุภาพกับพวกเรา?”
แม้ว่าเจียงเฉิงเยว่จะรักษาโรคไม่ได้ ทว่าเขามีทักษะพิเศษ โดยปกติแล้วหากมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย หยินหยางในร่างกายปั่นป่วนและไม่สมดุล ยามส่งพลังิญญาเข้าไปตามนั้น เพียงไม่กี่สัปดาห์ส่วนใหญ่จะดีขึ้นโดยไม่ต้องกินยา เขาไม่สะดวกที่จะอธิบายมากนัก ชาวบ้านก็คิดเพียงว่าเขารักษาโรคได้ หากถูกคนหรือถูกเผ่าในสามโลกล่วงรู้เข้าว่าสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลกผู้สง่างามน่าเกรงขามสั่นทะท้านไปทั่วทุกทิศยังทำอาชีพชั่วคราวเป็หมอเท้าเปล่า[1] ในหมู่บ้านด้วยแล้ว เจียงเฉิงเยว่พลันรู้สึกมืดมนขึ้นมา
ฉิงชางจวินชงชาให้ชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “ข้าวางทิ้งไว้นานแล้ว เ้าอย่าได้รังเกียจ”
สือเยว่รีบรับด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง “ขอบคุณท่านนักพรต”
เขาดื่มชาสองอึกอย่างเชื่องช้า ทั้งคุยสัพเพเหระกับเจียงเฉิงเยว่เล็กน้อย จากนั้นจึงลุกขึ้นบอกลาอย่างไม่เต็มใจ
ก่อนจากไป เจียงเฉิงเยว่นึกอะไรขึ้นได้จึงเรียกอีกฝ่ายไว้ เขาหมุนตัวไปหยิบวัตถุบางอย่างออกมาจากในห้องแล้วยื่นให้ “ได้ยินว่าเ้าจะแต่งงาน่ครึ่งปีหลัง แต่ข้าไม่มีของดีอะไร ยันต์คุ้มบ้านนี้ให้เ้าเป็ของขวัญอวยพรก็แล้วกัน มันจะปกป้องบ้านให้ปลอดภัย”
สือเยว่แข็งทื่อไปทั้งร่าง ไม่ตอบกลับเป็เวลานาน เขาเงียบไปนานจึงเอ่ย “ท่านนักพรตอาจยังไม่รู้...ว่างานหมั้นยกเลิกแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่งุนงงในทันที ฝ่ามือที่ถือยันต์คุ้มบ้านนั้นจะถือก็ไม่ใช่จะเก็บก็ไม่เชิง เขาถืออย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลังจากที่สือเยว่ประสานมือทำความเคารพให้ก็รีบหมุนตัวจากไป หลังอีกฝ่ายจากไปแล้ว เจียงเฉิงเยว่จึงเก็บมืออย่างเก้ๆ กังๆ ลำบากใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
สือเยว่ไม่ได้บอกสาเหตุที่ยกเลิกการหมั้น หากเจียงเฉิงเยว่คิดย่อมรู้ว่าไม่ใช่ฝ่ายชายที่ยกเลิกการหมั้น สุดท้ายแล้วหมู่บ้านเล็กในเขาฉู่อวิ๋นแห่งนี้ยากจนข้นแค้นมากนัก หญิงสาวจากนอกหมู่บ้านจึงไม่เต็มใจที่จะแต่งเข้ามา ยกเว้นสือเยว่คนนี้เพียงผู้เดียว แม้ว่าจะยากจนทว่ารูปลักษณ์กลับไม่เลว ครั้งหนึ่งยามออกไปขายเครื่องหนังก็มีหญิงสาวนอกหมู่บ้านมาสะดุดตา แม่สื่อตามมาถึงหน้าประตู ซึ่งทำให้หมู่บ้านเล็กแห่งนี้ต่างเอะอะโวยวายกันยกใหญ่ บิดามารดาของไป้เอ๋อร์มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้
ความจริงแล้วพี่ชายของไป้เอ๋อร์กับฉิงชางจวินยังมีเื่ราวก่อนหน้านี้อยู่ ซึ่งทำให้เจียงเฉิงเยว่รู้สึกผิดกับเด็กคนนี้มาตลอดจากก้นบึ้งหัวใจ
สำหรับเื่ราว ต้องย้อนกลับไปเมื่อสิบเอ็ดหรือสิบสองปีก่อน ่ที่ไป้เอ๋อร์เพิ่งเกิด
แม้ว่าเจียงเฉิงเยว่จะรักษาระยะห่างอย่างแน่นอนจากคนในหมู่บ้านมาตลอด ทว่าตอนที่ไม่จำเป็ต้องลงเขาไปรักษาโรค เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งนั้นลงเขาไปด้วยเหตุผลอะไร อาจเป็เพราะบ่มเพาะอย่างหนักนานเกินไป ภายในปากไร้รสชาติจนมีนกออกมา[2] หรือว่าอยู่คนเดียวมายาวนานจนเกือบลืมวิธีการเปิดปากพูด หรือไม่ก็รู้สึกเบื่อจริงๆ ้าหาความสนุกให้ตนเองสักหน่อยกระมัง?
โดยสรุปแล้ว ฉิงชางจวินเดินท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิเพียงลำพังในลำธารสายนั้นที่ต้นหมู่บ้านโดยม้วนกางเกงขึ้น เหน็บชายเสื้อไว้ในเข็มขัด พลางกระดกสะโพกจับปลาในแม่น้ำอย่างสุขใจ เื่เช่นนี้นับเป็การพักผ่อนหย่อนใจ โดยปกติแล้วจึงไม่ใช้คาถาใด สิ่งที่เขาเพลิดเพลินคือกระบวนการจับปลา ทว่าเจียงเฉิงเยว่ไม่ได้โตมากับน้ำ ทักษะการอยู่ในน้ำไม่ดีเท่าไร ทักษะการจับปลาจึงไม่ค่อยดีนัก ผลลัพธ์คือเมื่อเขากลั้นหายใจกำลังจะทำสำเร็จ จู่ๆ ก้อนหินสองสามก้อนกลับลอยมาหาปลาตัวเล็กที่เขาเตรียมจะจับ ลงไปในน้ำพร้อมกับเสียง ‘จ๋อม’ สองสามครั้ง ปลาต่างว่ายหนีเผ่นแน่บ
ฉิงชางจวินขมวดคิ้วแล้วยืดตัวขึ้น มองไปยังจุดที่ก้อนหินลอยมา เด็กเจ็ดแปดคนปรบมือหยอกล้อเขาอย่างสนุกสนานบนความทุกข์ของตน หัวโจกที่ดูแล้วอายุไม่เกินสิบขวบซึ่งเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่นุ่มนวลและคมคายคือสือเยว่นั่นเอง
ก่อนหน้านี้ที่เคยบอกว่าชาวบ้านนับถือและยำเกรงเขา ทว่านั่นคือผู้ใหญ่ เด็กน้อยที่ไม่รู้จักโลกไม่ได้เป็เช่นนั้น
สือเยว่ผู้เป็หัวโจกเลิกคิ้วพลางะโอย่างยั่วยุ “เฮ้ ผู้เฒ่า”
เจียงเฉิงเยว่ยกริมฝีปากขึ้นอย่างขบขัน เขาอายุใกล้จะสามร้อยปีแล้วก็จริง เมื่อร่างของหลี่อวิ๋นเฉินในคราแรก หลี่อวิ๋นเฉินก็เปรียบได้ว่า ‘ตายแล้ว’ เช่นเดียวกับตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ รูปลักษณ์จะหยุดนิ่งในตอนที่ ‘ตาย’ แม้ว่าหลี่อวิ๋นเฉินจะมีชีวิตอย่างสุขสบายมาั้แ่เด็ก ทว่าอ่อนแอและขี้โรค เมื่ออายุสิบแปดสิบเก้าก็ค่อนข้างเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบห้าหรือสิบหก ดังนั้นนี่จึงเป็ครั้งแรกที่ฉิงชางจวินถูกใครสักคนเรียกว่า ‘ผู้เฒ่า’
เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้หงุดหงิด เขาถามด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรหรือ?”
สือเยว่ “ข้าได้ยินย่าจ้าวในหมู่บ้านบอกว่าท่านอายุเกินร้อยปีแล้ว? เป็เื่จริงหรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ตอบ “เป็เื่จริงแล้วอย่างไร ไม่จริงแล้วอย่างไร?”
เหล่าเด็กน้อยถูกสวนกลับ สือเยว่แค่นเสียงอย่างเ็า “ข้าไม่เชื่อ”
เจียงเฉิงเยว่ “โอ้” จากนั้นย้ายสถานที่เพื่อจับปลาต่อไป
สำหรับเด็กน้อย สิ่งที่หงุดหงิดที่สุดคือการที่ผู้คนเมินเฉย ดังนั้นสือเยว่จึงพาสหายตัวน้อยของเขาไปหยิบกองหินขึ้นมาจากพื้นแล้วโยนลงไปในแม่น้ำ เวลานี้ปลาทั้งหมดว่ายหนีจนเกลี้ยง เจียงเฉิงเยว่เห็นว่าจับไม่ได้แล้วจึงทำได้เพียงลุกขึ้นถอนหายใจ มองไปที่เด็กกลุ่มนั้นอีกครั้ง
ฉิงชางจวินเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “สหายตัวน้อยหลายคนนี้ มีธุระสำคัญอันใดกันแน่?”
ถ้อยคำนี้ทรงความรู้มากเกินไป พวกเด็กเหลือขอในหมู่บ้านยากจนที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือจึงเหม่อลอย สือเยว่ไม่สนใจในส่วนที่เขาฟังไม่เข้าใจ จากนั้นถามต่อ “ท่านอายุเกินร้อยปีจริงหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่คร้านจะยุ่งเกี่ยวกับเด็กน้อยอีกต่อไป จึงพยักหน้าและตอบรับ “เป็เื่จริง...” ความจริงแล้วเขาไม่ใช่แค่อายุร้อยกว่าปีด้วยซ้ำ! สหายตัวน้อย!
สือเยว่ “เช่นนั้นทำไมเ้าดูเด็กเช่นนี้? ท่านเป็ปีศาจหรือไม่?!”
สหายตัวน้อยคนหนึ่งเสริม “ต้องใช่แน่! ปู่ของข้าบอกว่าปีศาจสามารถล่อลวงผู้คนได้ เมื่อกินิญญาของผู้คนจะไม่แก่ชรา!”
เด็กที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนี้ดูเหมือนจะเพิ่งห้าหรือหกขวบ เพิ่งจะพูดได้อย่างคล่องแคล่ว เขาสูดน้ำมูก กำหมัดเล็กด้วยใบหน้าอันชอบธรรม “พี่ชาย พวกเรามาจัดการปีศาจกันเถอะ! ปีศาจไม่ดี!”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยอย่างขบขัน “โอ้ สหายตัวน้อยหลายคนนี้มีความมุ่งมั่นที่จะปราบปีศาจเช่นนี้ด้วยหรือ ช่างน่าชื่นชม”
เหล่าเด็กน้อยตกตะลึงอีกครั้ง คำศัพท์จำพวก ‘ปราบปีศาจ’ หรือ ‘น่าชื่นชม’ นั้นเกินขอบเขตความเข้าใจของพวกเขา สือเยว่ยังคงเพิกเฉยต่อสิ่งที่เขาฟังไม่เข้าใจโดยไม่ตอบหรือถามกลับ พลางชี้ไปที่แม่น้ำสายนั้น “ข้าได้ยินพวกผู้ใหญ่บอกว่าปีศาจสามารถใช้เวทย์มนตร์ได้ ท่านใช้เวทย์มนตร์ได้ไหม? ท่านสามารถเสกคาถาให้แม่น้ำไหลกลับได้ไหม?”
เจียงเฉิงเยว่บอกด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้”
สือเยว่เย้ยหยัน “ชิ เก่งกาจตรงไหนกัน?!”
เจียงเฉิงเยว่ยังคงยิ้มน้อยๆ “อืม ไม่มีอะไรเก่งกาจ”
เจียงเฉิงเยว่คิดว่าการพูดส่งๆ สักสองประโยคจะทำให้เด็กกลุ่มนั้นหมดความสนใจ ทว่าผลลัพธ์นั้นกลายเป็ว่าเขาประเมินความอดทนในการตอแยของเด็กน้อยต่ำไป สือเยว่นำกลุ่มเด็กเหลือขอตามลงไปในแม่น้ำและล้อมรอบเขาจนไม่อาจแม้แต่จะหมุนตัว “เฮ้ ผู้เฒ่า เช่นนั้นท่านใช้เวทย์มนตร์อะไรได้อีกไหม?”
“ท่านอาศัยกินิญญาของผู้คนจึงไม่แก่ขึ้นใช่ไหม? เป็ปีศาจประเภทไหนกัน?”
เจียงเฉิงเยว่ทนความน่ารำคาญไม่ไหวอีกต่อไป จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ไอ้หยา ชายชราผู้นี้ใช้เวทย์มนตร์ที่ทรงพลังใดๆ ไม่ได้เลย ทำได้เพียงอย่างเดียวคือรับรองได้ว่าจะทำพวกเ้ากลับบ้านไปโดนพ่อแม่ตีก้นอย่างแน่นอน!”
หลังกล่าวจบ ฉับพลันกลุ่มเด็กน้อยร่างแข็งทื่อ ไม่นานก็ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดผวา
“อา...ข้า! ข้า! ข้าขยับขาไม่ได้แล้ว!”
“ข้าก็ด้วย! ฮือๆๆ ข้ายกเท้าไม่ขึ้นเลย”
“พ่อ...แม่...แงๆๆ “
เหล่าเด็กเหลือขอร้องเรียกหาบิดามารดาดังลั่นจนฟ้าะเื ฉิงชางจวินไม่รู้สึกผิดที่กลั่นแกล้งเด็กน้อยแม้แต่นิดเดียว จากนั้นเดินห่างออกไปจาก ‘เสียงดนตรี’ ที่โหวกเหวกนี้เล็กน้อย ก้มศีรษะลงเพื่อจับปลาต่อไป
หลังจากร้องไห้ระงมกันอยู่พักหนึ่ง กลุ่มเด็กน้อยเริ่มเหนื่อย เพียงสะอึกสะอื้น และเสียงก็ค่อยๆ ลดลง เจียงเฉิงเยว่ทำเพียงว่าพวกเขาไม่มีตัวตน กำลังยื่นมือไปจับ ทว่าปลาฝูงนั้นกลับว่ายหนีไปด้วยความใอีกครั้ง
หลังจากนั้นมีเสียงดูถูกเหยียดหยามอย่างชัดเจนของเด็กคนหนึ่งดังแว่วมาจากด้านหลัง “ชิ แม้แต่ปลายังจับไม่ได้ ใช้เวทย์มนตร์ได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
เจียงเฉิงเยว่หันศีรษะไปเห็นว่าเด็กน้อยที่ถูกเคล็ดวิชาพันธนาการตรึงไว้ที่เดิม ล้วนร้องไห้ตาแดงก่ำน้ำหูน้ำตาไหล กลับมีคนหนึ่งที่แปลกแยก และสือเยว่นับว่าเป็หัวโจกที่แปลกแยกนั้น อีกฝ่ายกำลังมองเขาอย่างเฉื่อยชา ยังคงเหยียดหยามเขาต่อไป
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พลางคิดกับตนเองว่าเด็กคนนี้กล้าหาญเสียจริง มิน่าเล่าถึงกลายเป็หัวโจก
เจียงเฉิงเยว่ไม่สนใจอีกฝ่าย ตั้งใจจะรอให้บิดามารดาของเด็กเหลือขอกลุ่มนี้มา เมื่อราตรีมาเยือน บิดามารดาของเด็กกลุ่มนั้นก็ทยอยมากันอย่างที่คาด หลังเห็นเจียงเฉิงเยว่ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจนหน้าถอดสี มองเห็นท่าทางนี้ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่ต้องพูด ทำได้เพียงขอโทษขอโพยเจียงเฉิงเยว่เป็อย่างดี
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ขอโทษคนหนึ่งเขาก็ปล่อยคนหนึ่งที่โดนลงโทษให้ยืนกลางแดดตลอด่บ่าย หลังจากเหล่าเด็กน้องถูกพากลับไปยังต้องถูกจัดการอีก คงถูกกำชับครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ควรยั่วยุเขาอีกเด็ดขาด สิ่งที่ฉิงชางจวิน้าคือการที่เด็กเหลือขอเหล่านี้ไม่มารบกวนเขาอีกต่อไป
มีเพียงสือเยว่ยืนอยู่ที่เดิมตลอดทั้งบ่าย ยังคงชี้แนะเขาถึงวิธีการจับปลาด้วยความสนใจ บ้างก็เยาะเย้ยเป็ครั้งคราวที่เขาไม่ได้เื่ โดยไม่กังวลสักนิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ท้องฟ้ามืดสนิทอย่างที่คาด เหลือเพียงเด็กน้อยคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่เห็นว่าบิดามารดามาหา ทว่าเจียงเฉิงเยว่ไม่เหลือความอดทนอีกต่อไป หลังจากใช้หญ้าริมแม่น้ำเป็เชือกเพื่อมัด ‘ผลจากการรบ’ ตลอด่บ่าย เขาคลายเคล็ดวิชาพันธนาการของสือเยว่ เอ่ยอย่างสงสัย “ไอ้หนู พ่อแม่เ้าเล่า?”
สือเยว่กอดอกหัวเราะเยาะ “แม่ของข้าเพิ่งให้กำเนิดน้องชายคนเล็กที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดทั้งวัน แค่ดูแลเขาอยู่ก็ไม่มีเวลาแล้ว ใครจะมาหาข้าเล่า?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง เขานิ่งค้างไปชั่วขณะ ยังคงกำชับ “นี่ไอ้หนู ครั้งหน้าหากเ้าพบชายชราผู้นี้ก็อยู่ให้ห่างหน่อย ไม่อย่างนั้นจะลงโทษให้เ้ายืนอีก กลับไปเสีย”
เ้าเด็กนั่นยังคงเงียบ เจียงเฉิงเยว่จึงหยิบปลาขึ้นมา สองมือไพล่หลังเดินอย่างเชื่องช้าไปยังอารามเต๋าของตนเอง สักพักกลับมีเสียงฝีเท้าหนึ่งเดินตามมาด้านหลัง เจียงเฉิงเยว่หันศีรษะไปเห็นเด็กที่ยังโตไม่เต็มที่คนนั้นเดินตามเขาอย่างรวดเร็ว จึงขมวดคิ้ว “เ้าตามข้ามาทำไม?”
“คาถาของท่านเมื่อครู่...น่าสนใจมาก ท่านสอนข้าได้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มหยัน “ข้าไม่รับศิษย์”
เด็กน้อยไม่พูดไม่จา ยังคงเดินตามเขาไปจนถึงอารามเต๋า ไม่ว่าเจียงเฉิงเยว่จะไล่อย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงต้องแบ่งน้ำแกงปลาต้มให้เด็กคนนั้นครึ่งหนึ่ง
จนกระทั่งพระจันทร์ขึ้นกลางฟ้า[3] หลังจากที่บิดาของสือเยว่ถามเด็กๆ ก็มาหาเขา และพาเ้าเด็กนี่กลับไปด้วยความขอบคุณ
จากนั้นเด็กคนนี้ก็เริ่มวุ่นวายกับเจียงเฉิงเยว่อย่างไม่ลดละเป็เวลากว่าครึ่งปี ทั้งตัดฟืนให้ ทำอาหาร จับปลาล่าสัตว์ ชงชาส่งน้ำและทำความสะอาดลานให้เขา...
“ข้าไม่รับศิษย์!” ประโยคนี้ฉิงชางจวินบอกแทบไม่ได้หยุดพัก ทว่าสือเยว่ยังคงไม่ยอมแพ้
------------------------
[1] หมอเท้าเปล่า หมายถึง หมอชาวบ้าน หมอที่ไม่ใช่มืออาชีพ
[2] ไร้รสชาติจนมีนกออกมา อธิบายถึงลักษณะที่ปากด้านชาจากการไม่พูดหรือไม่กินเป็เวลานาน
[3] พระจันทร์ขึ้นกลางฟ้า หมายถึง ่เวลาเที่ยงคืน
