เมื่อได้ยินว่ามู่เซี่ยโหรวมีความคิดนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็ยิ้มอย่างเขินอายและมองไปที่มู่เซี่ยโหรว “น้องห้า เ้าอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น และยังอยู่ห่างจากวัยปักปิ่นอีกสองปี เหตุใดเ้าถึงได้กังวลนัก”
เมื่อมู่เซี่ยโหรวได้ยินดังนั้น นางก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย แม้ว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะยืนอยู่ตรงหน้านาง อย่างไรก็ตามนางกลับโพล่งออกไปว่า “เหล่าองค์ชายล้วนอยู่ในวัยที่สามารถอภิเษกและมีพระชายาแล้ว และพวกเขาอาจอภิเษกกับหญิงสาวชั้นสูงเมื่อไรก็ได้ ท่านพี่ หากว่าข้าไม่กังวลั้แ่เร็ววันเช่นนี้ ข้ากลัวว่าเมื่อข้าถึงวัยออกเรือน จะไม่มีองค์ชายคนไหนอยากอภิเษกกับข้า”
“ทำไมเ้าถึงยืนยันที่จะอภิเษกกับองค์ชายเท่านั้น?” มู่อวิ๋นจิ่นงุนงงเล็กน้อย ผู้หญิงเหล่านี้ต่างก็้าที่จะเข้าสู่ราชวงศ์ แต่ชีวิตในราชวงศ์นั้นไม่ง่ายนักหรอก
“พี่สาม พาข้าเข้าไปในวังด้วยเถิด ข้าสัญญาว่าจะเชื่อฟังและไม่ขัดขวางท่าน” มู่เซี่ยโหรวมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นอย่างอ้อนวอน
แม่ของนางซึ่งเป็ฮูหยินคนที่สาม บอกนางั้แ่เกิดว่านางเป็เพียงลูกสาวของเมียน้อยในจวนแห่งนี้เท่านั้น ในบรรดาลูก ๆ ในจวนแห่งนี้ นางจะไม่มีทางได้รับความรักและความเอาใจใส่เป็พิเศษเท่าเทียมคนอื่นอย่างแน่นอน
การที่นางได้อภิเษกกับราชวงศ์เป็วิธีเดียวที่ทำให้นางทัดเทียมกับคนอื่นได้ในอนาคตและจะไม่มีใครสามารถดูถูกดูแคลนนางได้อีก
ในตอนแรกมู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไรอยู่ในจวนหลังนี้ ดังนั้นนางจึงไม่พยายามประจบประแจงมู่อวิ๋นจิ่น แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ท่านพ่อไม่เพียงแต่จะให้พื้นที่กับนางมากขึ้น แต่ยังดูเหมือนสนใจนางมากขึ้นอีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอภิเษกระหว่างมู่อวิ๋นจิ่นและองค์ชายหกดูจะเป็ที่แน่นอน ในเวลานี้ หากนางไม่เข้าข้างมู่อวิ๋นจิ่นแล้วนางจะประจบประแจงใครได้อีก
มู่อวิ๋นจิ่นที่อยู่ด้านข้าง มองผ่านความคิดของมู่เซี่ยโหรวเพียงชั่วครู่ ก็คิดว่าหากหญิงผู้นี้อยากไป นางก็ควรจะพาไปด้วย อย่างน้อยก็จะช่วยนางเบี่ยงเบนความสนใจจากคนอื่นได้บ้าง มู่อวิ๋นจิ่นคิดพลางลูบข้อมือของตน
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้เ้าก็ไปกับข้าได้ จำไว้ว่ามีคนมากมายในวัง ดังนั้นอย่าพูดอะไรโดยไม่กลั่นกรอง” มู่อวิ๋นจิ่นพูด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่เซี่ยโหรวรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังโดนมู่อวิ๋นจิ่นดูถูกเล็กน้อย เพียงแค่นางเข้าวังไปพบกับฉินไท่เฟยไม่กี่ครา แต่กลับทำตัวเก่งกล้า คิดจะสั่งสอนนางแล้วอย่างนั้นหรือ
รอให้นางได้อภิเษกกับองค์ชายเสียก่อนเถิด ถึงเวลานั้นนางจะเล่นงานมู่อวิ๋นจิ่นให้ได้!
…
หลังจากเข้าไปในวังหลวง มู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้ถูกพาตัวไปที่พระที่นั่งเซียงเหอซึ่งฉินไท่เฟยอยู่ แต่ไปที่พระที่นั่งฉิงฮวนที่มักใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงในวังแทน
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในพระที่นั่งฉิงฮวน นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นออกจากข้างใน
ในเวลานี้ มีคนสองสามคนนั่งอยู่ในพระที่นั่ง มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบมองไปเห็นคนมากมายในเครื่องแบบเต็มยศนั่งอยู่ข้างใน นางเข้าใจว่าวันนี้ฉินไท่เฟยเชิญนางมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง
เมื่อมองไปที่เบื้องหน้า มู่เซี่ยโหรวรู้สึกว่าวันนี้นางได้กำไรเหลือเฟือ
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นเข้าประตูไป มู่อวิ๋นจิ่นก็ดึงดูดทุกสายตาทุกคนในสถานที่นั้น หลายคนที่ไม่เคยเห็นมู่อวิ๋น จิ่นก็พลันทอดถอนหายใจ บุตรีตระกูลใดบ้างเล่าจะสวยสดงดงามได้ถึงเพียงนี้ เพียงแค่นางก้าวเข้ามา บุตรีของตระกูลอื่นที่แม้แต่งตัวเต็มยศก็มิอาจสู้เคียงได้เลย
“คุณหนูสามตระกูลมู่ ท่านสามารถนั่งในที่นั่งส่วนของท่านเสนาบดีได้” ขันทีผู้หนึ่งเดินไปที่ด้านข้างของมู่ อวิ๋นจิ่น และพานางไปที่ที่นั่งส่วนของเสนาบดี
มู่เฉิงเซี่ยงสังเกตเห็นั้แ่ตอนที่มู่อวิ๋นจิ่นเข้าประตู แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับนางไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ถึงกระนั้นเขายังมีความกังวลว่าลูกสาวตนยังมีชื่อเสียงที่ไม่ดีและไม่มีความรู้ เมื่อนางถูกรับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงชั้นสูงเช่นนี้ เขาจึงยังคงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
มู่หลิงจูซึ่งอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้ามา ความโกรธที่สุมอยู่ในอกก็ปะทุออกมาจากดวงตาของนาง
“ท่านพ่อ” หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยทักมู่เซียง นางก็นั่งลงข้างมู่หลิงจู ด้วยแววตาว่างเปล่า
เมื่อเห็นดังนั้น มู่หลิงจูก็มองไปที่มู่เซี่ยโหรว ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ มู่อวิ๋นจิ่น ก่อนจะพูดอย่างเ็าว่า “เซี่ยโหรว เหตุใดเ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
“ข้าขอร้องพี่สามให้พาข้าออกมาเปิดหูเปิดตาเ้าค่ะ” ขณะที่มู่เซี่ยโหรวพูด นางรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก และสายตาของนางก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปเห็นที่นั่งว่างตรงข้ามกัน
พ่อของนางเป็เสนาบดี ดังนั้นจึงนั่งอยู่หน้าสุดต่อหน้าข้าราชบริพาลเรือนร้อยคน
ที่นั่งตรงข้าม อาจจะเป็ที่นั่งขององค์ชายองค์หญิง
คิดดังนั้น มู่เซี่ยโหรก็พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นาน เกิดความโกลาหลที่ประตู มู่อวิ๋นจิ่นที่มองตามเสียงไป ก็เห็นร่างสองสามร่างกำลังเดินไปที่ประตูพระที่นั่งฉิงฮวน
ผู้ที่นำหน้าคือบุรุษชุดม่วงที่มีใบหน้าเ็ากำลังย่างก้าวอย่างสง่างาม เดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
หลังจากที่ฉู่ลี่นั่งลง เขาก็เหลือบมองมู่อวิ๋นจิ่น ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาอย่างเกียจคร้าน มู่อวิ๋นจิ่นใมากหลังจากที่พวกเขาสบตากันอย่างไม่คาดคิด
คนหนึ่งไม่แยแสและอีกคนแสร้งทำเป็สงบ
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นก้มศีรษะลง เงาสีดำปรากฏขึ้นต่อหน้านางและปิดกั้นแสงจากการมองเห็นเบื้องหน้า เมื่อนางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง นางเห็นใบหน้ายิ้มที่น่ากลัวของฉู่ชิงสะท้อนอยู่ต่อหน้าต่อตา
“คาราวะองค์ชายสามเพคะ” มู่อวิ๋นจิ่นกล่าวอย่างสบาย ๆ โดยไม่แม้แต่จะลุกขึ้นทำความเคารพ
ฉู่ชิงไม่โกรธเลย แต่หันกลับไปมองที่ฉู่ลี่ จากนั้นมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “จะว่าอย่างไรดีเล่า เพียงแค่ตัวข้าย่างกรายเข้าประตูมา คุณหนูสามก็มองไปที่องค์ชายหกทันที นี่เ้าละเลยการมีอยู่ของตัวข้ามากไปหน่อยหรือไม่?”
มู่เฉิงเซี่ยงที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของฉู่ชิง ก็พลันคิดว่าฉู่ชิงกำลังสร้างปัญหาให้กับมู่อวิ๋นจิ่น ดังนั้นเขาจึงกังวลเล็กน้อย และพยายามจะเปิดปากของเขาเพื่อช่วยเหลือ ทว่ามู่หลิงจูกระตุกชายเสื้อเขาไว้และส่ายหัวเบา ๆ
“ตอนนี้ท่านพี่ไม่ธรรมดาแล้วนะเ้าคะ” มู่หลิงจูเอ่ยปาก
มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่ฉู่ชิง ฝืนยิ้มและพูดอย่างเคอะเขิน “ใครให้องค์ชายหกสวมชุดสีม่วงเดินนำหน้าเช่นนั้นล่ะเพคะ สะดุดตาเสียเหลือเกิน!”
เมื่อฉู่ชิงได้ยินดังนั้น เขาก็ลดสายตาลงเพื่อมองไปที่เสื้อผ้าสีเงินตัดขาวบนร่างกายของตน แม้ว่าสีจะไม่สดใสเท่าเสื้อผ้าสีม่วง แต่เสื้อผ้าสีขาวเงินจะไม่เด่นดังที่มู่อวิ๋นจิ่นกล่าว ภายใต้แสงเทียนที่ส่องสว่างเช่นนี้เลยอย่างนั้นหรือ
ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ข้าเองก็ลืมไป ในสายตาชายคนรักมักมีแต่แม่นางซีซือ*”
(* ความรักทำให้โลกเป็สีชมพู)
“องค์ชายสามหมายความว่าข้าเป็คนรัก ส่วนองค์ชายหกคือซีซืองั้นหรือเพคะ?” มู่อวิ๋นจิ่นพิงเก้าอี้พลางแอบบ่นในใจ นางกับฉู่ลี่เป็คนรักอะไรกัน
เจ็บข้อมือแบบนี้ โชคดีที่นางทนได้
ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่นั่งใกล้ฉู่ชิงและมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง บางคนที่ยังสงสัยในของมู่อวิ๋นจิ่น ก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ทุกอย่างเกียวกับนาง
ปรากฏว่าหญิงสาวคนนี้ คือคุณหนูสามมู่อวิ๋นจิ่นในตำนานนั่นเอง
แต่ข่าวลือบอกว่านางขี้อายและขี้ขลาด ไม่รู้หนังสือไม่ใช่หรือ? จะเห็นได้ว่าน้ำเสียงของการสนทนาของนางกับฉู่ชิงในตอนนี้นั้น เต็มไปด้วยความใจกว้าง
ทั้งหมดล้วนเป็ข่าวลือทั้งสิ้น
ไม่คาดคิดเลยว่า มู่เฉิงเซี่ยงจะโชคดีมากที่มีบุตรีเพรียบพร้อมทั้งคู่เช่นนี้
“ "หม่อมฉันมู่เซี่ยโหรว ขอคาราวะองค์ชายสา”เพคะ" มู่เซี่ยโหรว้าที่จะพูดออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจของฉู่ชิงมานานแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเขากำลังคุยกับมู่อวิ๋นจิ่น นางจึงไม่ได้เอ่ยปาก
เมื่อพิจารณาจากการสนทนาระหว่างองค์ชายสามกับมู่อวิ๋นจิ่นแล้ว องค์ชายสามน่าจะเป็บุคคลที่ติดต่อได้ง่าย รูปร่างหน้าตาของเขาก็โดดเด่นมากเช่นกัน โครงหน้าที่คมคายราวกับถูกแกะสลักมาอย่างประณีต ดวงตาเฉี่ยวดุจนกฟีนิกซ์สีแดงเพลิงแต่ดูขี้เล่น ทำให้เขายิ่งมีเสน่ห์มากขึ้น อีกทั้งผิวพรรณของเขายังดูเรียบเนียนสว่างผ่องแผ้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังคงความรู้สึกถึงการเป็เชื้อสายของราชวงศ์ เช่นนี้นางจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร
มู่เซี่ยโหรวทักทายฉู่ชิง และเฝ้ารอคำตอบจากฉู่ชิงอย่างใจจดใจจ่อ แต่ใครจะรู้ว่าฉู่ชิงทำเพียงแค่โบกมือให้นางอย่างเมินเฉย จากนั้นก็หันไปยังที่นั่งของตนเอง
สีหน้าของมู่เซี่ยโหรวดูเศร้าสลดลงในทันที
หลังจากที่ฉู่ชิงนั่งลงแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็เงยหน้าขึ้นมององค์ชายที่นั่งตรงข้าม และเหลือบมองฉู่ลี่ที่อยู่ข้าง ๆ ฉู่ชิง ความรู้สึกเสียวซ่านและความเจ็บที่ข้อมือของนางก็พลันเกิดขึ้นอีกครั้ง
…
“ฮ่องเต้เสด็จแล้ว——”
“ฮ่องเฮาเสด็จแล้ว——”
“ไทเฮาเสด็จแล้ว——”
“ไท่เฟยเสด็จแล้ว——”
เสียงประกาศดังขึ้นที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่ เมื่อทุกคนได้ยินประกาศพวกเขาก็ยืนขึ้นทีละคนและมองไปที่ทางเข้า
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงประกาศ จากนั้นมองไปที่ประตูสีเหลืองสว่างวาบ ริมฝีปากของนางกระตุกเล็กน้อย ทุกคนมาถึงแล้ว
หลังจากที่ทุกคนทำความเคารพพวกเขาแล้ว บนที่นั่งหลักจักรพรรดิซีิก็ตรัสด้วยเสียงอันดั“ว่า "ไม่ต้องมากพิธี เชิญทุกท่านนั่”เถิด"
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นนั่งลง นางมองดูจักรพรรดิซีิและฮองเฮาอย่างพินิจพิเคราะห์
ทั้งจักรพรรดิซีิและฮองเฮาดูอายุมากกว่าห้าสิบ ดวงตาและหว่างคิ้วของพวกเขาก็เต็มไปด้วยริ้วรอย
ด้านข้างเจิ้งไทเฮาและฉินไท่เฟยก็นั่งในห้องโถงเช่นกัน พวกนางนั่งถัดจากจักรพรรดิซีิและฮองเฮา วทั้งสองสวมชุดสีแดง ผมเพ้าของพวกนางก็ถูกหวีจัดทรงอย่างเรียบร้อยไม่มีที่ติ
“วันนี้เป็งานเลี้ยงครอบครัวธรรมดา ๆ ไม่จำเป็ต้องเป็ทางการมากนัก ทำตัวตามสบายกันเถิดทุกท่าน”ฮ่องเต้ซีิยกจอกสุราขึ้นและพูดกับผู้คนเบื้องล่างพระที่นั่ง
ทุกคนยกจอกสุราขึ้นและพูดพร้อมกันว่า “ขอบพระทัยฝ่าา”
หลังจากพูดจบ สาวใช้และขันทีแถวหนึ่งก็เดินเข้ามาจากนอกประตูและเริ่มรินสุรา ก่อนจะนำจานอาหารวางลงบนโต๊ะแต่ละโต๊ะ หลังจากนั้นไม่นาน ทุกโต๊ะก็เต็มไปด้วยสุราและอาหารรสเลิศ
มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่จานที่อยู่ตรงหน้านาง นางกำลังจะหยิบตะเกียบขึ้นมา แต่จำได้ว่าข้อมือของตนเองนั้นยังบวมอยู่ และมันก็ยากที่จะจับตะเกียบ
ฉู่ลี่ยังคงนั่งอยู่ตรงข้ามในเวลานี้ และเขาอาจจะสงสัยได้ คิดดังนั้นมู่อวิ๋นจิ่นจึงเลิกถือตะเกียบและหยิบช้อนด้วยมือซ้ายของนาง จากนั้นก็เริ่มกินซุปจากชามใบเล็กตรงหน้า
ในห้องโถงใหญ่ เจิ้งไทเฮาและฉินไท่เฟยมองดูสถานการณ์เบื้องล่าง ดวงตาของพวกนางไหวสั่น จนกระทั่งพวกนางตัดสินใจเปิดปากพร้อมกัน
“ฝ่าา”
“ฝ่าา”
เมื่อทุกคนได้ยินเสียงของทั้งสอง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง และเริ่มมองขึ้นไปบนห้องโถง
จักรพรรดิซีิเองก็ผงะเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงมาจากทั้งสองฝ่าย จากนั้นเขาก็มองไปที่มารดาของเขา “เชิญท่านแม่กล่าว”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉินไท่เฟยก็มองเจิ้งไทเฮาอย่างยั่วยุ
“ฮ่องเต้ ในขณะที่ทุกคนอยู่ที่นี่ในวันนี้ อายเจีย้าบอกกล่าวเื่มงคล” ฉินไท่เฟยยิ้มและมองไปที่ฉู่ลี่กับมู่อวิ๋นจิ่นด้านล่าง
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นัักับสายตาของฉินไท่เฟย ทันใดนั้นนางก็เกิดสังหรณ์ใจแปลก ๆ
“โอ้? เื่มงคลอันใดเล่า เชิญท่านแม่กล่าวต่อ” จักรพรรดิซีิเริ่มสนใจเื่มงคลที่ว่าในทันทีที่ฉิน ไท่เฟย้าพูดถึง
“ฮ่องเต้ ในตอนนั้นตระกูลของอายเจียและอดีตฮูหยินของสกุลมู่ ได้ทำการหมายหมั้นด้วยวาจา รู้เื่นี้ใช่หรือไม่?” ฉินไท่เฟยกล่าว
เมื่อจักรพรรดซีิได้ยินสิ่งนี้ คิ้วของเขาที่แต่เดิมเหยียดออกก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย และใบหน้าของเขาก็นิ่ง
“ตอนนี้อวิ๋นจิ่นลูกสาวคนโตของตระกูลมู่ กำลังเข้าใกล้วัยปักปิ่นแล้ว อายเจียเห็นว่าวันนี้มีงานสังสรรค์ จะเป็การดีหรือไม่? ที่จะใช้่เวลานี้ให้เป็ประโยชน์ โดยการให้ฮ่องเต้ประธานจัดงานอภิเษก ทั้งยังเป็การช่วยเพิ่มความตื่นเต้นครื้นเครง เพิ่มความเป็มงคลให้กับอาหารและงานสังสรรค์ในค่ำคืนนี้”
ทันทีที่คำพูดของฉินไท่เฟยเปล่งออกมา ทุกคนก็มองไปทางมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่ทันที
ต้องบอกว่าสองคนนี้มีรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นและเข้ากันได้ดีมากเหลือเกิน
ในบรรดาเหล่าองค์ชายทั้งหลาย องค์ชายหกได้รับความเคารพ ความไว้วางใจจากจักรพรรดิและมีโอกาสมากที่เขาจะได้รับการสถาปนาเป็รัชทายาทในอนาคต แม้ว่าคุณหนูสามแห่งสกุลมู่จะมีหน้าตาสดสวยงดงามเพียงใด แต่ข่าวลือเกี่ยวกับนางในอดีตนั้นได้ทำลายชื่อเสียงของนางไปแล้ว นางไม่คู่ควรกับองค์ชายหกเลยจริง ๆ