หลังมู่เยี่ยนและโอวหยางเจินขึ้นไปบนเจดีย์ อวิ๋นเจี๋ยกับนี่จ้านเทียนก็ขึ้นไปบนเจดีย์ตามลำดับ ทั้งสองขึ้นไปถึงชั้นที่ 5 ก็ถอนตัวออกมา ผลลัพธ์ถือว่าน่าพึงพอใจ
ในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน อวิ๋นเจี๋ยกับนี่จ้านเทียนถือเป็อัจฉริยะระดับหัวกะทิ บัดนี้ทั้งสองโลดแล่นอยู่บนเวทีงานชุมนุมหวงปั่ง แต่ชื่อเสียงของพวกเขาอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ดีพอ แต่ว่าในอาณาจักรจ้าวนั้นมีอัจฉริยะอยู่มากพอสมควร
ไม่รู้ว่าเป็เื่บังเอิญหรือไม่ เมื่อถึงคราวของเย่เฟิงที่ต้องขึ้นเจดีย์ก็คือกลุ่มสุดท้ายแล้ว กลุ่มนี้มีประมาณแปดคน ในแปดคนนี้มีสามคนที่เป็สุดยอดอัจฉริยะ นั้นคือจ้าวซิงบุตรแห่งเซิ่งอ๋อง ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ และเจียงเซิ่งหลิงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักจื่อจี๋ สามคนนี้อยู่อันดับที่ 3 4 และ 5 ในรายนามเฟิงอวิ๋น ถือเป็อัจฉริยะที่หาได้ยากของอาณาจักรจ้าว
กลุ่มแปดคนมีผู้ฝึกยุทธ์สามคนอยู่ห้าอันดับแรกของรายนามเฟิงอวิ๋น กลุ่มนี้จึงเป็ที่จับตามอง ยิ่งกว่ากลุ่มของมู่เยี่ยนและโอวหยางเจินเสียอีก มีสามคนนี้อยู่ เย่เฟิงจึงกลายเป็ธาตุอากาศไปในทันที ไม่มีใครสนใจเขา อันที่จริงแล้วในใจของทุกคนนั้น เย่เฟิงเทียบไม่ได้กับพวกจ้าวซิงเลยสักนิด
“ในบรรดาแปดคนมีตั้งสามคนที่อยู่ห้าอันดับแรกของรายนามเฟิงอวิ๋น ช่างน่าสนใจนัก!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“จ้าวซิงคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ก็อยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 แต่เจียงเซิ่งหลิงเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลัง รอบนี้สามคนนี้อาจจะขึ้นไปถึงชั้นที่ 7 ก็ได้!”
“ใช่แล้ว งานชุมนุมหวงปั่งรอบนี้ แม้ไม่มียอดฝีมือเหมือนองค์ชายใหญ่ปรากฏขึ้น แต่ในรอบสิบปีที่ผ่านมา หากมองโดยภาพรวมกลับมีความแข็งแกร่งที่สุด แทบไม่มีใครอ่อนแอเลย ถ้าหนึ่งในสามคนนี้ไปถึงชั้นที่ 7 ได้ ข้าก็ไม่แปลกใจ”
เมื่อแปดคนสุดท้ายออกมา ฝูงชนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมความคาดหวังแวบผ่านในดวงตา เพราะอยากเป็พยานใน่เวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่สามคนนี้ขึ้นไปยังชั้นที่ 7 ของเจดีย์เชื่อมฟ้า
“เสด็จอา หากงานชุมนุมหวงปั่งในครั้งนี้น้องซิงแสดงฝีมือได้ไม่เลว ข้าคิดว่าหลังจบงานชุมนุมหวงปั่ง เสด็จอาน่าจะปล่อยให้น้องซิงเข้าร่วมกองทัพ มันคงจะเป็ผลดีต่อการขัดเกลาของเขา” องค์ชายใหญ่จ้าวหยางกล่าวกับชายวัยกลางคนที่สวมชุดราชวงศ์ซึ่งเยื้องอยู่ข้างหน้าเขา คนผู้นี้คือน้องชายแท้ ๆ ของาาองค์ปัจจุบันแห่งอาณาจักรจ้าว เซิ่งอ๋อง!
เพราะมีธุระจึงล่าช้า แต่เมื่อเซิ่งอ๋องกับบุตรของเขามาถึง จ้าวซิงก็ขึ้นเจดีย์พอดี เซิ่งอ๋องนั้นดูอายุประมาณสี่สิบต้น ๆ ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ท่าทางดุดันเคร่งขรึม บรรยากาศเข้มงวดเด็ดขาด มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเป็คนโเี้ เซิ่งอ๋องลูบเคราพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ากำลังคิดเช่นนี้อยู่พอดี พร์ของซิงเอ๋อร์ค่อนข้างสูง ถ้าเลี้ยงดูให้ดีก็จะกลายเป็อัจฉริยะ ในอนาคตเขาจะกลายเป็แม่ทัพผู้เกรียงไกรภายใต้องค์ชายใหญ่”
ดวงตาจ้าวเฉินทอแสงคมกริบ เมื่อสังเกตเห็นเย่เฟิงกำลังขึ้นไปที่เจดีย์ สีหน้าของเขาทวีความเ็า ก่อนหน้านี้เขาส่งนักฆ่าไปลอบสังหารเย่เฟิง แต่ก็ล้มเหลว บัดนี้เย่เฟิงไม่เพียงทิ้งห่างเขาไปไกล แต่ยังได้ยืนอยู่บนเวทีงานชุมนุมหวงปั่ง มิหนำซ้ำยังได้ประมือกับจ้าวซิงพี่ชายของเขา สิ่งนี้ทำให้ความเกลียดชังที่จ้าวเฉินมีต่อเย่เฟิงยิ่งลึกซึ้งขึ้นไปอีก
เย่เฟิงรับรู้ถึงสายตาของจ้าวเฉินจึงหันไปมองทางตำแหน่งที่จ้าวเฉินอยู่ แต่ไม่นานสายตาเขาก็เลื่อนออกจากร่างจ้าวเฉินไปมองเซิ่งอ๋อง ถึงเย่เฟิงจะไม่เคยเห็นเซิ่งอ๋องมาก่อน แต่ก็เดาตัวตนของอีกฝ่ายออก แม้จะพยายามสะกดความรู้สึก แต่ความเกลียดชังก็ยังะเิออกมาอยู่ดี สิบปีก่อนที่ตระกูลเย่ต้องล่มสลาย ที่เขาต้องพลัดพรากกับพ่อแม่ ทุกอย่างเป็เพราะผู้ชายคนนี้!
เซิ่งอ๋องเป็คนเช่นไร การรับรู้ของเขาถือว่าแข็งแกร่งมาก แค่พริบตาก็ััได้ถึงความเกลียดชังที่เจาะจงมาที่เขา เมื่อเขาหันไปมองเย่เฟิง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“เป็มัน!” เซิ่งอ๋องใไปชั่วขณะ ฉับพลันในหัวของเขาก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งขึ้นมา
“ไม่สิ ชายผู้นี้เด็กเกินไป ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ก็ควรอายุเท่าข้า ไม่ใช่เด็กขนาดนั้น หรือว่าเด็กผู้นี้คือลูกของเขา?” เซิ่งอ๋องครุ่นคิดในใจ และเริ่มเดาตัวตนของเย่เฟิงออก นี่คงจะเป็บุตรชายของจอมพลเย่เจิน
ความเกลียดชังระหว่างจ้าวเฉินและเย่เฟิง เซิ่งอ๋องไม่ได้สนใจอะไรนัก อีกทั้งแผนการลอบสังหารเย่เฟิงก็เป็จ้าวเฉินที่ลงมือทำ เซิงอ๋องจึงไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของเย่เฟิง ดังนั้นเขาจึงใมากเมื่อทราบเื่นี้
เมื่อเห็นเย่เฟิง เหตุการณ์กวาดล้างตระกูลเย่เมื่อสิบปีก่อนก็ปรากฏขึ้นในหัวของเซิ่งอ๋อง แววตาของเขาพลันลุกโชนขึ้นมาและแฝงไปด้วยความบ้าคลั่ง ทว่าความบ้าคลั่งก็ปรากฏในดวงตาเซิ่งอ๋องแค่ครู่เดียว ก่อนสลายหายไป จากนั้นเขาไม่มองเย่เฟิงอีกเลย เพราะในสายตาของเซิ่งอ๋อง เย่เฟิงก็แค่เม็ดทราย ไม่มีค่าอันใดให้เขาต้องสนใจ ถ้าหากเซิ่งอ๋อง้าสังหารเย่เฟิง แค่พูดออกมาคำหนึ่ง เย่เฟิงก็หายไปจากโลกนี้แล้ว
“เสด็จอา ท่านเป็อะไรไป?” เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่ผิดปกติของเซิ่งอ๋อง องค์ชายใหญ่จ้าวหยางจึงถามขึ้นมา
“ไม่มีอะไร เื่ของซิงเอ๋อร์ ไว้รองานชุมนุมหวงปั่งสิ้นสุดพวกเราสองอาหลานค่อยปรึกษากันอีกที” เซิ่งอ๋องส่ายหน้าพลางกล่าวขึ้น
ท่าทางของเซิ่งอ๋องถูกสังเกตเห็นโดยองค์ชายสองจ้าวเยี่ย ในใจก็แอบสงสัยขึ้นมา เย่เฟิงเป็คนที่จ้าวเยี่ยให้ความสนใจ เขาจึงรู้อย่างชัดเจนถึงความแค้นของตระกูลเย่กับเซิ่งอ๋อง จากสีหน้าท่าทางของเซิ่งอ๋องเมื่อครู่แล้ว อีกฝ่ายคงจะเตรียมลงมือกับเย่เฟิงเช่นกัน ซึ่งจ้าวเยี่ยไม่อยากให้เย่เฟิงต้องมาตายเช่นนี้
“ขึ้นเจดีย์เชื่อมฟ้าในครั้งนี้เป้าหมายของข้าคือชั้นที่ 7” ด้านหน้าเจดีย์เชื่อมฟ้า ดวงตาจ้าวซิงเปล่งประกายด้วยความมั่นใจ เหมือนกำลังพูดอยู่กับตัวเอง
“ข้าก็เหมือนกัน”
ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าว ดวงตาอันชั่วร้ายกวาดมองไปที่เย่เฟิงอย่างไม่ได้ตั้งใจ “ที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน คนที่ฆ่าศิษย์น้องของข้าไป ก็คือเ้าใช่ไหม?”
“แล้วอย่างไร?” เย่เฟิงกล่าวเสียงแข็ง
“หวังว่าเ้าจะผ่านรอบเจดีย์เชื่อมฟ้าไปอย่างราบรื่น การประลองในรอบที่สาม ข้าจะสังหารเ้าด้วยมือของข้าเอง เพื่อแก้แค้นให้กับศิษย์น้อง!” ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าวด้วยเสียงเย่อหยิ่งราวกับว่าถ้าเขาบอกว่าจะฆ่าเย่เฟิง เย่เฟิงก็ต้องตายอย่างแน่นอน
“หึๆ!” เย่เฟิงหัวเราะอย่างเ็าก่อนจะโต้กลับไปว่า “ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องของเ้าก็บอกจะฆ่าข้า มิหนำซ้ำกองกำลังตระกูลเฉินและตระกูลตู๋กูยังร่วมมือกันส่งคนมาสังหารข้าหลายสิบคน แต่สุดท้ายคนที่มีชีวิตอยู่ก็คือข้า หาก้าจะฆ่าข้ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
“ก็แค่ขั้นรวมชี่คนหนึ่ง กล้าพูดจาโอหังต่อหน้าข้า ถ้าข้าจะฆ่าเ้า คิดหรือว่าเ้าจะรอดไปได้?” ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่หัวเราะด้วยเสียงเ็า น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าคล้ายกับปีศาจร้าย
เมื่อกล่าวจบเขาก็เข้าไปในเจดีย์เชื่อมฟ้าทันที
“รอบที่สาม หากเ้าตกอยู่ในกำมือของข้า ข้าก็จะฆ่าเ้าเช่นกัน ฉะนั้นเ้าจะต้องผ่านรอบนี้ไปให้ได้!” จ้าวซิงแสยะยิ้มใส่เย่เฟิงก่อนจะเข้าไปในเจดีย์เชื่อมฟ้า
“มีคนมากมาย้าสังหารเ้า ดูเหมือนในรอบที่สาม ไม่ต้องถึงมือข้า เ้าคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย!” เจียงเซิ่งหลิงยิ้มร่าเมื่อเห็นความโชคร้ายของผู้อื่น ท่าทางของเขาราวกับคางคกขึ้นวอ
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ แล้วค่อยมายุ่งเื่ของคนอื่นเขา!” เย่เฟิงยิ้มเยาะ จากนั้นก็เดินเข้าไปในเจดีย์เชื่อมฟ้า
“เย่เฟิงผู้นี้มีศัตรูเยอะมากจริง ๆ แม้จะผ่านรอบนี้ไปได้ แต่ก็เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน” ฝูงชนพากันทอดถอนใจขึ้นมา ในไม่ช้าทั้งแปดคนก็เข้าสู่เจดีย์เชื่อมฟ้า สีหน้าของฝูงชนก็ค่อย ๆ ตื่นเต้นขึ้นมา
“พวกเ้าว่านอกจากจ้าวซิง ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ เจียงเซิ่งหลิง ในแปดคนที่เหลือนั้น ใครจะโดดเด่นที่สุด?” จู่ ๆ ก็มีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งถามขึ้น
“แน่นอนว่าต้องเป็เย่เฟิง แม้ตบะของเ้าหนุ่มนั่นจะต่ำไปหน่อย แต่พลังของเขาก็แข็งแกร่งจริง ๆ บางทีอาจขึ้นไปถึงชั้นที่ 6 ก็ได้” มีบางคนตอบคำถามของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ซึ่งเขาตอบโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
“ชั้นที่ 6 คงยากเกินไป อย่างไรเสียก็เป็ัธรรมดาในหมู่พญาั แม้แต่ขั้นยุทธ์แท้ขึ้นไปถึงชั้นที่ 6 ก็ยังรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็ ถึงเย่เฟิงผู้นี้จะแข็งแกร่ง แต่ก็เทียบกับขั้นยุทธ์แท้ไม่ได้” หลายคนล้วนคิดว่าด้วยความแข็งแกร่งของเย่เฟิงในปัจจุบัน น่าจะขึ้นไปถึงชั้นที่ 5 ได้ แต่ถ้าขึ้นไปถึงชั้นที่ 6 ก็นับว่าเป็ปาฏิหาริย์แล้ว
“ผู้าุโฉิน ถ้าข้าจำไม่ผิด เ้าเด็กนั่นคงเป็ตัวแทนคนสุดท้ายของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนสินะ สองคนก่อนหน้านี้ขึ้นไปถึงแค่ชั้นที่ 5 สำนักยุทธ์เทียนเสวียนของพวกเ้าไม่ควรอยู่ในรายชื่อสี่สำนักยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรจ้าวด้วยซ้ำ!” ผู้าุโอวิ๋นซื่อเทียนแห่งสำนักศึกษาเสินเจียงกล่าวถากถางฉินเจิ้นถิง ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความเย้ยหยันอย่างถึงที่สุด
ก่อนหน้านี้มู่เยี่ยนของสำนักศึกษาเสินเจียงพวกเขาขึ้นไปถึงชั้นที่ 7 ได้ อวิ๋นซื่อเทียนจึงใช้เื่นี้มาข่มสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ตัวเขาอยากกำจัดสำนักยุทธ์เทียนเสวียนให้ออกจากรายนามสี่สำนักยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่
“เื่นี้ไม่ต้องให้เ้ามากังวลแทนหรอก อวิ๋นซื่อเทียน สำนักยุทธ์เทียนเสวียนของพวกข้าบ่มเพาะอัจฉริยะมาโดยตลอด อาศัยเพียงอัจฉริยะไม่กี่คนของพวกเ้าจะมาเทียบกันได้อย่างไร?” ฉินเจิ้นถิงยิ้มเย็นขณะตอกหน้าอวิ๋นซื่อเทียนกลับไป เย่เฟิงจะผ่านด่านได้กี่ชั้นนั้น ตัวเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ ผู้ฝึกยุทธ์ของสามกองกำลังได้ยินที่ฉินเจิ้นถิงพูดก็พลันหัวเราะขึ้นมา
ทั้งลานประลองเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด ทุกคนในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนต่างก็ฝากความหวังไว้ที่เย่เฟิง แต่พวกเขาทราบดีว่าตบะของเย่เฟิงนั้นต่ำเกินไป คงขึ้นเจดีย์เชื่อมฟ้าไปได้ไม่ไกล งานชุมนุมหวงปั่งรอบนี้ความสำเร็จของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนถือว่ามีจำกัดมาก
เย่เฟิงไม่รับรู้เื่ที่เกิดขึ้นด้านนอกเลยสักนิด แต่ตอนนี้เขามาถึงชั้นที่ 1 ของเจดีย์เชื่อมฟ้าแล้ว
“ฟุ่บ ฟุ่บ!”
ทันใดนั้นมีร่างสองร่างปรากฏขึ้น ซึ่งนั่นเป็จิตสำนึกที่ถูกแปลงมาเป็เงาผู้ฝึกยุทธ์ ตบะของพวกเขาเท่ากับเย่เฟิง นั่นคือจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 7 จากนั้นหนึ่งในนั้นกล่าวกับเย่เฟิงว่า “เอาชนะพวกข้าได้ เ้าก็จะผ่านไปชั้นที่ 2”
“เข้าใจแล้ว!” เย่เฟิงพยักหน้า เขาเตรียมใจเผชิญหน้ากับระดับความยากของเจดีย์เชื่อมฟ้ามานานแล้ว เงาผู้ฝึกยุทธ์สองคนเบื้องหน้าคงไม่ได้มีพลังจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 7 ในระดับทั่วไปเป็แน่
“วูบ!” หนึ่งในนั้นลงมือโจมตีเย่เฟิงทันทีโดยไม่พูดให้มากความ รังสีหมัดอันน่ากลัวพุ่งเข้าโจมตีเย่เฟิง
คิ้วเย่เฟิงพลันกระตุกก่อนจะเหวี่ยงหมัดออกไปเช่นกัน เมื่อหมัดทั้งสองปะทะกัน เสียงปังก็ดังขึ้น เงาผู้ฝึกยุทธ์กระเด็นออกไปพร้อมกับสูญเสียพลังต่อสู้ ขณะเดียวกันการโจมตีของเงาผู้ฝึกยุทธ์อีกคนก็พุ่งมาถึงเช่นกัน พลังฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลัวฟาดไปที่แผ่นหลังของเย่เฟิง เมื่อรับรู้ถึงอันตราย เย่เฟิงก็หมุนตัวพร้อมใช้ฝ่ามือภูผาพิฆาตตอบโต้กลับทันที พลังมหาศาลถาโถมออกไปประหนึ่งน้ำหลาก แม้ว่าพลังของฝ่ามือนี้จะแข็งแกร่ง แต่เย่เฟิงใช้พลังไปเพียงสามส่วนเท่านั้น
“ตูม!” เสียงะเิดังกึกก้อง เงาผู้ฝึกยุทธ์อีกคนก็กระเด็นปลิวออกไป
“เ้าผ่านด่านแล้ว ขอให้โชคดี!” เงาผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสองลุกขึ้นมองไปที่เย่เฟิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ แม้พวกเขาถูกสร้างขึ้นจากจิตสำนึก แต่ก็อยู่ในเจดีย์เชื่อมฟ้ามานานมาก ความคิดและอารมณ์จึงเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง ในบรรดาคนที่พวกเขาทดสอบมามีเพียงไม่กี่คนที่ผ่านด่านได้อย่างง่ายดาย เหมือนชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา นี่คือความแข็งแกร่งที่สมบูรณ์แบบ
“ขอบคุณที่ชี้แนะ!” เย่เฟิงคารวะเงาผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสอง จากนั้นขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ 2
ไฟบนชั้นที่ 2 ของเจดีย์เชื่อมฟ้าทางด้านนอกพลันสว่างขึ้น ซึ่งตอนนั้นเย่เฟิงและคนอื่นเพิ่งเข้าไปด้านในได้แค่สิบลมหายใจเท่านั้น
“เร็วมาก มีคนผ่านชั้นที่ 1 แล้ว ไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะเป็จ้าวซิง ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ หรือเจียงเซิ่งหลิงกันแน่?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งอุทานด้วยความใ ระยะเวลาที่ไฟชั้นที่ 2 สว่างขึ้นในรอบนี้เหมือนจะเร็วกว่ากลุ่มก่อนหน้านี้มาก นี่หมายความว่าความแข็งแกร่งของแปดคนนี้เหนือกว่ากลุ่มอื่น ๆ หรือ?
เมื่อมาถึงชั้นที่ 2 เย่เฟิงก็ยังคงระมัดระวัง แม้จะผ่านชั้นที่ 1 มาได้แต่เขาก็ไม่คิดจะผ่อนคลาย นาทีต่อมามีร่างหกร่างปรากฏตัวที่เบื้องหน้า พวกเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ที่แปลงมาจากจิตสำนึกเช่นกัน และมีตบะเท่าเย่เฟิง ซึ่งก็คือจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 7 แต่จำนวนกลับมีมากกว่าชั้นที่ 1 ถึงสามเท่า!
“เอาชนะพวกเ้าทั้งหกคนได้ ข้าก็ผ่านด่านใช่หรือไม่?” เย่เฟิงถามเงาผู้ฝึกยุทธ์ทั้ง 6 คน
“ใช่ เ้าไหวพริบดีนี่!” หนึ่งในนั้นตอบกลับ ต่อมาทั้งหกคนก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน ก่อนจะเข้าล้อมกรอบเย่เฟิง ตอนนั้นเองพลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายมาจากร่างของทั้งหกคน พลังที่น่ากลัวนั่นราวกับจะปิดกั้นพื้นที่แห่งนี้
เย่เฟิงเผยสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา ดวงตาของเขาลุกวาวด้วยความฮึกเหิม เจดีย์เชื่อมฟ้าแห่งนี้เป็สถานที่ที่เหมาะแก่การขัดเกลาพลังจริง ๆ จากนั้นเขาปล่อยฝ่ามือภูผาพิฆาตโจมตีอย่างต่อเนื่อง โดยเย่เฟิงยังคงใช้พลังไปเพียงสามส่วนเท่านั้น
“ปัง ๆ!” แต่ถึงอย่างนั้นเงาผู้ฝึกยุทธ์พวกนั้นไม่อาจต้านทานการโจมตีของเย่เฟิง จึงมีสามคนกระเด็นออกไป ส่วนอีกสามคนที่เหลือก็พากันตกตะลึง ก่อนจะะเิพลังออกมา และฉวยโอกาสกดดันเย่เฟิง แต่ช่องว่างของทั้งสองฝ่ายนั้นห่างกันเกินไป ในระดับเดียวกัน เย่เฟิงถือว่าไร้เทียมทาน ไม่อาจใช้จำนวนที่มากกว่ากลบทับช่องว่างนี้ได้
ผ่านไปไม่นาน สามคนที่เหลือก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป
“พลังของท่านแข็งแกร่งจริง ๆ สามารถขึ้นไปชั้นที่ 3 ได้!”
หนึ่งในนั้นกล่าวกับเย่เฟิงด้วยน้ำเสียงแฝงความชื่นชม ผู้ที่แข็งแกร่งเหนือกว่าระดับเดียวกันเช่นนี้ พวกเขาเพิ่งเคยเจอเป็ครั้งแรก
ในเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงห้าสิบลมหายใจ เย่เฟิงก็ผ่านมาสองด่าน ตอนนี้มุ่งหน้าสู่ชั้นที่ 3
