“คุณชายฉู่เกรงใจไปแล้ว! ในเมื่อท่านกับข้าบังเอิญเจอกันที่นี่ก็ถือว่ามีวาสนาต่อกัน มิสู้นั่งด้วยกันเล่า?”
เมื่อเฉินซงเห็นฉู่มู่ไม่รังเกียจเขา จึงคิดอยากสานสัมพันธ์ต่อ หากสนิทชิดเชื้อกับคุณชายจากตระกูลสูงส่งอย่างฉู่มู่ คงจะเป็เื่ที่ดีไม่ใช่น้อย
“ได้สิ” ฉู่มู่ตอบกลับ เขามีฐานะสูงส่ง ทุกวันมักจะมีคนมาประจบประแจงเขา ดังนั้นเฉินซงจึงไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าคนเ่าั้
“ทูตสำนักชิงอวิ๋นมาถึงแล้ว!”
ขณะที่เฉินซงและฉู่มู่คุยกันอยู่นั้นก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน นาทีต่อมาผู้คนเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมาทางนี้ คนเหล่านี้ล้วนมีลมปราณแกร่งกล้าและดูไม่ธรรมดา
ซึ่งมีชายหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ ดูไปแล้วมีอายุประมาณ 17-18 ปี ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้มใสซื่อ ทำให้ผู้คนรู้สึกเข้าถึงได้ง่าย
“เป็ฉวนเถี่ยจู้ เขาก็มาด้วย!” คนผู้หนึ่งที่จำอีกฝ่ายได้กล่าวออกมาเช่นนั้น
“ชายผู้นี้คือฉวนเถี่ยจู้ เขาเพิ่งเข้าเป็ศิษย์สายนอกของสำนักชิงอวิ๋นเมื่อหลายเดือนก่อน ได้ยินมาว่าฉวนเถี่ยจู้มีพลังเทพแต่เกิดและปลุกพลังสายเืได้แล้ว ศักยภาพด้านวรยุทธ์ก็น่าหวาดกลัว ไม่นานมานี้ได้รับความสนใจจากผู้าุโในสำนักชิงอวิ๋นและรับเป็ศิษย์ ทำให้ฐานะของเขาถูกยกระดับไปอีกขั้น กลายเป็ศิษย์ที่สำนักชิงอวิ๋นให้ความสำคัญ”
กองกำลังใหญ่ ๆ จากทั่วทั้งแดนชิงอวิ๋นมาเยือนที่แห่งนี้ ทำผู้คนต่างมองด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา สำหรับพวกเขาแล้วสำนักชิงอวิ๋นคือการมีอยู่ระดับสูงสุดในแดนชิงอวิ๋น เป็สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง ผู้คนจึงอยากเข้าสำนักชิงอวิ๋น เห็นชัดว่าสถานะของสำนักชิงอวิ๋นในใจของเหล่าผู้คนสูงมากเพียงใด
“หมอนี่ก็มาด้วย บังเอิญมาก!” เย่เฟิงคิดในใจขณะมองฉวนเถี่ยจู้ ความประทับใจที่เย่เฟิงมีต่อชายผู้นี้ถือว่าไม่เลว
ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ ๆ ฉวนเถี่ยจู้มองมาที่เย่เฟิง พร้อมคลี่ยิ้มอย่างไร้เดียงสา นี่ทำให้เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ขณะเดียวกันฉวนเถี่ยจู้เดินมาทางกลุ่มคนที่เย่เฟิงอยู่ แต่ขณะนั้นเฉินซงเดินมาข้างหน้าพร้อมรอยยิ้ม “พี่ฉวนมาเข้าร่วมงานประมูลเช่นนี้ ช่างเป็เกียรติยิ่งนักที่ได้พบกันอีกครั้ง”
เฉินซงเคยเจอฉวนเถี่ยจู้ที่สำนักชิงอวิ๋น จึงรู้ว่าฐานะของฉวนเถี่ยจู้ในสำนักชิงอวิ๋นเป็อย่างไร ทำให้เขา้าคบค้าสมาคมด้วย
แต่ดูเหมือนว่าฉวนเถี่ยจู้จะไม่สนใจเฉินซงแม้แต่นิดเดียว เขาเหลือบไปมองเฉินซงด้วยสายตาเฉยชาแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า แต่กลับไม่พูดสิ่งใด
นี่ทำให้สีหน้าของเฉินซงดูไม่ค่อยดี แต่เขากลับไม่กล้าแสดงท่าทีออกมา ถึงอย่างไรฉวนเถี่ยจู้ก็ไม่ใช่คนที่เขาจะล่วงเกินได้
แม้ทั้งสองจะไม่รู้จักกัน แต่ฉู่มู่เองก็ทักทายฉวนเถี่ยจู้เช่นกัน ฉวนเถี่ยจู้นั้นเป็ถึงศิษย์ของผู้าุโสำนักชิงอวิ๋น ไม่ว่าไปที่ใดก็ล้วนได้รับความสนใจจากผู้อื่น ทว่าฉู่มู่กลับเป็เหมือนเฉินซง ดูเหมือนว่าฉวนเถี่ยจู้จะไม่ชอบคบค้าสมาคมกับคนอย่างฉู่มู่และเฉินซง
“ฉวนเถี่ยจู้สมกับเป็ศิษย์ของผู้าุโสำนักชิงอวิ๋น มีนิสัยที่เป็เอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่ใช่ใครที่ไหนจะมองข้ามเขาได้”
หลังจากที่ผู้คนรอบข้างเห็นเฉินซงและฉู่มู่ได้รับการต้อนรับอันเย็นะเืจากฉวนเถี่ยจู้ พวกเขาต่างก็คิดเช่นนี้
ขณะเดียวกันฉวนเถี่ยจู้หันไปมองเย่เฟิงพร้อมยิ้มกว้าง เขาเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่เย่เฟิงกลับพูดขึ้นมาเสียก่อน “ได้ยินชื่อเสียงพี่ฉวนมานาน วันนี้ได้พบเจอช่างสมคำร่ำลือยิ่งนัก!”
ฉวนเถี่ยจู้ประหลาดใจและคล้ายเข้าใจบางอย่างขึ้นมา ต่อมาได้ยินเสียงของเย่เฟิงดังเข้ามาในหัวอีกครั้งว่า “พี่ฉวน ตัวตนของข้าในเมืองลอยฟ้าละเอียดอ่อนมาก หวังว่าพี่ฉวนจะไม่เผยตัวตนของข้าให้ผู้ใดรู้”
เมื่อฉวนเถี่ยจู้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเกินคาด เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะส่งเสียงผ่านจิตไปหาเย่เฟิงว่า “ข้าเข้าใจแล้ว หากพี่เย่้าให้ข้าช่วยสิ่งใดก็บอกได้เสมอ”
“ได้!”
เย่เฟิงพยักหน้าให้ฉวนเถี่ยจู้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีนิสัยตรงไปตรงมาและไม่มีทางเปิดเผยตัวตนของเขาอย่างแน่นอน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เย่เฟิงสงสัยอย่างมาก นั่นคือฉวนเถี่ยจู้รู้ได้อย่างไรว่าเขาใช้หน้ากากมนุษย์ในการปลอมตัว?
“พวกไร้มารยาท พี่ฉวนเป็ฝ่ายคุยกับเ้าก่อน ถือว่าเป็เกียรติของเ้า แต่เ้ากลับทำตัวเยี่ยงนี้น่ะหรือ? ยังไม่รีบขอโทษพี่ฉวนอีก!”
ขณะนั้นมีเสียงเ็าดังขึ้นที่ด้านหลังของเย่เฟิงและฉวนเถี่ยจู้ ทำเย่เฟิงและฉวนเถี่ยจู้ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะเห็นเฉินซงเดินมาทางนี้พร้อมเผยสีหน้าดูแคลน
“คนชั้นต่ำเช่นนี้กล้าดียังไงมาพูดแทรกพี่ฉวน คุกเข่าขอโทษพี่ฉวนเดี๋ยวนี้ หาไม่แล้วเ้าไม่ตายดีแน่!”
เมื่อเฉินซงเห็นเย่เฟิงมองเขาโดยไม่พูดอะไรก็บันดาลโทสะทันที แต่เขาเอาสองมือไพล่หลังในขณะที่เผชิญหน้ากับคนชั้นต่ำที่ใกล้จะตายอย่างเย่เฟิง แน่นอนว่าเขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนี้
เย่เฟิงมองเฉินซงด้วยท่าทีเฉยชา สายตาที่มองกลับไปนั้นเต็มไปด้วยความดูแคลน ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ
เฉินซงเห็นเย่เฟิงเมินใส่ก็โมโหขึ้นมาทันที เขาหันไปมองฉวนเถี่ยจู้พร้อมเผยรอยยิ้มสุภาพอีกครั้ง “คนผู้นี้เหิมเกริมยิ่งนัก กล้าเสียมารยาทกับพี่ฉวน พี่ฉวนโปรดอนุญาตให้ข้าสั่งสอนคนผู้นี้แทนพี่ฉวนได้หรือไม่”
ในขณะที่เฉินซงกล่าวเช่นนั้นก็ยังเหลือบไปมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง จากนั้นก็รอคอยคำตอบจากฉวนเถี่ยจู้
จิ้งหยาที่อยู่ข้าง ๆ เห็นศิษย์พี่ตนคิดจะจัดการเย่เฟิง นางจึงมองเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์พลางเหยียดยิ้มอย่างเ็า ก่อนจะพูดขึ้นว่า “พวกเ้ากล้าดียังไงไม่เชื่อฟังคำพูดของศิษย์พี่ การมีจุดจบเช่นนี้ก็เป็พวกเ้าที่หาเื่ใส่ตัวเอง ใครเล่าใช้ให้พวกเ้ามีสถานะต่ำต้อยเช่นนี้!”
จิ้งหยาเผยสีหน้าหยิ่งผยอง ทั้งยังรู้สึกไม่ชอบชี้หน้าพวกเย่เฟิงมาสักพักแล้ว
“ไปให้พ้น!”
ทันทีที่สิ้นเสียงจิ้งหยาก็ได้มีเสียงเ็าดังขึ้น ซึ่งผู้พูดก็คือฉวนเถี่ยจู้
เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ประหลาดใจ และไม่รู้ว่าคนที่ฉวนเถี่ยจู้กำลังพูดด้วยนั้นเป็ใคร
เฉินซงชะงักไปชั่วขณะ เขาคิดจะฉวยโอกาสนี้สั่งสอนเย่เฟิง แต่บัดนี้ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสแล้ว จากนั้นเขามองเย่เฟิงแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพี่ฉวนไล่เ้า เช่นนั้นวันนี้ข้าจะไม่เอาความเ้า ไสหัวไปซะ!”
“ชายผู้นี้แน่มาก ฉวนเถี่ยจู้มีฐานะสูงส่ง แต่ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดแทรก หากฉวนเถี่ยจู้ไม่อยากเห็นหน้าเขา เกรงว่าคงทำลายตบะของเขาไปนานแล้ว” จู่ ๆ มีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก
“ยังจะนิ่งเฉยอยู่อีก พี่ฉวนไล่เ้า เ้าก็ไปได้แล้ว!” จิ้งหยาเห็นเย่เฟิงยังคงนิ่งเฉยก็อดกล่าวเช่นนั้นไม่ได้
“ข้าพูดกับพวกเ้าต่างหาก รีบไปให้พ้นจากหน้าข้าเดี๋ยวนี้ หาไม่แล้วพวกเ้าก็คงรู้ว่าจุดจบของคนที่รังแกสหายของข้าฉวนเถี่ยจู้จะเป็เช่นไร”
ขณะที่เฉินซงและจิ้งหยากำลังได้ใจ จู่ ๆ เสียงของฉวนเถี่ยจู้ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้เฉินซงและจิ้งหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองไปที่เย่เฟิงและฉวนเถี่ยจู้ด้วยสายตาเหลือเชื่อ จากนั้นเฉินซงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “พี่ฉวน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านน่าจะไล่พวกเขาสองคนไม่ใช่หรือ?”
“เขาสองคนคือสหายของข้าฉวนเถี่ยจู้ แต่เ้ากลับดูถูกพวกเขาไม่หยุด ข้าไม่อยากเถียงกับพวกเ้า ไสหัวไปให้พ้นจากหน้าข้าซะ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
ฉวนเถี่ยจู้ยืนกรานจุดยืนของตัวเอง ทำให้เฉินซงและจิ้งหยากลายเป็คนโง่ในทันที
“พวกเขาจะเป็สหายของพี่ฉวนได้อย่างไร พี่ฉวนจะมีสหายเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เฉินซงเผยสีหน้าดูไม่ได้ ที่แท้เย่เฟิงเห็นเขาเป็คนโง่มาตลอด มีเพียงเขาและจิ้งหยาที่ไม่รู้เื่อะไร จนทำตัวเองขายหน้าต่อผู้คนจำนวนมาก
จิ้งหยาหน้าแดงก่ำ นางดูถูกเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ แต่บัดนี้ตัวเองกลับกลายเป็ตัวตลกต่อหน้าผู้คนมากมาย ทั้งยังโดนฉวนเถี่ยจู้เหยียดหยาม ช่างน่าอัปยศสิ้นดี
“ไม่คิดว่าชายหนุ่มที่ดูไม่เข้าตาผู้นี้จะเป็สหายของฉวนเถี่ยจู้ อีกอย่างฉวนเถี่ยจู้ยังให้ความสำคัญกับสหายทั้งสอง จึงไล่พวกเฉินซงที่รังแกสหายของเขา สองคนนี้ช่างหาเื่ใส่ตัวเองแท้ ๆ!”
เมื่อผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ ทั้งยังมองเฉินซงและจิ้งหยาด้วยสายตาดูแคลน
เฉินซงและจิ้งหยารู้สึกอับอายขายหน้าเป็อย่างมาก เดิมทีพวกเขา้าใช้โอกาสนี้เหยียบย่ำเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์เพื่อประจบประแจงฉวนเถี่ยจู้ แต่คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็ฝ่ายที่ถูกตบหน้าแทน แต่ทั้งหมดนี้มิอาจอธิบายออกมาเป็คำพูดได้
“ข้าไม่ทราบว่าพี่ฉวนรู้จักกับสองคนนี้ หากทำอะไรผิดพลาดไปก็หวังว่าพี่ฉวนจะไม่ถือสาหาโทษ ขอลา!”
เฉินซงกัดฟันกรอด ด้วยฐานะของฉวนเถี่ยจู้ ต่อให้อีกฝ่ายจะดูถูกเขาอย่างไร เขาก็ต้องก้มหัว เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินออกไปจากที่นี่พร้อมกับจิ้งหยา แต่ขณะที่เดินออกไป พวกเขาเหลือบมองไปที่เย่เฟิงแวบหนึ่งด้วยสายตาอาฆาต
“สหาย อย่ากังวลกับเื่นี้เลย!”
หลังจากเฉินซงและจิ้งหยาออกไป ฉวนเถี่ยจู้ก็กล่าวกับเย่เฟิงเช่นนั้น พร้อมกับรอยยิ้มสดใส
ตอนนี้ฐานะของฉวนเถี่ยจู้สูงส่ง แต่กลับไม่วางมาดเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิง เพราะเขารู้ว่า หากเย่เฟิงไม่ปฏิเสธคำเชิญของสำนักชิงอวิ๋นในวันงานชุมนุมหวงปั่งครานั้น เกรงว่าฐานะของเขาในตอนนี้จะเทียบเคียงไม่ได้ ฉวนเถี่ยจู้นั้นชื่นชมเย่เฟิงมาก จึงเห็นเย่เฟิงเป็สหาย
ทว่าคนอื่น ๆ เห็นฉากนี้กลับดูต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนไปทันทีและไม่กล้าดูถูกพวกเย่เฟิงแม้แต่นิดเดียว
