ท่านลุงอวิ๋นสำลักอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็พูดออกมาว่า “เหมือนสถานการณ์จะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ข้าได้ยินมาว่านางสะดุดล้มที่หน้าประตู ก็เลยทำให้คลอดก่อนกำหนด”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกัน เสี่ยวชิงก็ยกอ่างเืออกมาจากห้องด้วยใบหน้าซีดเซียว กลิ่นเืคละคลุ้งทำให้สีหน้าของพวกเขาทั้งสองคนเคร่งเครียดมากขึ้น...
เมื่อพูดถึงแม่นางหลี่ว์ที่ส่งลูกสาวออกจากบ้านไป ในใจนางก็ยังอาลัยอาวรณ์ นางจึงนอนหลั่งน้ำตาอยู่บนเตียง คนในครอบครัวก็ช่วยกันพูดเกลี้ยกล่อมนาง ต้าเป่าและฝูเอ๋อร์ก็ถูกท่านพ่อของพวกเขาส่งไปหาท่านย่า พวกเขาทั้งออดอ้อนและทำท่าน่ารักๆ ไม่ง่ายเลยกว่าที่แม่นางหลี่ว์จะยิ้มออกมาได้
ในขณะที่พี่รองสกุลติงกำลังครุ่นคิดเื่ที่จะพาฮูหยินและลูกๆ ของเขากลับไปในเมือง เสี่ยวฝูจื่อก็วิ่งอย่างทุลักทุเลเข้ามาและรายงานว่า “แม่นางติงกำลังจะคลอดแล้ว! ท่านป้า ท่านรีบไปดูนางเร็วเข้า!”
“คลอดแล้วอย่างนั้นหรือ?” ทุกคนในครอบครัวสกุลติงต่างก็ใมาก เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะคุยหัวเราะกันอยู่เลย เหตุใดจู่ๆ ถึงจะคลอดแล้วล่ะ
มารดากับบุตรสาวมีหัวใจที่สื่อถึงกัน แม่นางหลี่ว์รู้สึกได้ในทันทีว่าลูกสาวของนางมีบางอย่างผิดปกติ ภาพด้านหน้าของนางก็กลายเป็สีดำสนิท อีกเพียงนิดเดียวก็จะเป็ลมลงไปแล้ว เมื่อนางตั้งสติขึ้นมาได้ก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกโดยไม่ทันได้ใส่รองเท้าด้วยซ้ำ
แม่นางหลิวหยิบรองเท้าขึ้นมาแล้วรีบวิ่งตามไป ผู้าุโติงและลูกชายทั้งสองต่างพากันวิ่งไปที่จวนสกุลอวิ๋น แม่นางหวังมองไปที่เด็กๆ ทั้งสองคนและประตูบ้านที่เปิดกว้างอยู่ นางจึงทำได้แค่รอฟังข่าวคราวอยู่ที่บ้านเท่านั้น
การกระทำของครอบครังสกุลติงในครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านที่เห็นแตกตื่นไม่ใช่น้อย ดังนั้นพวกป้าสามกับป้าหกก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกนางพากันมารวมตัวกันเป็กลุ่ม ถึงแม้ปากจะไม่กล้าพูดนินทาอะไร ทว่าสีหน้าของแต่ละคนกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“เ้าเห็นแล้วใช่ไหม?”
“ข้าเห็นแล้ว เหมือนว่ากำลังรีบร้อนอยู่ด้วยนะ?”
“นั่นน่ะสิ ไม่รู้จะรีบร้อนอะไรกัน หรือว่าท่านนั้นกำลังจะคลอดแล้วหรือ?”
“เกรงว่าน่าจะ…เอ่อ เื่นั้นแหละ!”
ถึงแม้เหล่าผู้าุโและพวกชายหนุ่มจะสงสัยเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่สามารถไปรวมกลุ่มกับสตรีพวกนั้นได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่ยืนมองจากที่ไกลๆ แล้วทำเป็พูดคุยเื่ดินฟ้าอากาศ เพียงครู่เดียวก็มีคนมากมายมารวมตัวกันที่ถนนลูกรังซึ่งเป็เื่ที่เกิดขึ้นได้ยากในบริเวณที่ราบลุ่มแห่งนี้
ครอบครัวสกุลติงไม่มีเวลาไปใส่ใจกับพวกคนว่างงานที่ไร้สาระเช่นนี้ เกือบจะทันทีที่พวกเขาเข้ามาในจวนสกุลอวิ๋นก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางเรือนเล็กว่า “แม่นางติง เ้าตื่นขึ้นมาก่อน! เวลานี้เ้าจะมานอนหลับไม่ได้นะ ลูกเ้ายังไม่เกิดออกมาเลย!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงแม่นางหลี่ว์ คนในครอบครัวสกุลติงทั้งหมดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็รู้สึกขาอ่อนแรง แม่นางหลี่ว์เดินเข้าไปในห้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เหว่ยเอ๋อร์ แม่มาแล้ว! เหว่ยเอ๋อร์ เ้ารีบมาหาแม่สิ!”
ผู้าุโติงจับมือลูกชายของเขาและพยายามสงบสติอารมณ์ เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อทักทายท่านลุงอวิ๋น แต่ท่านลุงอวิ๋นไหนเลยจะมีกะจิตกะใจมาสนใจเื่เหล่านี้ เขาจึงโบกมืออย่างรวดเร็ว “พี่ชาย ข้าผิดเองเป็เพราะพวกข้าไม่ดูแลแม่นางติงให้ดี เมื่อครู่…นางสะดุดล้มลงไปก็เลยทำให้คลอดก่อนกำหนด!”
ผู้าุโติงรู้สึกเหมือนกำลังมีไฟลุกไหม้ในใจของเขา แต่เขาก็ไม่สามารถตำหนิสกุลอวิ๋นที่ดูแลนางไม่ดีได้ อย่างไรสุดท้ายแล้วลูกสาวของเขาก็เป็เพียงแม่ครัวคนหนึ่งเท่านั้น
“ผู้าุโอวิ๋นกล่าวเกินไปแล้ว!”
……
ภายในห้องติงเหว่ยได้หมดสติไปแล้วถึงแม้แม่นางหลี่ว์จะกอดและะโเรียกอย่างไรนางก็ไม่ยอมลืมตาขึ้นมา หมอตำแยทั้งสองนางต่างพากันกลัวจนอกสั่นขวัญแขวนไปหมด พวกนางพูดติดๆ ขัดๆ หาข้ออ้างให้ตนเองว่า “จะทำยังไงดี ถึงพวกเราจะมีพร์ในเื่นี้มากแค่ไหน แต่คนต้องตื่นอยู่ถึงจะคลอดลูกได้นะ”
“นั่นน่ะสิ ยาช่วยเร่งกำเนิดก็ดื่มเข้าไปแล้ว เืก็ไหลออกมาตั้งหลายอ่าง น้ำคร่ำก็ไม่เหลือแล้ว หากว่ายืดเยื้อออกไปคงไม่ดีต่อเด็กเป็แน่ …”
“เ้าอย่ามาพูดจาไร้สาระ ลูกสาวของข้าเป็ลูกศิษย์ของท่านย่าเทวาูเา นางมีเทวาูเาคุ้มครองอยู่ ทั้งแม่และลูกจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน พวกเ้ารีบไปทำคลอดเดี๋ยวนี้! หากว่าทำให้ลูกข้าเสียเวลาข้าจะเอาพวกเ้าให้ตายเลยเชียว!”
แม่นางหลี่ว์กอดตัวลูกสาวไว้แน่น น้ำตาของนางไหลออกมาไม่หยุด นางไม่กล้าคิดเลยว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของนางขึ้นมา ต่อไปนางจะอยู่ได้อย่างไร?
“เหว่ยเอ๋อร์ เ้าสงสารแม่หน่อยเถอะ เ้ารีบๆ ตื่นขึ้นมาเร็วเข้า ในท้องของเ้ายังมีลูกอยู่เลย! ไหนเ้าบอกว่าจะกตัญญูต่อแม่ไม่ใช่หรือ ไหนเ้าบอกว่าจะให้แม่มีชีวิตอย่างสุขสบายไม่ใช่หรือ? ลูกสาวของแม่ เ้าจะเป็อะไรไปไม่ได้นะ!”
เสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจของแม่นางหลี่ว์ดังออกมาถึงข้างนอก ทุกคนที่กำลังรออยู่ต่างก็ตาแดงก่ำกันไปหมด ผู้าุโติงถึงกับเข่าอ่อน เขาคุกเข่าหันไปทางวัดชานเฉินที่เชิงเขาทางทิศตะวันตก “ท่านย่าเทวาูเาได้โปรดคุ้มครองลูกสาวของข้าด้วย อย่าให้นางมีเื่อะไรเกิดขึ้นด้วยเถอะ!”
พี่ใหญ่และพี่รองสกุลติงก็พากันก้มหัวคำนับอยู่ด้านหลังท่านพ่อของพวกเขา
ท่านลุงอวิ๋นร้อนใจจนแทบจะฉีกฝ่ามือของเขาออกมาเป็ชิ้นๆ เขากระชากชุดของซานอีอย่างแรงพร้ะคอกด้วยความโมโหว่า “เ้าเป็หมอไม่ใช่หรือ รีบๆ คิดหาวิธีเร็วเข้าสิ ถ้ายาเร่งกำเนิดครั้งเดียวไม่ได้ผล เ้าก็ไปต้มมาอีกสิ”
อันที่จริงพวกเขาก็อาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้ด้วยกันมาตั้งหลายเดือนแล้ว ถึงเงยหน้าไม่เจอแต่ก้มหน้าก็ต้องเจออยู่ดี ติงเหว่ยคอยปรนนิบัติรับใช้นายน้อยด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ ซานอีเองก็ไม่อยากให้นางเป็อะไรไป แต่ผู้ชายคนหนึ่งอย่างเขาจะรู้เื่คลอดลูกได้อย่างไร แค่จ่ายยาเร่งกำเนิดก็ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ
“ท่านลุงอวิ๋น ขอเพียงมีวิธีข้าเองก็ไม่อยากเห็นแม่นางติงต้องมาตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ แต่เดิมนางยังไม่ถึงเวลาที่จะคลอดลูก เืที่ไหลออกมาก็ทั้งเยอะและเร็วมาก ต่อให้นางจะตื่นอยู่ก็ไม่สามารถที่จะคลอดได้ง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางหมดสติไปแล้วด้วย เว้นแต่ว่า…”
“เว้นแต่ว่าอะไร?” เมื่อได้ยินซานอีเอาแต่พูดครึ่งๆ กลางๆ ท่านลุงอวิ๋นก็เกือบจะต้องลงไม้ลงมือ ทว่ากงจื้อิที่กำหมัดแน่นอยู่ข้างๆ ตลอดกลับพูดเร่งขึ้นมาด้วยเสียงเ็าว่า “พูดออกมา!”
ซานอีแอบรู้สึกเสียใจขึ้นมานิดหน่อย แต่ในตอนนี้เขาเองก็ไม่สามารถลังเลได้ เขาจึงพูดออกมาว่า “เว้นแต่ว่าจะได้ดื่มน้ำโสมโบราณอายุ 500 ปี เพื่อช่วยต่อลมหายใจออกไปอีกสักพัก บางทีอาจมีความหวังที่จะพลิกวิกฤตได้”
เมื่อได้ยินดังนี้ผู้าุโติงและลูกชายทั้งสองคนก็มีสีหน้าหมดหวังในทันที บริเวณที่ราบลุ่มแห่งนี้อยู่ห่างไกล บนูเาเองก็ไม่มีทรัพยากรอะไรมากมาย ต่อให้จะมีคนโชคดีไปพบสมุนไพรบนูเาแต่ก็เป็แค่สมุนไพรทั่วไปเท่านั้น ต่อให้ไปร้านยาที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอชิงผิงเองก็ไม่แน่ว่าจะมีโสมเก่าแก่อายุร้อยปีได้
ซานอีพูดแบบนี้ออกมา แต่จริงๆ แล้วมันก็มีค่าเท่ากับไม่ได้พูดอะไรเลย
ทว่าดวงตาของท่านลุงอวิ๋นและกงจื้อิกลับเป็ประกายขึ้นพร้อมกัน ท่านลุงอวิ๋นกัดฟันของตนเองอย่างแรงจนทำให้ริมฝีปากเืออก จากนั้นเขาจึงรีบเข็นนายน้อยไปที่ห้องลับอย่างรวดเร็ว
……
ทันทีที่เ้านายและคนรับใช้ทั้งสามคนเข้าไปข้างใน ท่านลุงอวิ๋นก็ะโเรียกให้เฟิงจิ่วเฝ้าประตูเอาไว้ แต่ก่อนที่ท่านลุงอวิ๋นจะทันได้พูดอะไรออกมา ซานอีก็พูดออกมาด้วยสีหน้าเป็กังวลว่า “ไม่ได้เด็ดขาดนะท่านลุงอวิ๋น โสมเก่าแก่ที่เราเอามาจากซีจิงนี้เก็บไว้เพื่อใช้ยืดชีวิตของนายน้อยเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่าจะหาหมอเทวดาเจอเมื่อไร หากจู่ๆ วันหนึ่งนายน้อยกินอาหารไม่ได้ขึ้นมา ก็ทำได้แค่พึ่งพาโสมพวกนั้นเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงแม่ครัวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ต่อให้คนทั้งโลกจะต้องตายทั้งหมดก็ไม่อาจเอาโสมเ่าั้ออกมาใช้ได้!”
เมื่อกงจื้อิได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกลังเลขึ้นมาในใจนิดหน่อย เมื่อถึงเวลาที่ชีวิตของตนเองขัดแย้งกับชีวิตของผู้อื่น แม้แต่ขอทานก็ยังเลือกที่จะปกป้องตนเอง ไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีแค้นอันยิ่งใหญ่ที่รอวันชำระล้างอยู่...
ทว่าในสมองของเขากลับมีภาพเหตุการณ์ต่างๆ ปรากฏขึ้นมานับไม่ถ้วน ภาพที่สตรีผู้นั้นตั้งใจเตรียมอาหารให้เขาอย่างพิถีพิถัน ภาพที่พวกเขาคุยกันเื่บันทึกการเดินทางแล้วนางมีท่าทางอยากจะออกไปเดินทาง ภาพที่นางกำลังนวดให้เขาอย่างตั้งใจและเม็ดเหงื่อที่ไหลออกมา…
“ไป…”
“นายน้อย!”
ในขณะที่กงจื้อิเพิ่งจะพูดออกมาเพียงหนึ่งคำ ท่านลุงอวิ๋นก็ทรุดตัวลงไปคุกเข่ากับพื้น เขารอคอยเื่บางอย่างมากว่าครึ่งปีแล้วและอยากจะเห็นความปรารถนาเป็จริง เขาไม่ได้อยากเห็นเื่ร้ายใดๆ เกิดขึ้น ท่านผู้าุโจึงไม่สามารถทนเก็บไว้ได้อีกต่อไป เขาเกือบจะโผเข้าไปกอดขาที่ไร้ความรู้สึกของนายน้อยด้วยน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า เขาพยายามลดเสียงลงและสารภาพความจริงทั้งหมดออกไป
“นายน้อย เด็กในท้องของแม่นางติงเป็ลูกของท่าน! นั่นคือสายเืของสกุลกงจื้อ! นายน้อย ท่านจะต้องช่วยชีวิตแม่นางติงเอาไว้ โสมเก่าแก่สามารถหาใหม่ได้แต่หากเด็กจากไปตอนนี้สกุลกงจื้อก็จะไม่มีทายาทสืบทอดอีกต่อไป!”
“ท่านลุงอวิ๋นว่าอะไรนะ” ซานอีเอาหัวเขกที่ขอบหน้าต่าง ดวงตาของเขาแทบจะหลุดเพราะความใ
กงจื้อิถึงกับพลั้งมือคว่ำโต๊ะชาลง มือซ้ายที่ค่อยๆ เคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆ ก็ะเิพลังมหาศาลออกมาอีกครั้ง เขาใช้มือเดียวกระชากผู้ดูแลบ้านาุโขึ้นมา และพูดด้วยเสียงดุดันว่า “พูดออกมา!”
ท่านลุงอวิ๋นไม่กล้ารอช้าอีกต่อไป ศีรษะที่มีผมสีขาวอมเทาของเขากระแทกลงกับรถเข็นอย่างแรง “นายน้อย บ่าวจะบอกต้นสายปลายเหตุกับท่านทั้งหมดอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ท่านรีบให้ซานอีช่วยชีวิตท่านชายน้อยก่อนเถอะ!”
กงจื้อิสูดหายใจลึกๆ พยายามระงับการเต้นของหัวใจอย่างถึงที่สุด เขาโบกมือให้ซานอีและสั่งว่า “ช่วยชีวิตคนก่อน!”
ตอนนี้ในใจซานอีเต็มไปด้วยความสงสัยจนเกือบจะะเิออกมา แต่เขาก็ไม่กล้าจะรอช้าอีกต่อไปจึงรีบเปิดประตูและวิ่งไปที่ห้องของตนเองอย่างรวดเร็ว
……
ผ่านไปครู่หนึ่งภายในห้องก็หลงเหลือเพียงเสียงหายใจติดๆ ขัดๆ ของท่านลุงอวิ๋น และยังมีเสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงของกงจื้อิ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงถามออกมาว่า “ตอนที่ข้าถูกพิษฉือฮว่าเฟินในคืนนั้นใช่หรือไม่?”
หลังจากนั้น ไม่ทันรอให้ท่านลุงอวิ๋นได้ตอบ เขาก็กวาดตามองไปทางเฟิงจิ่วที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “นอกจากข้าและเฟิงจิ่วยังมีใครที่รู้เื่นี้อีกบ้าง?”
เมื่อเฟิงจิ่วได้ยินดังนั้นเขาก็คุกเข่าลงทันทีและเอาศีรษะแนบไปกับพื้นหินสีดำสนิทโดยไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ ต่อให้วันนี้นายท่านจะพิการกึ่งหนึ่ง แต่เขาก็ไม่เคยกล้าดูถูกเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้เวลาที่เสือนอนอยู่จะเหมือนแมวตัวใหญ่สักแค่ไหน แต่อย่างไรมันก็เป็สัตว์กินเนื้อ เมื่อปีนั้นชาวเผ่าเถียเหล่ยที่ตายด้วยฝีมือของนายท่าน นับแค่ศีรษะก็มากพอที่จะเป็ูเาเล็กๆ หนึ่งแห่ง
“นายน้อย โปรดระงับโทสะ ทั้งหมดเป็ความผิดของบ่าวเฒ่าคนนี้เอง” ท่านลุงอวิ๋นปาดน้ำมูกและน้ำตาบนใบหน้าอย่างลวกๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เมื่อกองทัพเคลื่อนทัพกลับมาในวันนั้น เ้าคนสารเลวหลิวพัวจวินก็ใช้โอกาสที่นายน้อยไม่ทันได้ระวัง ทำอะไรบางอย่างกับน้ำชาแก้วนั้น แม้ว่านายน้อยจะมียาแสร้งตายเพื่อเอาตัวรอด แต่ก็ยังอันตรายเกินไป บ่าวเฒ่า…บ่าวเฒ่าเกรงว่าวันหน้านายน้อยจะไม่อาจ… ทำให้สกุลกงจื้อไม่มีทายาทสืบสกุล ดังนั้นจึงให้อวิ๋นอิ่งหาหญิงสาวบริสุทธิ์จากบริเวณหมู่บ้านในูเาแถบนี้ โดยใช้โอกาสตอนที่นายน้อยไม่ค่อยมีสติแล้วใส่ชุยฉิงเย่า [1] ลงไป”
“บ่าวเฒ่ารู้ดีว่านายน้อยประพฤติตนเที่ยงธรรม หากบอกความจริงไปนายน้อยก็คงจะปฏิเสธเป็แน่ แต่ยังไงบรรพบุรุษของสกุลกงจื้อก็ต้องมาก่อน บ่าวทนเห็นสกุลกงจื้อไม่มีสายเืหลงเหลืออยู่ไม่ได้จริงๆ จึงทำให้ตัดสินใจทำลงไปโดยพลการ และหญิงสาวในคืนนั้นก็คือแม่นางติง เดิมทีบ่าวเองก็ไม่กล้ามั่นใจว่าแม่นางติงจะตั้งครรภ์ จึงให้อวิ๋นอิ่งคอยแอบดูแลและคุ้มครองนางอย่างเงียบๆ นึกไม่ถึงว่าิญญาบรรพบุรุษสกุลกงจื้อจะมีอยู่จริง ในตอนที่นายน้อยเดินทางมาถึงที่นี่ก็เอ่ยปากจะพักอาศัยอยู่ชั่วคราว หลังจากนั้นไม่กี่วันอวิ๋นอิ่งก็มารายงานกับข้าว่าแม่นางติงตั้งครรภ์แล้ว บ่าวคิดจะจุดประทัดเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อคิดว่านายน้อยถูกพิษอยู่และยังรักษาไม่หาย อีกทั้งเกรงว่าศัตรูที่แข็งแกร่งจะรู้เื่เข้าและไล่ตามมาตอนไหนก็ไม่อาจรู้ หากว่ามีเื่เช่นนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ลูกของแม่ครัวคนหนึ่งคงไม่ดึงดูดความสนใจอะไรมาก แล้วก็ยังใช้ชีวิตได้ง่ายกว่า ดังนั้น…”
ผู้าุโพูดๆ อยู่น้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง เขาคำนับด้วยความเคารพอย่างถึงที่สุด “นายน้อย บ่าวเฒ่าคนนี้แอบวางยาและยังหลอกลวงนายน้อยอีกด้วย ขอให้ท่านลงโทษอย่างหนักได้เลย แต่นายน้อยไม่อาจปล่อยให้คุณชายน้อยสูญเสียไปได้ บ่าวขอให้นายน้อยเห็นแก่ว่าท่านเป็สายเืของสกุลกงจื้อคนเดียวที่เหลืออยู่ นายน้อยโปรดเมตตาด้วย!”
เฟิงจิ่วเองก็คำนับและขอร้องเบาๆ “นายน้อยโปรดเมตตาด้วย แม่นางติง...ก็ลำบากมากเช่นกัน!”
ดวงตาทั้งสองข้างของกงจื้อิจับจ้องไปยังขอบหน้าต่างที่ถูกพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินอาบย้อมเป็สีส้ม ในสมองของเขามีเสียงดังตีกันไปมา และในใจของเขาราวกับมีขวดเครื่องปรุงเทลงไป ทั้งรสชาติขม เผ็ด เปรี้ยว หวานผสมปนเปอยู่ด้วยกันเต็มไปหมด
รู้สึกดีหรือไม่ เขาที่เป็คนพิการครึ่งตัวกลับมีทายาทหลงเหลืออยู่!
รู้สึกโกรธหรือไม่ คนรับใช้เก่าแก่ปิดบังเื่นี้มานานหลายวัน แต่ที่ทำลงไปก็เพราะความซื่อสัตย์
รู้สึกสงสารหรือไม่ สตรีผู้นั้นปกป้องสายเืของเขาจากคำพูดราวกับคมมีด [2] จนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร?
รู้สึกละอายใจหรือไม่ ที่เมื่อครู่เขาเกิดลังเลที่จะให้โสมเก่าแก่ไป…
ในอีกฝั่งหนึ่งที่ห้องโถง ติงเหว่ยกลับไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์รอบๆ ตัวของนางแทบจะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน [3] ความเ็ปในตอนแรกเสมือนเป็กุญแจที่เปิดโลกอันมืดมิดของนางออกมา
-----------------------------------------
[1] ชุยฉิงเย่า 催情药 หมายถึง ยาปลุกอารมณ์
[2] คำพูดราวกับคมมีด 刀口舌中 หมายถึง คำพูดที่แทงใจคนได้ราวกับคมมีด
[3] พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน 天翻地覆 หมายถึง เปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือ