ณ เรือนมวลบุปผา
มู่อวิ๋นจิ่นอาบน้ำชำระล้างกายเรียบร้อย จากนั้นเอนตัวพิงกับหัวเตียง ก่อนที่จะกินโจ๊กธัญพืชที่จื่อเซียงทำให้ไปหลายคำ
“คุณหนู วันนี้คุณหนูยอดเยี่ยมมากเลยเ้าค่ะ โชคดีมากที่คุณหนูทิ้งกล่องเครื่องประดับนั้นไป มิเช่นนั้นคุณหนูอาจจะต้องโดนเื่ขโมยของแล้วก็พยายามฆ่าเป็แน่”
จื่อเซียงนึกถึงเหตุการณ์ที่หอปี้ลั่ว ยังคงรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย
“ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองต่างก็ใช้ข้าเป็เครื่องมือ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน ข้าจะทำให้มันสูญเปล่าได้เยี่ยงไรเล่า เื่หนี้พนันของมู่อี้หยางก็เป็เื่จริง ท่านพ่อไปสืบหาไม่นานก็รู้แล้ว พรุ่งนี้ฮูหยินรองดิ้นไม่หลุดแน่”
จื่อเซียงพยักหน้า ก่อนจะพูดออกมาเสียงแ่เบา “แล้วฮูหยินใหญ่ล่ะเ้าคะ? วันนี้เกิดเื่เช่นนั้นขึ้น ความสัมพันธ์แม่ลูกของคุณหนู เกรงว่าคงจะแย่เสียแล้ว”
“ความสัมพันธ์แม่ลูก? ระหว่างนางกับข้าเคยมีด้วยงั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นกล่าวอย่างเ็า และม่านตาของเธอก็หดลงครู่หนึ่ง
นางอยากจะล้างแค้น ส่วนแม่ลูกคู่นั้น ตอนนี้นางก็เพียงแค่ให้อภัยชั่วคราวเท่านั้น จะเร็วจะช้านางจะต้องให้บทเรียนที่สาสมกับทั้งคู่อย่างแน่นอน
ไม่ต้องคาดหวังความเป็ธรรมกับคนในจวนนี้หรอก
จื่อเซียงได้ฟังเช่นนั้น ก็พลันถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะหยุดพูดถึงเื่นี้และเหลือบดูชั่วยาม จากนั้นจึงเริ่มจัดเสื้อผ้าของมู่อวิ๋นจิ่น
ครู่หนึ่ง จื่อเซียงก็ถอนหายใจออกมาอีกครา หยิบชุดของมู่อวิ๋นจิ่นออกมา ก่อนจะจับอย่างระมัดระวัง
“คุณหนู จี้หยกของคุณหนู เหตุใดไม่มีแล้วล่ะเ้าคะ?”
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักงัน เรียวคิ้วขมวดแน่น จี้หยกติดตัวงั้นหรือ? นางมีของเช่นนี้ด้วยงั้นหรือ?
หลังจากนั้นไม่นาน มู่อวิ๋นจิ่นก็นึกขึ้นได้ว่า นางมีจี้หยกขาวพระจันทร์พร้อมสลักชื่อของนางไว้
เมื่อจื่อเซียงพูด นางก็ไม่แน่ใจว่าไม่เห็นจี้หยกนั่นมากี่วันแล้ว
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ อาจจะหล่นหายที่ไหนสักแห่ง” มู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับจี้หยกสักเท่าไรนัก
ผิดกับจื่อเซียงที่ดูร้อนรนมาก “คุณหนู สิ่งนั้นคือของติดตัวของคุณหนูมาั้แ่ยังเด็ก ทำไมถึงทำราวกับว่าหายไปก็ไม่เป็ไรล่ะเ้าคะ”
จื่อเซียงเอ่ยก่อนจะเดินไปที่เชิงเทียน ก่อนจะเป่าเทียนจนมอดดับ
ห้องที่เดิมทีสว่างจากแสงเทียน กลับกลายเป็ตกอยู่ในความมืดมิด
“จื่อเซียง เ้าทำอะไร?” มู่อวิ๋นจิ่นหรี่ตาลง เบื้องหน้านั้นมี่แต่ความมืด มองสิ่งใดไม่เห็น
“จี้หยกนั้นสามารถเปล่งแสงได้ในที่มืดเช่นนี้ หากดับเทียนแล้วจะหาได้ง่ายกว่าเ้าค่ะ” จื่อเซียงตอบ ก่อนนั่งลงและคลำหาอย่างระวัง
มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจเล็กน้อย แล้วนอนลงโดยเอาผ้าห่มคลุมศีรษะของนาง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด แสงสว่างจากเทียนก็สว่างขึ้นมาอีกครา จื่อเซียงดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “คุณหนู หากว่าจี้หยกนั้นหายไปแล้วจริง ๆ ควรทำเช่นไรล่ะเ้าคะ และหากมีคนนำไปขาย เช่นนั้นก็จบแล้ว”
“ช่างเถอะ แค่จี้หยกแผ่นเดียวเท่านั้น อย่าคิดมากไปเลย รีบพักผ่อนกันเถอะ” มู่อวิ๋นจิ่นหันตัวกลับมา ก่อนจะอ้าปากหาวไปหนึ่งที
“คุณหนู!” จื่อเซียงแผดเสียงขึ้นมาในทันที “จี้หยกนั่นทำมาจากหินหยกขาวที่หายากมาก ว่ากันว่าต้องใช้เวลาเกือบร้อยปีในการขัดเกลาจี้หยก ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำ หนำซ้ำบนจี้นั่นยังมีชื่อของท่านสลักไว้อีกด้วย”
“หินหยกขาว ราคาประมาณเท่าไรงั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยถาม
“บ่าวโง่เขลายิ่งนัก แต่เมื่อยังเป็เด็ก บ่าวได้ยินท่านป้าจางพูดถึงมัน ว่ากันว่าจี้หยกนี้หายากมาก และมีมูลค่าหลายหมื่นตำลึงเลยทีเดียว”
มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นพรวดในทันที มองไปที่จื่อเซียงด้วยแววตาประหลาดใจ “หมื่นตำลึง? จี้หยกนั่นราคาสูงเพียงนี้เลยหรือ?”
จื่อเซียงพยักหน้ารับอย่างงุนงง
“จื่อเซียง อย่าล้อข้าเล่นนะ บนตัวของข้าจะมีของที่มีราคามากมายขนาดนั้นได้อย่างไร ป้าจางอะไรนั่นต้องพูดมั่วซั่วไปเองแน่นอน เ้ารีบออกไปเถอะ พักผ่อนได้แล้ว”
เมื่อจื่อเซียงออกไป มู่อวิ๋นจิ่นก็ยื่นมือแผ่นิ้วออก ก่อนค่อย ๆ หักมันพลางพึมพำแ่เบา “หมื่นตำลึง มันมีค่าขนาดนั้นเลยหรือ?”
หลังจากคิดเกี่ยวกับเื่นี้มู่อวิ๋นจิ่นก็ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะ พลางนึกย้อนไปถึงครั้งสุดท้ายที่นางเห็นจี้หยกนั้น แต่นางกลับจำอะไรไม่ได้เลย และจู่ ๆ ใบหน้าของฉู่ลี่ก็ปรากฏขึ้นภายในหัวของนาง
“เฮ้อ ทำไมถึงได้นึกถึงองค์ชายน้ำแข็งนั่นกันนะ”
...
วันรุ่งขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นตื่นแต่เช้า เพื่อหลังจากที่เสนาบดีมู่ไขความกระจ่างแล้ว นางจะได้ไปเจอกับฮูหยินรอง
ทว่ารอั้แ่เช้าตรู่จนกระทั้งเกือบเที่ยงวัน ไม่มีแม้สักคนมาที่เรือนมวลบุปผาเพื่อเรียกนาง
จนกระทั่งจื่อเซียงนำอาหารกลางวันกลับมาที่เรือน มู่อวิ๋นจิ่นถึงเพิ่งจะได้รับข่าวคราว
“คุณหนู ฮูหยินรองและคุณชายรองถูกพาออกไปจากจวนแล้วเ้าค่ะ นายท่านประกาศว่านับแต่นี้ไป คุณชายรองจะไม่ใช่คนของสกุลมู่อีก นอกจากนี้นายท่านยังได้มอบจนหมายหย่าให้กับฮูหยินรองอีกด้วย”
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว ถือว่าข้าชนะแล้วใช่หรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่นางไม่ได้รู้สึกอะไรมากกับเื่นี้
จื่อเซียงพยักหน้า พลางเลื่อนสายตามองไปรอบด้าน ก่อนจะกระซิบแ่เบาที่ข้างหูของมู่อวิ๋นจิ่น “ข้าได้ยินมาว่า คุณชายรองเล่นการพนันมากมายที่บ่อนนอกเมือง และเป็หนี้จำนวนมาก มิหนำซ้ำยังแอบไปจำนำบ้านส่วนตัวในเมืองจางโจว เช้านี้นายท่านจึงเอาเงินไปโรงรับจำนำเพื่อไถ่คืนแล้วเ้าค่ะ”
“บ่าวบังเอิญพบกับนายท่านระหว่างทางเข้าพอดี สีหน้าของนายท่านโกรธเกรี้ยวเป็อย่างมาก เพียงแค่มองก็รู้ได้เลยทันที”
มู่อวิ๋นจิ่นเมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาก็เต็มเปี่ยมด้วยความพึงพอใจ นางอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าคิดว่า เมื่อ มู่อี้หยางฟื้นขึ้นมา เขาจะรีบวิ่งมาที่ประตูจวนและเป็ฟ้องว่าข้าเตะเขาหรือไม่?”
“คุณหนู ใครจะเชื่อกันเล่าว่าท่านหญิงสาวผู้แสนอ่อนแอจะทำเยี่ยงนั้นกับคุณชายรองได้” ในสายตาของจื่อเซียงช่างยากที่จะคาดเดา
มู่อวิ๋นจิ่นอารมณ์ดีขึ้นมาในทันใด พลางเอื้อมมือออกไปขยี้ผมของจื่อเซียงอย่างเอ็นดู “เ้านี่นะ เพราะเป็เช่นนี้อย่างไรเล่าข้าถึงได้พอใจ!”
“เอาล่ะ คุณหนูรีบทานเถอะเ้าค่ะ มิเช่นนั้นอาหารจะชืดพอดี” จื่อเซียงกล่าวยิ้ม ๆ จัดแจงอาหารที่นำมาจากครัวเล็กวางไว้บนโต๊ะ
มู่อวิ๋นจิ่นเมื่อเห็นว่าเป็ข้าวต้มและเครื่องเคียงอีกแล้ว ก็รู้สึกไม่อยากอาหาร นางเงยหน้าขึ้น พลางถอนหายใจเล็กน้อย “ั้แ่ข้ามาที่นี่ ข้ายังไม่ได้กินเนื้อเลยสักคำ”
“คุณหนูอย่าเศร้าไปเลยเ้าค่ะ รอให้ท่านเข้าไปอยู่ร่วมตำหนักกับองค์ชายหกเมื่อไร เช่นนั้นการได้กินเนื้อจะถือเป็เื่ง่ายดายเลยไม่ใช่หรือเ้าคะ?” จื่อเซียงกล่าวด้วยความจริงใจ
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก การมีเด็กคนนี้อยู่ข้างกายของนาง ทำให้นางรู้สึกว่าชีวิตมีสีสัน มิฉะนั้นคงไม่มีใครทำให้นางรู้สึกคลายเบื่อได้แน่
หลังจากรับประทานอาหารอย่างง่ายแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็ขยับย้ายเก้าอี้ ไปนั่งด้านนอกประตูอาบแดดอย่างสบาย ๆ ก่อนจะหรี่ตาเล็กน้อยด้วยใบหน้าที่เกียจคร้าน
ขณะที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น ก็มีเสียงฝีเท้ามุ่งหน้ามายังเรือนมวลบุปผา
มู่อวิ๋นจิ่นเปิดเปลือกตาขึ้น เฝ้ารอใครสักคนผลักประตูเข้ามา
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูเรือนมวลบุปผาก็ถูกผลักเปิดออก เสนาบดีมู่ยืนอยู่ที่ประตูและเดินมาทีละก้าว
“ท่านพ่อ” มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นยืน ก่อนจะค้อมตัวโค้งคำนับเสนาบดีมู่
เสนาบดีมู่พยักหน้ารับพลางเลื่อนสายตามองมาที่มู่อวิ๋นจิ่น ใบหน้าของเขาดูไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย เขามองไปรอบ ๆ กระแอมแ่เบาในลำคอก่อนจะกล่าวว่า “เหตุการณ์เมื่อวานนี้นั้น ได้กระจ่างแจ้งชัดเจนหมดแล้ว”
“อวิ๋นจิ่นได้ยินมาบ้างแล้วเ้าค่ะ” มู่อวิ๋นจิ่นกล่าว
“อืม ข้าทำผิดต่อเ้าแล้ว” เสนาบดีมู่เอ่ยปากอย่างไม่เป็ธรรมชาติอีกครา ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว ไม่รู้สักนิดว่าที่นี่จะทรุดโทรมเช่นนี้”
“สู้ั้แ่วันนี้ไป เ้าย้ายไปเรือนบุปผาภิรมย์ก่อน ส่วนที่นี่ข้าจะให้คนมาจัดการซ่อมแซมใหม่ทั้งหมด ดีหรือไม่?”
การเปลี่ยนทัศนคติอย่างกะทันหันของเสนาบดีมู่ ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึก 'ปลื้มปิติ' เล็กน้อย แต่เนื่องจากทุกคนพูดเยี่ยงนั้น นางจะไม่หลบเลี่ยงอย่างโง่เขลาเป็อันขาด
เปลี่ยนไปที่ที่ดีกว่าจะได้อยู่อย่างสบายขึ้น ไม่แน่อาจจะได้กินเนื้อสัตว์บ้างก็ได้!
“อวิ๋นจิ่นขอบน้ำใจท่านพ่อเ้าค่ะ” มู่อวิ๋นจิ่นแสร้งทำเป็ว่าอ่อนน้อมถ่อมตน ก่อนจะคลี่ยิ้มจาง ๆ
“อืม หากไม่มีอะไรแล้วข้าไปล่ะ จากนี้เ้าก็อยู่ที่เรือนบุปผาภิรมย์ อยากจะไปไหนก็ไปได้ตามแต่เ้า้า ไม่ต้องทำเช่นที่นี่อีกต่อไป” เสนาบดีมู่พูดจบก็เดินออกไป
หลังจากเสนาบดีมู่ไป จื่อเซียงกลับตื่นเต้นเสียยิ่งกว่ามู่อวิ๋นจิ่น “ช่างดีเหลือเกินเ้าค่ะคุณหนู เราไม่ต้องอยู่ที่อีกต่อไปแล้ว ท่านไม่ต้องถูกกักขังเอาไว้อีกแล้ว จากนี้ไปท่านจะเป็คุณหนูสามของจวนแห่งนี้อย่างจริง ๆ เสียที ไม่ต้องถูกผู้ใดรังแกอีกแล้ว”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ ก่อนจะดีดนิ้วหนึ่งที “ไปเก็บข้าวของกัน!”
“เ้าค่ะ!”
…
ข้าวของของมู่อวิ๋นจิ่นนั้นมากมาย แต่หลังจากขนย้ายกับจื่อเซียงหลายต่อหลายรอบ ทั้งสองก็ขนย้ายข้าวของจนเสร็จ
การขนย้ายข้าวของ ราวกับพลิกเรือนมวลบุปผาทั้งเรือน แต่ถึงอย่างไรมู่อวิ๋นจิ่นก็ไม่พบร่องรอยของจี้หยกของตนแม้สักนิด ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าจี้หยกนั้นหายไปจริง ๆ
ในใจของนางรู้สึกเสียดายอยู่ชั่วครู่ ทว่าการได้ย้ายไปอยู่เรือนใหม่นั้นทำให้นางรู้สึกดียิ่งกว่า ไม่นานนางก็สลัดความรู้สึกเื่จี้หยกได้อย่างรวดเร็ว
วิ่งวุ่นทั้งวันจนฟ้ามืด ในที่สุดมู่อวิ๋นจิ่นก็จัดแจงข้าวของในเรือนบุปผาภิรมย์เรียบร้อย ขณะที่นางกำลังจะให้ จื่อเซียงไปจัดเตรียมอาหารค่ำ ด้านนอกก็มีบ่าวมายืนที่หน้าประตูเรือน ด้วยท่าทางสุภาพ
“คุณหนูสาม นายท่านให้มาเชิญไปทานอาหารที่ห้องโถงเ้าค่ะ”
“โถง? มีผู้ใดบ้าง?” มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เสนาบดีมู่มีอะไรเปลี่ยนไปหรือไม่?
ทั้งให้นางย้ายที่อยู่ ทั้งให้นางไปกินข้าวร่วมโต๊ะอีก
“ฮูหยินใหญ่และคุณหนูสี่ และฮูหยินสามกับคุณหนูห้าเ้าค่ะ” บ่าวในจวนกล่าว
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า หลังจากเก็บของเรียบร้อย นางก็เดินไปที่ห้องโถงด้านหน้า
ภายในโถงด้านหน้า เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นมาถึง ทุกคนก็นั่งอยู่ก่อนแล้ว รอยแผลเป็บนใบหน้าของซูปี้ชิงจางลงมากแล้ว ดังนั้นนางจึงออกมาทานอาหารด้วย
มู่หลิงจูเหลือบมองมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนจะรีบดึงสายตากลับทันที ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเ็า ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน
ฮูหยินสามลัวหนิงอวี่นั่งกับมู่เซี่ยโหรว เมื่อมู่เซี่ยโหรวเห็นมู่อวิ๋นจิ่นนางก็จ้องเขม่น แต่ฮูหยินสามก็บีบต้นขาของนางเอาไว้ จากนั้นนางก็เปลี่ยนเป็คลี่ยิ้มให้มู่อวิ๋นจิ่น
“อวิ๋นจิ่นมาแล้วงั้นหรือ นั่งสิ กินข้าวด้วยกัน” เสนาบดีมู่ชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับก่อนจะนั่งลง เบื้องหน้าของนางเต็มไปด้วยเนื้อไก่ เนื้อเป็ดและปลา แต่ในบรรยากาศเช่นนี้ จู่ ๆ นางก็คิดว่าอาหารพวกนี้สู้โจ๊กกับเครื่องเคียงไม่ได้เลย
มู่อวิ๋นจิ่นหยิบตะเกียบขึ้นมา ขณะที่กำลังจะยกชามข้าว ด้านหน้าก็มีคนหยิบคอไก่ชิ้นหนึ่งมาวางให้นาง คอไก่นั้นเกือบจะมีแต่กระดูก มีเนื้อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ท่านพี่ เื่เมื่อวานนี้ข้าขออภัยด้วย จูเอ๋อร์ขออภัยท่านพี่ด้วยเ้าค่ะ” มู่หลิงจูคลี่ยิ้มมองมาที่มู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบมองที่คอไก่ตรงหน้า และเงยหน้าขึ้นเพื่อเผยรอยยิ้มที่ไม่เป็พิษเป็ภัยให้มู่หลิงจู “ขอบน้ำใจน้องยิ่งนัก แต่พี่เคยชินกับการกินมังสวิรัติแล้ว คอไก่ชิ้นนี้ยกให้เ้าเถิด”
หลังจากนั้น นางก็คีบคอไก่ด้วยตะเกียบโยนลงในชามของมู่หลิงจู
มู่หลิงจูกำลังจะด่าออกมา ก่อนจะเห็นว่ามู่อวิ๋นจิ่นกินผักไปหลายคำ แลดูเอร็ดอร่อยเพลิดเพลินโดยไม่ใส่ใจนางเลยสักนิด
ั้แ่เมื่อครู่นี้ ซูปี้ชิงเพียงแค่มองมาที่มู่อวิ๋นจิ่น พินิจพิเคราะห์ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรเปลี่ยนไป แต่กลับพูดไม่ออก
หรืออาจจะแค่เื่บังเอิญ นางคงสงสัยมากเกินไป