เล่มที่ 4 บทที่ 98
มู่หรงฉิงได้ฟังคำนั้นนางถึงกับตกตะลึง จากนั้นจึงถอนหายใจ “เดี๋ยวใบหูของนางจะได้เจอดีอีกหนแล้ว” นางสามารถจินตนาการถึงเสียงคำรามต่างๆ อย่างโกรธขึ้งของเป้ยหนิงในอีกสักพักหนึ่ง
เฉินเทียนหยูจับมือของมู่หรงฉิงโดยไม่พูดอะไร พลางมองสภาพแวดล้อมรอบๆ บางเวลาก็ัักำแพงหินของอุโมงค์ลับอย่างอยากรู้ อีกชั่วขณะหนึ่งก็มองไปที่อัญมณีเรืองแสงบนผนัง “น้องหญิง อัญมณีพวกนี้สวยมาก มันเปล่งประกายแสงได้ด้วย”
“ใช่ๆ จ้าวจื่อซินมีเงินมากกว่าพวกเราเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมีอัญมณีเรืองแสงจำนวนมากสำหรับทำหน้าที่ส่องสว่าง ดูเหมือนว่าพวกเราได้พบกับคนที่มีสถานะแล้ว” นี่เป็การหยอกเย้าสถานะของจ้าวจื่อซิน ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้นจึงยกมุมปากขึ้น ก่อนทอดสายตามองนางอย่างอ่อนโยน “นี่ไม่ใช่อัญมณีเรืองแสง”
แม้ว่าเขาจะเป็คนฟุ่มเฟือย แต่กระนั้นเขาก็ไม่ฟุ่มเฟือยกับบ้านเรือนหลายหลังในเมืองหลวงและอุโมงค์ลับมากมาย หากทุกอุโมงค์ลับใช้อัญมณีเรืองแสงอันล้ำค่าเพื่อให้ความสว่าง เกรงว่าเขาจะต้องถูกท่านพ่อของเขาทุบตีจนตายเป็แน่ “สิ่งเหล่านี้เป็แร่ต่างหากล่ะ หลังูเาด้านหลังบ้านของข้ามีสิ่งนี้ไม่น้อย”
แม้ว่าแร่จะล้ำค่าแต่อย่างน้อยเขาก็เป็คนค้นพบ ดังนั้นเขาจึงใช้มันอย่างมั่นใจ จวบจนกระทั่งเวลานี้ เขายังจำสีหน้าของชายชราผู้มีเครายามจ้องเขม็งมาทางเขาได้
คิดแล้วก็อยากจะหัวเราะ
“พวกเราจะไปไหนกัน?” มู่หรงฉิงประหลาดใจกับความมั่งคั่งของครอบครัวของจ้าวจื่อซิน แต่เฉินเทียนหยูไม่มีความตื่นเต้นเช่นก่อนหน้าแล้ว เขาสอบถามมู่หรงฉิงเบื่อหน่าย “เส้นทางนี้ยาวไกลมาก และไม่มีอะไรให้ดูเลย มันน่าเบื่อมาก“
“พวกเราออกไปดูด้านนอกเมืองกัน บางทียามนี้อาจจะมีดวงดาวมากมายก็เป็ไปได้” ปลอบประโลมเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงวิตกกังวลว่าเฉินเทียนหยูจะทำลายแผนการของนางในอีกสักครู่ นางจึงพูดต่อ “ข้าได้ยินชิงยวี่พูดว่า บริเวณใกล้แม่น้ำมีปลาตัวอวบอ้วนไม่น้อยเลย อีกสักพักท่านพี่กับชิงยวี่ไปจับปลา พวกเรามาย่างปลากินกันดีหรือไม่?”
“ดี ดี” เฉินเทียนหยูได้ยินว่าจะได้กินปลาย่าง แม้จะเพิ่งทานอาหารอิ่มก็เบิกตากว้างทันที เขาหวังเป็อย่างมากว่าจะสามารถออกจากอุโมงค์ลับโดยเร็วที่สุด และจะได้ไปจับปลามากิน
ทันทีที่ออกจากอุโมงค์ลับ เฉินเทียนหยูจึงเหมือนนกที่ออกมาจากกรง เขาดึงชิงยวี่วิ่งไปริมตลิ่ง ชิงยวี่รู้ว่ามู่หรงฉิง้าผลักเฉินเทียนหยูออกไป เขาถึงได้ดึงเฉินเทียนหยูออกไปอย่างรู้ความ จวบจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงร่าเริงของเฉินเทียนหยูอย่างสมบูรณ์ จ้าวจื่อซินก็พูดกับมู่หรงฉิงว่า “ม้วนภาพวาดเ่าั้ เ้าจะเผามันจริงๆ หรือ?”
จ้าวจื่อซินเอ่ยถามขณะมู่หรงฉิงหยิบอวี้หวน*ออกมาจากแขนเสื้อของนาง
(*เป็หยกชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็วงกลมหรือเกือบกลมมีรูตรงกลาง)
อวี้หวนชิ้นนี้ถูกค้นพบในขณะที่นางกำลังจัดเก็บม้วนกระดาษภาพวาดโดยพบในม้วนกระดาษซึ่งเป็ภาพวาดขณะที่หลิงชิงป๋อกำลังถือพัดด้วยความอ่อนโยน
ตามข่าวคราวจากจ้าวจื่อซิน วันที่บนม้วนภาพวาดคือวันแต่งงานของหลิงชิงป๋อ คิดว่าใน่เวลานั้นท่านแม่คงจะเสียใจอย่างเหลือทนกระมัง? หลิงชิงป๋อแต่งงานหลังจากที่ท่านแม่แต่งงานเป็เวลานาน คิดว่าเขาฝังความรักไว้อย่างลึกซึ้ง ทั้งที่ท่านแม่รู้ความจริงแล้ว แต่ท่านแม่ก็ทำได้เพียงดูเขาแต่งงานกับผู้อื่น ท่านแม่คงปวดใจสุดจะทนเป็แน่
อวี้หวนชิ้นนี้ไม่เหมือนเครื่องประดับและไม่รู้ว่ามันคืออะไร? แต่การแกะสลักลายกลับมีความซับซ้อนเป็อย่างมาก ครั้นมองพิจารณาใกล้ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนกลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็พระคัมภีร์
อวี้หวนชิ้นนี้จะเป็ของหลิงชิงป๋อหรือไม่? หรือว่านี่คือสิ่งของอันเป็สัญลักษณ์ของความรักระหว่างท่านแม่กับหลิงชิงป๋อ?
คิดอย่างคลุมเครือในใจพลางเดินตามจ้าวจื่อซินเข้าไปในป่า ด้วยเพราะที่นี่เงียบสนิทไร้ผู้คน นั่นเป็สาเหตุที่นางเลือกพบหลิงชิงป๋อที่นี่
เมื่อวานปี้เอ๋อร์ค้นพบว่า มีคนลอบเฝ้าสังเกตหลิงชิงป๋ออย่างลับๆ นางเดาคร่าวๆ ว่า อาจจะเป็คนของฮ่องเต้ หรือไม่ก็อาจจะเป็คนขององค์ชายรัชทายาทราชวงศ์ก่อน แต่ไม่ว่าจะเป็ใครก็ตาม ตราบใดที่ถูกพวกเขาค้นพบ มันคือจุดเริ่มต้นของความตายสำหรับหลิงชิงป๋อและนาง
เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของผู้คน นางจำต้องพบเจอกับหลิงชิงป๋อด้านนอกเมือง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครอยากจะมาในที่มืดๆ กลางค่ำกลางคืน
คิดได้ดังนั้นก็ได้ยินเสียงะโก่นด่ามาแต่ไกล เสียงนั้นถ้าไม่ใช่เสียงของเป้ยหนิง แล้วจะเป็เสียงของใครหรือ?
เดินตามหาแหล่งที่มาของเสียงะโซึ่งได้ยินแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกว่ากัน
“สกุลจ้าวเ้าตัวดี เรียกคนมาที่นี่ เห็นแค่ปราดหนึ่งแล้วก็วิ่งหนี คิดว่าข้าเป็หมาป่าหรือตัวอะไร? ข้าสามารถกินพวกเขาได้หรือ? คิดไม่ถึงว่าจะทิ้งข้าไว้ตามลำพังที่นี่ เห็นเ้ามาแล้ว ข้าจะถลกิัของเ้าให้ได้”
คำพูดของเป้ยหนิงเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง มู่หรงฉิงที่ได้ฟังถึงกับเป็ห่วงจ้าวจื่อซินเป็อย่างมาก หากเป้ยหนิงตอแยคนขึ้นมา มันคงเป็เื่ยากที่จะทำให้คนอยู่อย่างสงบได้
ทุกคนเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นจึงเห็นเป้ยหนิงนั่งอยู่บนกล่องด้วยอาการขุ่นเคือง ข้างกันคือกองไฟที่กำลังลุกโชน
เมื่อเห็นหลายคนมาถึง ดวงตาทั้งสองข้างของเป้ยหนิงก็จ้องจ้าวจื่อซินเขม็ง ก่อนจะเอ่ยคำว่า “สมควรตาย” ซึ่งนางพูดแค่คำว่า “สมควร” เท่านั้น ก่อนนางจะกลายเป็เหมือนรูปปั้นหินซึ่งยืนอยู่้ากล่องในท่าทางแปลกๆ ที่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้
“พูดมากจนปากคอแห้ง” เปล่งเสียงด้วยความเย็นประดุจน้ำแข็ง จ้าวจื่อซินไม่แม้กระทั่งจะมองไปที่เป้ยหนิงผู้ซึ่งยืนอยู่้ากล่อง และไม่อาจเคลื่อนไหวได้ “ยังอึ้งงันอะไรอยู่หรือ? นำตัวนางไปด้านข้าง ดูตัวของนางสิ อย่าปล่อยให้เหยียบกล่องจนพังล่ะ”
ปี้เอ๋อร์และชุ่ยเอ๋อร์สบตากันพร้อมกลั้นหัวเราะ จากนั้นก้าวเท้าไปข้างหน้าและยกเป้ยหนิงลงมาจาก้ากล่อง ในจังหวะที่กำลังจะคลายจุดเซวียของหญิงสาว จู่ๆ จ้าวจื่อซินก็สาวเท้าไปข้างหน้า “ข้าทำเอง”
มู่หรงฉิงรู้ว่า จ้าวจื่อซิน้าชดเชยในสิ่งที่เคยทำก่อนหน้า แต่ไม่นึกไม่ฝันว่า เขาจะสับมือใส่เป้ยหนิงทำให้คนที่กำลังจ้องมองจ้าวจื่อซินล้มลงอย่างนุ่มนวล
ปี้เอ๋อร์และชุ่ยเอ๋อร์ตกตะลึงขณะมองเป้ยหนิงล้มลงกับพื้น แต่คนร้ายกลับแค่นั่งอยู่บนกล่องและเล่นกับดาบยาว “ยังงุนงงอะไรอยู่หรือ? หาที่ให้นางนอนอย่างดี”
ถูกจ้าวจื่อซินสั่งงานอีกหน ทั้งคู่จึงเงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉิงอย่างอับจนคำพูด หลังจากที่มู่หรงฉิงพยักหน้า ทั้งคู่ก็ยกเป้ยหนิง พาหาที่ที่เหมาะสมสำหรับการนอน
ก่อนจากไป ชุ่ยเอ๋อร์ก็อดไม่ได้จริงๆ และพูดกับจ้าวจื่อซินว่า “ร่างกายขององค์หญิงไม่หนักเท่าเ้า เ้าก็โปรดระวัง อย่านั่งจนทำให้กล่องถล่มล่ะ”
พูดจบ นางกับปี้เอ๋อร์ก็อุ้มเป้ยหนิงเดินจากไปโดยไม่มองใบหน้าเ็าของจ้าวจื่อซิน
เมื่อเปรียบเทียบกับคำพูดของชุ่ยเอ๋อร์แล้ว มู่หรงฉิงพลอยหัวเราะอย่างอดไม่ได้ ชุ่ยเอ๋อร์อดทนต่อจ้าวจื่อซินเป็เวลานาน คิดว่าถ้อยคำที่เอ่ยออกมาคงเป็การกล่าวหาจ้าวจื่อซินที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่นใน่เวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
หลังจากเื่ตลกจบลง มันย่อมถึงเวลาทำภารกิจสำคัญ หลังจากเห็นจ้าวจื่อซินลงจากกล่อง มู่หรงฉิงก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยหัวใจหนักอึ้ง ก่อนที่จะหยิบม้วนกระดาษภาพวาดออกมาทีละม้วน
“ข้าจำได้ว่าในปีนั้น ท่านแม่ของข้าทอดมองออกไปด้านนอกหน้าต่างด้วยสายตาเศร้าสร้อย ปากพูดพึมพำว่า 'ในโลกนี้จะมีคู่รักที่รักเดียวชั่วชีวิตเสียที่ไหนกัน?' ณ เวลานั้น ข้าคิดว่าเนื่องจากท่านแม่รักท่านพ่อมากเกินไป ท่านแม่จึงเศร้าใจกับการที่อนุหนิงแต่งงานเข้ามาในจวน?
“เวลาถัดมา ข้าพบว่าท่านพ่อไม่มีความรัก และไม่มีแม้กระทั่งความห่วงใยต่อท่านแม่ของข้า แม้ว่าท่านพ่อจะมาหาท่านแม่ของข้า ต่อให้เขามาพบข้า แต่เขาก็เผยเพียงสีหน้าจางๆ ดูเหมือนว่าในสายตาของเขา มีเพียงมู่หรงยวี่และมู่หรงฮ่าวเท่านั้น ในเวลานั้นข้ากำลังคิดอยู่ว่า เป็เพราะพวกเรายังดีไม่พอหรือไม่? ท่านพ่อถึงได้เมินเฉยถึงเพียงนั้น?
“จวบจนกระทั่งวันนี้ ข้าถึงได้รู้สาเหตุ ว่าทำไมท่านพ่อถึงปฏิบัติต่อท่านแม่เช่นนั้น แต่ท่านแม่กลับใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่สนใจอะไรเ่าั้แม้แต่น้อย? ในทุกๆ วัน นอกจากเขียนบทกวีและวาดภาพแล้ว ท่านแม่มักจะใช้เวลาทั้งวันในครัวเล็ก ท่านแม่มีชีวิตอยู่ในโลกที่สร้างสรรค์ด้วยตัวเอง บางทีอยู่ในโลกของตนเอง อาจจะมีคนที่ท่านแม่รัก บางทีท่านแม่อาจจะเห็นคนที่ท่านรักกินอาหารที่ท่านทำ บางทีคนที่ท่านแม่รักอาจจะเขียนบทกวีและวาดภาพคล้ายกับท่านแม่
“ท่านแม่บอกว่า สาเหตุที่เรียนรู้การทำอาหารให้ดี ก็เพราะอยากจะทำอาหารอร่อยๆ ให้คนที่รักกิน แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่ได้รอจวบจนถึงเวลานั้น...”
มู่หรงฉิงไม่รู้ว่าทำไม นางถึงต้องพูดกับจ้าวจื่อซินมากมาย? บางทีนางแค่อยากจะบอกเขาโดยไม่คิดอะไร หรือบางทีนางอาจจะ้าพูดเพื่อให้ใครสักคนที่อยู่ในความมืดได้ยินถ้อยคำของนางด้วย นางรู้ว่าเขาจะต้องมาที่นี่แล้ว และเขาจะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในป่า มองนางด้วยหัวใจที่ตื่นเต้น มองดูนางเปิดม้วนภาพวาดในมือของนาง
ความรู้สึกนั้นรุนแรงมาก นางยังรู้สึกถึงดวงตาอันเร่าร้อนของเขาแทงทะลุภาพวาด
“ใน่เวลานั้น ข้ากำลังคิดว่า ใครกันคือคนที่ท่านแม่รัก? ม้วนกระดาษภาพวาดจำนวนมากเมื่อสะสมรวมทุกๆ ปีย่อมต้องถูกบรรจุไว้ในกล่องขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ กล่องบรรจุภาพวาดเต็มแล้ว และท่านแม่ก็ได้จากไปแล้ว เหลือเพียงกล่องนี้ซึ่งบรรจุม้วนภาพวาดที่ท่านแม่ทำด้วยใจเท่านั้น
“ท่านแม่บอกว่า การรักคนคนหนึ่งไม่จำเป็ต้องได้รับการตอบแทน เพราะรักจึงคิดคำนึงถึงเขา ถ้าเขาตกอยู่ในอันตรายก็จะต้องละทิ้งตัวเอง และช่วยเขาให้รอดพ้นจากอันตรายนั้น” คำพูดดังกล่าวเป็ประโยคที่นาง้าจะพูดด้วยตัวเอง นางมั่นใจว่า ใน่เวลาที่ท่านแม่แสร้งทำเป็ความจำเสื่อม ท่านแม่ทำเพื่อหลิงชิงป๋อมามากมาย ไม่เช่นนั้นด้วยอุปนิสัยหวาดระแวงของฮ่องเต้ จะยอมปล่อยหลิงชิงป๋อให้มีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบันได้อย่างไรหรือ? และสิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้นฮ่องเต้คงไม่ให้เขาได้เป็อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท
ระหว่างที่นางพูด น้ำตาก็ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง สาเหตุที่นางร้องไห้ ไม่ใช่เพราะความทุกข์ทรมาน แต่เป็เพราะทรมานหัวใจ... ทรมานหัวใจกับความอดทนอดกลั้นของท่านแม่ที่ทุกข์ระทม และทรมานหัวใจต่อความเ็ปของท่านแม่ที่ต้องทุกข์ระทม
ใน่เวลานั้น ถ้านางสังเกตมากกว่านี้ ถ้านางฉลาดเฉลียวมากกว่านี้ อย่างน้อยท่านแม่ของนางคงจะมีคนที่พูดคุยได้ ในเรือน ท่านแม่ของนางดูเหมือนจะใช้ชีวิตอย่างสบายๆ แต่หัวใจของท่านแม่ช่างน่าเวทนายิ่งนัก
ด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น ค่อยๆ ยื่นม้วนกระดาษภาพวาดในมือเข้าใกล้กองไฟ และมองดูภาพวาดที่ถูกจุดไฟลุกโชน ใบหน้าอันเศร้าโศกของท่านแม่ก็คล้ายจะปรากฏขึ้นตรงหน้า “จะเก็บภาพวาดเหล่านี้ไว้ได้อย่างไร? ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งมีใครรู้เข้า มันจะไม่เป็การทำลายชื่อเสียงของท่านแม่หรือ? ถ้าข้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ข้าจะไม่เชื่อว่าคนที่ท่านแม่รักและคิดถึงจนปล่อยวางไปไม่ได้คนนั้นคืออาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท”
ถ้อยคำเดียวส่งผลให้สมองของหลิงชิงป๋อผู้ซึ่งอยู่ในความมืดกลายเป็ความว่างเปล่าทันที เขาซ่อนตัวอยู่ในระยะไกล ไม่เห็นว่าคนที่อยู่ในภาพวาดคนนั้นเป็ใคร แต่คำพูดของนางคล้ายกับสายฟ้าฟาดอย่างรุนแรง
คนในภาพคือเขาหรือ? กล่องที่เต็มไปด้วยม้วนกระดาษภาพวาดเ่าั้คือเขาหรือ?
เป็ไปได้อย่างไร? ใน่เวลานั้นซูชิงหย่าจากไปอย่างเืเย็นและปราศจากความรู้สึก นางถึงกับบอกเขาว่า การที่นางเข้าใกล้เขา นั่นเป็เพียงเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น ซูชิงหย่าเข้าหาเขาเพื่อมู่หรงอั้นที่ต่ำต้อยคนนั้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับมู่หรงอั้น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีประโยชน์สำหรับมู่หรงอั้น ดังนั้นซูชิงหย่าจึงไม่้าที่จะเสียเวลากับเขาอีกต่อไป
คำพูดที่ปราศจากความรู้สึกออกมาจากปากของซูชิงหย่า ดวงตาที่ปราศจากความรู้สึกเ่าั้มีแต่การเยาะเย้ยของคนแปลกหน้า ในเวลานั้นเขาเกลียดซูชิงหย่าเป็อย่างมาก เขาเกลียดซูชิงหย่าถึงกับ้าฆ่าซูชิงหย่า
ครั้นรู้ว่าซูชิงหย่าจะแต่งงานกับมู่หรงอั้นโดยไม่สนใจสิ่งใด ยอมแม้กระทั่งตัดสายสัมพันธ์กับสกุลซู หัวใจของเขาก็ตายด้านไปแล้ว และความเกลียดชังนั้นเกือบจะทำลายเขา
และั้แ่นั้นเป็ต้นมา เขาก็ไม่ได้ถามข่าวคราวของซูชิงหย่าอีกเลย เขาได้ยินคนอื่นพูดเป็ระยะๆ โดยได้ยินว่าหลังจากแต่งงานกับมู่หรงอั้น ซูชิงหย่ามีความสุขมากเพียงใด เพื่อความสุขของซูชิงหย่า มู่หรงอั้นถึงกับพานางไปเที่ยวพักผ่อนไกลถึงเหลียงโจว
ยามนั้นเขาทั้งเหนื่อยล้าทั้งขึ้งโกรธ ในท้ายที่สุดเขาก็เก็บความหวานที่ล่วงลับไปและผนึกภาพลวงตาแห่งความสุขที่ซูชิงหย่าสร้างขึ้น
ทว่าเมื่อเขาได้เห็นมู่หรงฉิง มันเหมือนกับความฝัน ราวกับซูชิงหย่ามาปรากฏตัวจากระยะไกล กลับมาหาเขา และบอกเขาว่าทั้งหมดเป็เพียงความฝัน
กระทั่งมู่หรงฉิงหมุนตัวหันหลังจากไป เขาจึงหานางทั่วสารทิศ ก่อนพบว่าเขาถูกวางยาโดยไม่รู้ตัว เขาจินตนาการไม่ออกว่า ถ้ามู่หรงฉิงไม่จากไปในเวลานั้น เขาจะกลายเป็สัตว์ร้ายอย่างไรกัน?
มีคน้าใช้เขาในการทำลายมู่หรงฉิง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มีบางคนใช้มู่หรงฉิงเพื่อวางกับดักเขา และไม่ว่าจะเป็ความเป็ไปได้ใด เหตุการณ์นั้นทำให้เขาเข้าใจว่า มู่หรงฉิง, บุตรสาวของซูชิงหย่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
แม้เขาจะเกลียดซูชิงหย่า ทั้งยังขุ่นเคืองซูชิงหย่า แต่ยามได้เห็นมู่หรงฉิง เขารู้สึกเพียงว่า ทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว คนก็ได้จากไปแล้ว ถ้ายังเกลียดชัง ยังไม่พอใจจะมีความหมายอะไรหรือ?
เมื่อเขาเห็นรอยฟกช้ำที่คอของมู่หรงฉิง หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบอย่างรุนแรง ราวกับว่าเขาเห็นซูชิงหย่าถูกมู่หรงอั้นทำร้าย ในที่สุดเขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เขาดึงหมอเทวดาไปหานางที่จวนเฉิน โดยไม่คาดคิดว่า เขาจะเห็นมู่หรงฉิงนอนหมดสติอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดขาว มิหนำซ้ำรอยฟกช้ำที่คอเป็เหมือนดาบคมพุ่งแทงเข้าใส่หัวใจของเขาอย่างรุนแรง
เขาเผลอคิดว่าเนื่องจากการทรยศของซูชิงหย่าหรือไม่ ์จึงให้เขาได้เห็นสภาพความยากลำบากของมู่หรงฉิง? เพื่อคลายความเกลียดชังมากมายในหัวใจของเขาซึ่งเกิดขึ้นใน่เวลาหลายปี
จะต้องบอกว่าสำหรับเื่ที่มู่หรงฉิงประสบ ลึกๆ แล้วเขารู้สึกสมใจเล็กน้อย การที่ลูกสาวของมู่หรงอั้นมีชีวิตที่ไม่ดี เขาควรจะมีความสุขไม่ใช่หรือ?
ทว่าหลังจากฟังคำพูดของมู่หรงฉิง ความสมใจเล็กน้อยจากก้นบึ้งของหัวใจกลับกลายเป็เข็มเงินนับพัน พุ่งแทงเข้าไปในร่างกายของเขาทีละเข็ม ทำให้เขารู้สึกปวดใจสุดจะทน