แม้จะอยู่ไม่ใกล้นักทว่าเหนียนยวี่กลับรู้สึกได้ถึงความกังวลของฮูหยินท่านแม่ทัพ
ในชาติก่อน ยามที่ฉู่ชิงถูกลอบสังหารจนสิ้นชีพฮูหยินแม่ทัพเองก็ล้มป่วยตามไป ร่างกายล้มหมอนนอนเสื่อ ในใจของฮูหยินแม่ทัพ เกรงว่าคงเห็นชีวิตของบุตรชายสำคัญยิ่งกว่าตนเองเสียอีก
ฉู่ชิง...
“คุณหนูฉู่โปรดบอกให้ฮูหยินแม่ทัพวางใจเถิด ท่านแม่ทัพหลวงเป็คนดียิ่งฟ้าย่อมคุ้มครองเป็แน่ มิมีทางเกิดเื่อะไรขึ้นอย่างแน่นอน” เหนียนยวี่เอ่ยปากชาติก่อน ฉู่ชิงต้องพบเจอการลอบซุ่มโจมตีที่จะเกิดขึ้นในสองสามปีให้หลัง เช่นนั้นเื่ครานี้เขาจะตายง่ายๆ เยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน?
ครั้นเอ่ยจบ เหนียนยวี่จึงหันหลังกลับเดินจากไปทว่าฉู่เซียงจวินกลับคว้าข้อมือนางไว้อย่างเร่งร้อน
เหนียนยวี่หันหน้ากลับไปมองมือของตนที่ถูกฉู่เซียงจวินจับไว้นางััได้ถึงอารมณ์เก้อเขินสายหนึ่งในบรรยากาศ ฉู่เซียงจวินฉีกยิ้มมุมปากรีบปล่อยมือลงทันที ท่าทีลังเลพะว้าพะวัง ราวกับ้าเอ่ยอะไรบางอย่าง
เหนียนยวี่เห็นทุกสิ่งในสายตา มุมปากนางยกยิ้มเล็กน้อย“คุณหนูฉู่มีเื่อะไรที่อยากจะเอ่ย แล้วมิได้พูดหรือไม่”
ฉู่เซียงจวินเงยหน้า ดวงตาของทั้งสองประสานสายตากัน นึกไม่ถึงว่าเหนียนยวี่จะเป็คนเผยความคิดในใจออกมาง่ายดายเช่นนี้นางลังเลสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า “ท่านกับจื๋อหร่าน...”
นางอยากจะถามเหนียนยวี่ว่า เหนียนยวี่กับพี่ชายของตนมีความสัมพันธ์ประเภทนั้นหรือไม่ทว่าครั้นมองไปที่เหนียนยวี่ยามนี้ นางกลับมิรู้ว่าควรจะถามออกไปว่าอย่างไร?
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉู่เซียงจวินจึงเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้งและถามออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า "คุณหนูรอง ท่านชอบจื๋อหร่านหรือไม่?"
ชอบฉู่ชิงหรือ?
เหนียนยวี่เข้าใจความหมายของฉู่เซียงจวิน นางยกยิ้มออกมาเสี้ยวหนึ่ง"คุณหนูฉู่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านแม่ทัพไม่ใช่คนที่ข้าชอบ"
“เ้าไม่ชอบหรือ?” ฉู่เซียงจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับผิดหวังนางคาดไม่ถึงกับผลลัพธ์เช่นนี้ เหนียนยวี่หันหลังจากไปกระทั่งฉู่เซียงจวินกลับมารู้สึกตัว ก็เห็นแค่เพียงเหนียนยวี่กลับขึ้นไปบนหลังม้าแล้วท่วงท่าองอาจและดูสบายเช่นนั้น ทำให้ในดวงตานางเคลือบประกายความประหลาดใจ
คุณหนูรองสกุลเหนียน...หากนางไม่ชอบจื๋อหร่าน เช่นนั้นเหตุใดนางจึงพาตัวเองไปรับความเสี่ยงด้วยเล่าทั้งที่นางเองก็รู้ว่ายามนี้มีโรคระบาดแพร่กระจายอยู่ที่ค่ายเสินเช่อ?
ฉู่เซียงจวินได้ยินข่าวลือเื่คุณหนูรองสกุลเหนียนทว่านางยังคงมองเหนียนยวี่ผู้นี้ไม่ออก...
เหนียนยวี่เสแสร้งปลอมตัวเป็ทหารเฝ้ารักษาประตูนางปะปนเข้าไปในค่ายเสินเช่อ ครั้นเข้ามาได้ นางมุ่งหน้าตามหาฉู่ชิงด้วยการชี้ทางของนายทหารจึงทำให้ผ่านไปอย่างราบรื่นเหนียนยวี่มาถึงพื้นที่ที่เป็ที่ตั้งของโรคระบาดซึ่งเป็สถานที่ที่อยู่ห่างไกลที่สุดในค่าย ตั้งอยู่บนตีนเขาลูกเล็กแยกตัวออกมาไกลพอสมควร มีการวางรั้วลวดหนามเพื่อแยกพื้นที่ออกจากค่ายทหาร
ฉู่ชิงอยู่ในพื้นที่กักกันหรือ?
เหนียนยวี่ขมวดคิ้วไม่มีเวลาหาสาเหตุว่าเหตุใดตัวเองถึงรีบมาที่นี่โดยไม่ทันคิดเมื่อเช้านี้นางได้รับจดหมายฉบับหนึ่งว่าฉู่ชิงยามนี้อยู่ในเขตกักกัน ในใจนางพลันเปลี่ยนเป็กังวลอย่างอธิบายไม่ถูก
"ใช่ เ้านั่นแหละ มาช่วยกันเร็ว"
ขณะที่เหนียนยวี่กำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเหนียนยวี่หันมองไปตามทิศทางของเสียง เห็นทหารสองนายกำลังหามเปล หนึ่งในนั้นแลดูเหนื่อยล้าเกินกว่าจะเดินต่อครั้นเห็นว่าเหนียนยวี่เองก็มีผ้าสีขาวปิดจมูก จึงเอ่ยเรียกให้นางมาช่วย
เหนียนยวี่ครั้นรู้สึกตัว จึงก้าวไปข้างหน้าและเข้าไปช่วยหามเปลทันที
"ยามนี้มีผู้ติดเชื้อกี่คนในเขตกักตัวหรือ?" เหนียนยวี่กดเสียงให้ทุ้มลง ชาติก่อนนางเคยใช้ชีวิตดั่งชายชาตรีจึงไม่ทำให้ผู้คนสงสัยเสียงที่เปล่งออกมาในยามนี้เลยแม้แต่น้อย
นายทหารข้างหน้าถอนหายใจ “ั้แ่เมื่อคืนที่ผ่านมามีคนติดเชื้อไปกว่าหลายร้อยคนแล้ว ยามเมื่อครู่ที่ผ่านมานี้ก็เพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่งและยังไม่รู้เลยว่าสถานการณ์จะเป็อย่างไรต่อไป ไม่รู้ว่าโรคร้ายนี้จะระบาดได้อย่างไรทั้งได้ยินมาอีกว่า โรคระบาดครานี้รักษาไม่หาย...”
เหนียนยวี่ที่กำลังฟังอยู่ นางก้มมองทหารที่ติดเชื้อบนเปลหามและเอ่ยถามออกมาอย่างเป็กันเองว่า "ท่านแม่ทัพหลวงเล่า? เขาเป็หนึ่งในผู้ติดเชื้อหรือไม่?"
“ไม่ เขาไม่ได้ติดเชื้อ แต่เมื่อคืนนี้ ตอนที่พบผู้ป่วยรายแรกใต้เท้าก็ตามไปเยี่ยมและัักับผู้ป่วยคนนั้น มิรู้ว่า..."ยามที่นายทหารคนนั้นเอ่ยเล่า เขาไม่รู้ว่าจะเอ่ยต่อไปอย่างไร จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแ่เบา
ในใจเหนียนยวี่รู้สึกคับแน่น ระหว่างทางเดินในเขตกักกันทุกคนที่นางพบล้วนมีใบหน้าเคร่งเครียด เหนียนยวี่พบว่าทั่วทุกหนแห่งถูกราดด้วยน้ำปูนขาวเพื่อฆ่าเชื้อในที่สุดพวกเขาก็เดินมาถึงกระโจมในเขตกักโรคที่สร้างขึ้นมาชั่วคราว ยามที่เหนียนยวี่เข้าไปนางเห็นเพียงความวุ่นวายเข้ามาสู่สายตา
บรรดาเหล่านายทหารนอนคุดคู้เรียงราย บนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยผื่นแดงบางรายมีกระทั่งแผลเน่าเปื่อยและพุพองเป็หนองบางรายยังมีอาการรุนแรงถึงขึ้นอาเจียนไม่หยุด สิ่งสกปรกที่อาเจียนออกมานั้น...
เหนียนยวี่หันมองตาม นางเห็นอะไรบางอย่าง สีแดงๆ ไม่ชัดเจนเท่าใดนักเจือปนอยู่ในสิ่งที่อาเจียนออกมาครั้นนางนึกคิดอะไรบางอย่างได้ ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านสีหน้านางภายใต้ผืนผ้าสีขาวพลันแปรเปลี่ยน
"พวกเ้าพาเขา...เขาและเขาออกไปไว้นอกกระโจม"เหนียนยวี่เอ่ยพลางชี้ไปยังคนสองสามคนที่มีอาการค่อนข้างหนักกว่าคนอื่น
คำสั่งที่ออกมาอย่างกะทันหันของเหนียนยวี่ ทำให้ทุกคนงงงันตกตะลึงจึงพากันจ้องมองไปที่เหนียนยวี่
"พวกเ้ายังยืนงงอะไรกันอยู่?" เหนียนยวี่เอ่ยปาก พลังอันน่าเกรงขามยามที่เป็แม่ทัพในชาติก่อนเผยออกมาให้เห็นจนทำให้ทุกคนในที่นั้นมิกล้าจ้องมอง
“ขอรับ” ใครบางคนเอ่ยขานรับทหารในกระโจมพลันรีบเร่งทำตามคำสั่งของเหนียนยวี่โดยพาคนบางส่วนออกไปและพาเข้าไปยังด้านในกระโจม ด้านเหนียนยวี่ที่ออกมาจากกระโจมครั้นนางเหลือบเห็นน้ำปูนขาวที่ถูกราดไปทั่วพื้น จึงเอ่ยสั่งขึ้นมาอีกคราว่า"บอกให้พวกเขาหยุดราดน้ำยาฆ่าเชื้อโรค"
"นี่..."
นายทหารข้างๆ เกิดลังเล ให้หยุดราดยาฆ่าเชื้อโรค? เช่นนั้นโรคระบาดจะไม่แพร่กระจายเร็วขึ้นไปอีกหรือ?
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหล่าทหารที่จัดแจงทหารสองสามรายที่ป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงหันมองดูเหนียนยวี่ ทว่ามิมีผู้ใดลงมือทำตามที่นางบอก
“ไม่ได้ยินหรือไร?” ดวงตาของเหนียนยวี่ฉายแววไม่พอใจ กำลังเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างทว่ากลับสบตาเข้ากับดวงตาสีนิลขลับคู่หนึ่งเข้าเสียก่อน ในดวงตาสีนิลขลับพลันมีเปลวเพลิงกองหนึ่งลุกโชนขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว
"ท่านแม่ทัพหลวง..."ครั้นนายทหารเห็นชายชุดดำสวมหน้ากากสีเงินก้าวฝีเท้ายาวมาทางนี้จึงเร่งรีบทยอยโค้งคำนับเขา ดวงตาเคารพยำเกรง
ฉู่ชิงเดินเข้าไปในฝูงชนโดยมิเอ่ยสิ่งใดและไม่สนใจบรรดาทหารที่อยู่ตรงนั้นยามที่เดินผ่าน เหล่านายทหารรอบข้างต่างพากันหลีกทางอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมายจนเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ตรงหน้าเหนียนยวี่ ฉู่ชิงพลันหยุดชะงักฝีเท้าทันใดยื่นมือออกไปคว้าข้อมือเหนียนยวี่ ลากนางก้าวเดินออกมาจากฝูงชนจนถึงบริเวณที่ไม่มีผู้คน จึงหยุดฝีเท้าลง
"ท่านแม่ทัพหลวง"เสียงทุ้มลึกของเหนียนยวี่ฟังดูไม่ต่างจากเสียงผู้ชาย นางเหลือบมองแผ่นหลังของบุรุษตรงหน้า "ท่านโปรดออกคำสั่งด้วยขอรับขอให้หยุดราดน้ำยาฆ่าเชื้อด้วย"
"เ้ามาที่นี่ทำไม?"ฉู่ชิงเอ่ยปากถาม น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเห็นได้ชัดว่าเขากำลังระงับอารมณ์โกรธเกรี้ยว
“ท่านแม่ทัพ ข้าไม่รู้...” เหนียนยวี่ขมวดคิ้วคิดอยากจะปฏิเสธตัวตนของตัวเอง นางกำลังจะเอ่ยปาก กลับเห็นบุรุษผู้นั้นหันหลังกลับพลางยื่นมือใหญ่เข้ามาครู่หนึ่ง ผ้าผืนสีขาวที่ปิดจมูกนางพลันถูกดึงออกมาเหนียนยวี่จ้องมองผ้าสีขาวผืนนั้นตกอยู่ในมือของฉู่ชิง นางสบตาฉู่ชิงรู้ตัวทันทีว่ายามนี้คงเป็การยากที่จะซ่อนตัวต่อหน้าแม่ทัพหลวงได้ต่อไป
เป็อย่างที่คิด!
“เ้าเข้ามาได้อย่างไร เ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด?” ฉู่ชิงกดน้ำเสียงให้ต่ำะโออกมาอย่างกราดเกรี้ยวทว่ากลับรีบเอาผ้าขึ้นมาปิดจมูกให้เหนียนยวี่ทันที"เ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรืออย่างไร"
สตรีผู้นี้นี่ช่าง!
"ชีวิตดีๆ ผู้ใดจะไม่้ากัน?" เหนียนยวี่พึมพำ นางรักชีวิตของนางอย่างยิ่งทว่าฉู่ชิง...กลับกันนี่เป็ครั้งแรกที่นางเห็นเขามีท่าทีโกรธเกรี้ยวเช่นนี้
"เช่นนั้นเ้าจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ทำไม?" ในใจฉู่ชิงพูดอะไรไม่ออก เขารู้อยู่เสมอว่านางกล้าหาญ ทว่าเขาคาดไม่ถึงว่าตนเองจะประเมินนางต่ำไป!
“ท่านแม่ทัพหลวงอย่าลืมสิว่าเหนียนยวี่ติดหนี้ชีวิตท่าน ชีวิตนี้ไม่สามารถมอบให้ได้ง่ายๆยิ่งกว่านั้น ตอนนี้เหนียนยวี่เองก็ได้ััผู้ป่วยแล้วเช่นกัน หากท่านอยากส่งข้ากลับเกรงว่าคงจะน่าหวาดผวาเกินไปสักหน่อย" เหนียนยวี่สบตาฉู่ชิงเห็นอาการตกตะลึงในดวงตาสีดำเล็กน้อย จากนั้นนางจึงเอ่ยต่อว่า "ท่านแม่ทัพหลวงเชื่อเหนียนยวี่หรือไม่?”