โหยวเสี่ยวโม่หันมองหลิงเซียวด้วยความใคร่รู้
อีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ใบหน้ายังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนราวฤดูใบไม้ผลิ เหมือนคุณชายสง่างามถือพัด โหยวเสี่ยวโม่แอบชำเลืองมองศิษย์พี่ผู้หญิงทั้งหลายที่นั่งถัดไปเรื่อยๆ ต่างแอบมองหลิงเซียวด้วยความเขินอาย ท่าทางแบบนั้นช่างดูกระมิดกระเมี้ยนนัก
จนถึงตอนนี้โหยวเสี่ยวโม่ก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมหญิงสาวถึงได้ชอบผู้ชายแบบหลิงเซียว
โจวเผิงที่ถูกขานชื่อคนแรกเดินขึ้นเวทีประลอง รูปร่างสูงร้อยแปดสิบเก้าเิเดูแล้วมีพละกำลังมากล้น
ร่างกายกำยำเห็นไปถึงกล้ามเนื้อเป็มัด โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ่แขน กั้นไว้เพียงผ้าบางๆ แต่ก็รับรู้ถึงเรี่ยวแรงนั้นได้ บนหลังพาดไว้ด้วยกระบี่หนักที่หนักถึงห้าร้อยชั่ง เป็กระบี่ที่หนักที่สุดในสำนักเทียนซิน
จากจุดนี้ก็สามารถตัดสินได้ว่า โจวเผิงน่าจะเป็นักฝึกตนสายพละกำลัง
เมื่อเดินไปถึงเวทีประลอง โจวเผิงไม่ได้รอหลินเซียวขึ้นไป หากแต่กุมมือขึ้นคำนับไปยังฝั่งผู้ชม “คิดไม่ถึงว่าเปิดมาคู่แรกก็ได้ประลองกับศิษย์พี่ใหญ่ พูดจากใจ ข้า โจวเผิง รู้สึกดีใจยิ่งนัก เพราะถึงยังไง โอกาสที่จะได้ปะทะฝีมือกับศิษย์พี่ใหญ่นั้นมีน้อยนัก แต่ว่าข้าก็รู้และประมาณตนดี ในตอนนี้ข้ายังสู้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ไหว”
ผู้คนจ้องมองเขาอย่างประหลาดใจ ฟังจากที่พูด หรือเขาจะถอดใจจากการประลองครั้งนี้กันนะ?
ฝั่งผู้าุโ ผู้าุโเจียงปราดตามองเขา ทันใดก็เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “โจวเผิง แม้เ้าจะยังไม่ใช่คู่ประมือของเขา แต่ลองสู้ดูหน่อยจะเป็ไร ถึงจะรู้ว่าเ้ายังห่างชั้นกับเขามากแค่ไหน การวิ่งไล่ตามอย่างเดียว มันไม่ได้ช่วยอะไรกับการฝึกตนของเ้าหรอกนะ”
โจวเผิงยิ้มร่าพร้อมเอ่ย “น้อมรับคำแนะนำของผู้าุโเจียง เพียงแต่ที่ติดอยู่อย่างเดียวคือ เมื่อวานที่ข้าได้พูดคุยกับศิษย์พี่ใหญ่ เขาได้ชี้นำอะไรบางอย่างให้แก่ข้า มันเหมือนกับกรอกสติปัญญาเข้าไปในสมองทำให้ข้าได้รับความรู้ที่เป็ประโยชน์มากมาย พลังของข้าจึงเริ่มส่งสัญญาณว่าจะบรรลุขั้น ดังนั้นข้าจึงตั้งใจว่าจะเก็บตัวฝึกฝนพลังไม่กี่วันนี้”
“ถ้าเป็เช่นนี้ งั้นเ้าลงไปเถอะ!” ทังฝาน เ้าสำนักกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับเผยรอยยิ้มภูมิใจออกมาในที่สุด
โจวเผิงเป็ศิษย์สายตรงของเขา จากที่เขาก้าวเท้าขึ้นเวทีประลองทังฝางก็ดูออกแล้วว่าพลังของเขากำลังจะเข้าขั้นบรรลุ ไม่เจอกันเพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน พลังของโจวเผิงกลับสูงขึ้นมาอีกก้าว ทำเขาประหลาดใจไม่ใช่น้อย แต่เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ถึงรู้ว่านี่เป็ผลงานของศิษย์เอก ก็รู้สึกเบาใจ คนเป็อาจารย์ย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็อย่างดี
ผู้าุโเจียงเมื่อเห็นเ้าสำนักเอ่ยเช่นนั้น จึงกล่าวต่อ “งั้นข้าขอประกาศว่า การประลองคู่แรก เนื่องจากโจวเผิงสละสิทธิ์ ผู้ชนะคือ หลินเซียว”
พอสิ้นเสียง ด้านล่างเวทีก็มีเสียงปรบมือดังสนั่น ดังที่สุดเห็นจะเป็ทังอวิ๋นฉีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขาแค่ได้ยินก็รู้สึกเจ็บฝ่ามือไปหมด ต้องปรบแรงขนาดนั้นเลยหรือ ไม่ใช่ดาราดังมาเองเสียหน่อย
จากที่คิดว่าจะได้ดูศึกัปะทะเสือ นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันเปิดสนาม โจวเผิงก็สละสิทธิ์ไปก่อน
สำหรับบางคนจะบอกว่าไม่ผิดหวังก็คงเป็การเสแสร้ง หลายเดือนมานี้ แทบไม่ได้เห็นหลินเซียวแสดงฝีมือ แม้ว่าอันดับหนึ่งในแขนงการต่อสู้จะยังเป็เขา แต่ศิษย์น้องบางคนที่จิตใจคับแคบ ก็แอบไม่พอใจที่ได้อยู่ใต้หลินเซียวมาตลอด รังแต่จะคิดแย่งชิงตำแหน่งอันดับหนึ่งมา
มีคำพูดหนึ่งที่กล่าวไว้ถูกต้อง รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!
ถ้าล่วงรู้พลังความสามารถของหลินเซียวบ้าง อีกหน่อยถ้าได้ประลองกันก็คงพอคำนวณความเป็ไปได้ที่จะชนะ
ฉะนั้นศิษย์ไม่น้อย รวมถึงผู้าุโบางท่านเองก็อยากดูว่าขีดพลังความสามารถของหลินเซียวตอนนี้สูงถึงขั้นไหน เสียดายนักกับโอกาสที่ดีเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าโจวเผิงจะถอนตัวก่อน ถึงจะเหนือความคาดหมาย แต่ก็เข้าใจได้
จากนั้นจึงเริ่มต้นการประลองคู่ต่อไป คนที่จับฉลากยังคงเป็ผู้าุโเจียง
ครั้งนี้ไม่มีการสละสิทธิ์เกิดขึ้น คู่ต่อสู้คือชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เนื่องด้วยการจับฉลากรวม จึงเกิดการจับคู่เช่นนี้เป็ปกติ
ไม่เกี่ยวว่ายุติธรรมหรือไม่ เพราะในดินแดนหลงเสียง ไม่มีใครจะยอมอ่อนข้อให้แม้เป็หญิง ดังนั้นการที่ผู้หญิงต้องฝึกปรือพลังให้แกร่งกล้าก็เป็เื่สำคัญ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะตกเป็เหยื่อของเล่นอันโอชะ
ทั้งสองคนนั้นจัดอยู่ในอันดับยี่สิบ ความสามารถไม่ไกลกันนัก เพราะฝีมือสูสี เ้ารุกข้ารับ สู้กันอย่างดุเดือด ผู้ชมก็ได้รับอรรถรสในการชม จึงไม่มีใครพูดถึงการประลองคู่แรกอีก ครึ่งชั่วยามผ่านไปทั้งสองปะทะก็ยังตัดสินผลแพ้ชนะไม่ได้ ทว่าในสายตาของยอดฝีมือนั้น ผลแพ้ชนะออกมาชัดเจนอยู่แล้ว
ผ่านไปไม่นาน นักฝึกตนหญิงก็ถูกจู่โจมจนตกจากเวที เพราะพลังเริ่มอ่อนแรง
ผู้ที่ยืนอยู่บนเวทีประลองโน้มตัวกุมมือคำนับไปยังหญิงสาวพร้อมกล่าวอย่างสุภาพ “ศิษย์พี่หยาง ออมมือแล้ว!”
ผู้าุโเจียงออกมาประกาศผลเช่นเดิม จากนั้นต่อกันด้วยคู่ที่สาม รอบนี้เป็การประลองของชายกับชาย
เกิดมามีเืนักสู้ลูกผู้ชายทั้งที โหยวเสี่ยวโม่เองก็เคยจินตนาการว่าตนจะเป็จอมยุทธ์ฝีมือสูงส่ง เหาะเหินเดินบนกำแพงเอย ใช้ฝ่ามือเดียวผ่าก้อนหินแย่งเป็สองเสี่ยงเอย เขารู้สึกว่านี่มันช่างได้อารมณ์ลูกผู้ชายของแท้ ที่สำคัญที่สุดคือ ชายผู้ห้าวหาญล้วนดึงดูดใจหญิงผู้อ่อนแอ
แต่จินตนาการยังไงก็เป็แค่จินตนาการ ตรงข้ามกับความเป็จริงที่เหมือนทิศเหนือกับทิศใต้
แน่นอน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยไปฝึกเล่นกล้ามที่ฟิตเนสมาก่อน หรือสมัครเรียนทักษะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เขาไม่มีพร์ด้านพละกำลังเลย เพราะว่าเขาเป็พวกอ่อนเื่กีฬา แย่จนหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้ คาบพละที่ต้องโดดสูงก็ไม่เคยโดดพ้นความสูงที่ครึ่งเมตร จำได้ตอนที่สอบวิชาพลศึกษา หัวข้อการสอบคือะโสูง ปรากฏว่าคะแนนสอบของเขานั้นต่ำสุดในห้อง เห็นว่าคะแนนของเด็กหญิงที่อ้วนสุดในห้องยังดีกว่าเขาอีก
ที่ผ่านมา โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าเื่นี้เป็ความน่าอับอายที่สุดในชีวิต
ทำเช่นไรได้ในเมื่อเขาไม่มีความสามารถด้านนี้จริงๆ ดังนั้นจนถึงตอนนี้เมื่อเห็นท่าทางเก่งกาจของผู้อื่น เขาจึงรู้สึกอิจฉาและชื่นชมจากก้นบึ้งของจิตใจ
ทำไมถึงไม่มีพลังในการต่อสู้ ตอนแรกนึกว่าข้ามมิติมา พอร่างกายเปลี่ยนเป็คนละคนก็จะเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนได้บ้าง แต่ไหงเป็ได้แค่นักหลอมโอสถอ่อนแอปวกเปียกที่ไม่มีพลังฝึกวรยุทธ์ซะได้
หลิงเซียวหันมองโหยวเสี่ยวโม่ที่สีหน้าสับสนขณะมองไปยังเวทีประลอง คิ้วกระตุกขึ้น “คิดอะไรอยู่?”
โหยวเสี่ยวโม่ได้สติ มองค้อนเขาด้วยสายตาเ็ปทีหนึ่ง จากนั้นนั่งคอตกห่อเหี่ยว “ทำไมนักหลอมโอสถถึงฝึกตนไม่ได้?”
หลิงเซียวนึกว่าเขาคิดอะไรเสียอีก ที่แท้ก็ถูกจี้ใจเพราะคู่ต่อสู้บนเวทีนั่นเอง ยิ้มอย่างปลงๆ “สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ มีได้ย่อมมีเสีย ์ประทานพลังอย่างหนึ่งให้กับเ้า แน่นอนว่าต้องฉกพลังอย่างอื่นไปแทน นักหลอมโอสถไม่สามารถฝึกตนได้ แต่ยาเซียนตันที่พวกเขาหลอมนั้นสำคัญกับนักฝึกตนอย่างมาก นักฝึกตนก็เช่นกัน แม้พวกเขาจะเก่งกาจ แต่ก็ต้องเผชิญกับภยันตรายมากมาย ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ต้องพึ่งพิงอาศัยกัน”
“ข้าได้ยินมาว่า อายุของนักฝึกตนนั้นยืนยาวกว่ามาก หากว่านักหลอมโอสถตายไป งั้นก็ต้องหาใหม่อีกสินะ?” โหยวเสี่ยวโม่รู้ว่าที่เขาพูดมามีเหตุผล ไม่ว่าจะโลกไหนก็ไม่มีใครดีเยี่ยมครบทุกด้าน อย่างเช่นคนหน้าเขาตอนนี้ ภายนอกแลดูสง่างามเช่นนี้ แต่ในใจกลับชอบรังแกเขา ชั่วร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
พูดจบ โหยวเสี่ยวโม่ก็เห็นสีหน้าประหลาดใจของหลิงเซียวที่มองเขาอยู่
“ใครบอกเ้า ว่าอายุขัยของนักหลอมโอสถนั้นสั้น?”
“ข้าพูดผิดงั้นหรือ แต่นักหลอมโอสถไม่ได้ฝึกตนไม่ใช่รึ? อายุขัยจะยืนยาวได้ยังไงกัน?” โหยวเสี่ยวโม่ฉงนสงสัย เขาคิดเช่นนี้มาตลอด
หลิงเซียวใช้สายตาที่กำลังมองคนโง่เขลาจ้องเขา ยกมือขึ้นพร้อมกับมะเหงกเคาะหัวเขาทีหนึ่ง พูดอย่างมีน้ำเสียง “ใครบอกว่าเ้าไม่ได้ฝึกตน เ้าหลอมยาอยู่ทุกวันไม่ใช่การฝึกตนรึไง คัมภีร์ที่ข้าให้เ้าไป หรือว่าเ้าไม่ได้ฝึก? ทำไมถึงได้มีคนโง่ขนาดนี้กันนะ อาจารย์กับศิษย์พี่ของเ้าไม่เคยบอกอะไรรึไง?”
โหยวเสี่ยวโม่กุมหัวน้ำตาเล็ด ก็ยังไม่เคยบอกจริงนี่ ถ้าเขารู้ยังจะถามอีกทำไมกัน
“แต่ตำราเล่มนั้น…มันใช้ฝึกพลังปราณิญญาไม่ใช่หรือ?”
เมื่อพูดถึงท้ายประโยค โหยวเสี่ยวโม่เริ่มรู้ตัวพร้อมกดเสียงต่ำ เพราะหลิงเซียวเคยบอกไว้ วิชายุทธ์การฝึกพลังปราณิญญานั้นมีน้อย เขาในตอนนี้แม้เป็ศิษย์ในอาจารย์ขงเหวิน แต่ยังไม่มีสิทธิ์ได้ฝึกฝนจากตำราวิชายุทธ์เล่มนั้นของสำนักเทียนซิน เพราะเข้าร่วมสำนักได้ไม่นาน
ไม่รู้ตัวเลยว่าหลิงเซียวนั้นได้ร่ายม่านจำลองมิติโดยรอบขึ้นมาครู่หนึ่งแล้ว คนอื่นที่มองมาจะเห็นเพียงว่าทั้งสองกำลังตั้งใจดูการประลอง ไม่ได้กำลังคุยกัน
หลิงเซียวสายตาแฝงด้วยรอยยิ้ม จ้องโหยวเสี่ยวโม่พร้อมสบถคำนี้ออกมา “เ้าซื่อบื้อ!”
โหยวเสี่ยวโม่ทำปากจู๋ หน้าตาน่าเอ็นดูมองเขา
เื่นี้ไม่ใช่ความผิดเขา เขาพึ่งจากบ้านออกเดินทางมาได้ไม่นาน จะไปรู้อะไรเยอะแยะได้ยังไง แม้จะยืมตำรามากมายจากหอคัมภีร์ แต่ในตำราไม่มีบันทึกเื่ราวพวกนี้ซะหน่อย ทั้งไม่เคยได้ยินใครพูดถึง นึกว่าคนอื่นก็ไม่รู้ ดังนั้นจึงคิดมาตลอดว่านักหลอมโอสถอายุสั้น
เขาเองบอกว่าตัวเขาข้ามมิติจากอีกโลกไม่ได้ ต่อให้มีความกล้าเพิ่มขึ้นสิบเท่าก็พูดไม่ได้
หลิงเซียวชอบท่าทีเจ็บใจเช่นนี้ของโหยวเสี่ยวโม่ แม้ความคิดแบบนี้จะดูโรคจิตไปหน่อย แต่ก็หาได้ใส่ใจไม่ เมื่อรังแกจนหนำใจแล้ว ในที่สุดหลิงเซียวก็ยอมเล่าเื่อายุขัยของนักหลอมโอสถให้เขาฟังอย่างเมตตา
“นักหลอมโอสถเหมือนกันกับนักฝึกตน แม้ว่าคุณสมบัติและวิถีการฝึกฝนต่างกัน แต่อายุขัยนั้นเหมือนกัน อีกอย่างอายุขัยปกติของนักหลอมโอสถนั้นแลดูปลอดภัยกว่าของนักฝึกตนเสียอีก เพราะพวกเขาไม่ต้องเผชิญกับเื่ของจิตมาร หรือเหตุการณ์ธาตุไฟเข้าแทรกจากการฝึกฝน”