หมอหญิงช่วยทายา พันแผลและเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย ก็ออกไปต้มยาด้านนอก
“องค์ชาย เื่นี้องค์หญิงห้าเป็ต้นเหตุ พวกเราจะลงมือจัดการเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ?” ติงเซี่ยนถามขึ้นเสียงเบา
ฉู่ลี่ปรายตามองมู่อวิ๋นจิ่นที่นอนอยู่ แล้วหันมามองติงเซี่ยน “รอมู่อวิ๋นจิ่นมาจัดการเื่นี้เองแล้วกัน”
ติงเซี่ยนได้ฟังก็เข้าใจในทันที
“เื่นี้อย่าเพิ่งให้คนในจวนทราบทั้งนั้น” ฉู่ลี่สั่งการ
ติงเซี่ยนรีบพยักหน้ารับ
……
่นี้มู่อวิ๋นจิ่นคงมีภัยถึงชีวิต ถึงได้ซวยมาถึงสองครั้งสองครา ครั้งก่อนจมน้ำกลับไปตาม ครั้งนี้ถูกฟันและโดนยาพิษอีก
หลังผ่านไปพักใหญ่ มู่อวิ๋นจิ่นลืมตาขึ้นพบการตกแต่งห้องที่เปลี่ยนไป ภายในมีกลิ่นหอมอ่อนๆ สูดดมทำให้ร่างกายผ่อนคลายลงได้ไม่น้อย
มู่อวิ๋นจิ่นอยากขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แต่มือข้างซ้ายที่โดนฟัดยังคงเ็ปรวดร้าวอยู่ตลอด
นางจึงด่าทอขึ้น “นักสังหารเชียวชิวสมควรตาย ชีวิตของมันช่างกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว”
“ถ้ายังมีแรงด่าคนอยู่ แสดงว่าอาการไม่หนักแล้ว” เสียงเยือกเย็นดังขึ้นจากบนหัว
มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบตาขึ้นมอง เห็นฉู่ลี่ในชุดม่วงยืนอยู่ข้างเตียง จับจ้องนางอยู่อย่างนั้น
มู่อวิ๋นจิ่นมองไปโดยรอบ เห็นการตบแต่งภายในห้อง พลันนึกขึ้นมาได้ว่าเป็ต้องเห็นห้องของฉู่ลี่!
“ทำไมเ้าพาข้ามาที่นี่? ทำไมไม่ให้ข้าอยู่ที่ห้องตัวเอง?” มู่อวิ๋นจิ่นถามอย่างสงสัย
ฉู่ลี่ยิ้มมุมปาก “เ้าอยากให้คนทั้งเมืองเตี๋ยฮวา ทราบกันทั่วว่าเ้าาเ็อย่างนั้นใช่ไหม?”
“ไม่้า!” ตอบโดยไม่ต้องคิด ก่อนมองฉู่ลี่ด้วยสายตาที่ประหลาด “ข้ามาอยู่ห้องเ้า แล้วเ้าจะไปอยู่ที่ไหน?”
ฉู่ลี่เลือกจะไม่ตอบ มู่อวิ๋นจิ่นจึงเสริมขึ้นอีกประโยค “ข้าคงถามมากเกินไป องค์ชายหกมีหรือจะเป็กังวลกับที่พัก”
ฉู่ลี่เห็นนางฝีปากกล้าดังเดิมกลับมาแล้ว ช่างไม่เหมือนกับคนที่กระอักเืสีดำใกล้ตายคนนั้น คิ้วที่ขมวดอย่างเป็กังวลพลันคลายออกอย่างช้าๆ
“พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย” ฉู่ลี่หันมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
มู่อวิ๋นจิ่นรีบสัพยอกกลับไป “ทำไมเ้าพูดกับคนช่วยชีวิตเ้าเช่นนี้?”
“......” ฉู่ลี่เบือนปากกลั้นหัวเราะเอาไว้ “อย่างนั้น เ้าอยากให้เปิ่นหวงจื่อตอบแทนเ้ายังไง?”
“รอให้ข้ารักษาตัวให้หายดีก่อนค่อยว่ากัน” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยขึ้นช้าๆ ก่อนเปลี่ยนเื่สนทนา “ใช่แล้ว ข้าจำได้ว่าก่อนที่หมดสติลง แขนของมีเืสีดำที่ถูกยาพิษไหลอาบนี่หน่า?
ฉู่ลี่พยักหน้า “ถอนพิษเรียบร้อยแล้ว”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินฉู่ลี่พูดอย่างโล่งอก นางจึงคิดว่าพิษที่โดนไม่ได้ร้ายแรงแต่อย่างใด
“ก่อนที่แผลในตัวเ้าจะหายดี ห้ามออกจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว” ฉู่ลี่จ้องเขม็งไปที่มู่อวิ๋นจิ่น
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลือบมองแขนที่พันผ้าเรียบร้อย “นี่ต้องพักรักษาตัวนานขนาดไหน ดูท่าหนึ่งเดือนคงไม่พอกระมัง”
“พูดมากเสียจริง!!!” ฉู่ลี่ยกมือเขกหัวนางไปหลายทีอย่างเบามือ
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นเกาหัวยิกๆ ถลึงตาใส่ฉู่ลี่ “เ้ามารังเกียจที่ข้าพูดมากอย่างนั้นหรือ? ถ้าข้าไม่ได้ช่วยกันเ้าไว้ คนที่ต้องนอนหยอดข้าวต้มต้องเป็เ้าต่างหากมิใช่หรือ?”
“ฉู่ลี่ เ้าเป็คนที่ไร้จิตใจ!!!”
ฉู่ลี่ถูกมู่อวิ๋นจิ่นสัพยอก จนต้องกำมือทั้งสองข้าง “ดีๆๆ เปิ่นหวงจื่อเป็คนไร้จิตใจ อย่างนั้นเปิ่นหวงจื่อจะไม่สนใจเ้าอีกต่อไปแล้ว!”
“เ้ากล้าทำอย่างนั้น?”
……
ฉู่ลี่เดินออกจากห้องด้วยรอยยิ้มน้อยๆ แววตาทั้งสองข้างมิอาจปิดกั้นความสุขในแววตาได้
ติงเซี่ยนรู้สึกใกับสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า แต่พอนึกดูว่าด้านในเป็มู่อวิ๋นจิ่นก็ไม่รู้สึกแปลกใจมากนัก
อย่างไรก็ตามองค์ชายของเขา ได้อยู่กับพระชายาค่อยมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ฉู่ลี่กวาดสายตามาที่ติงเซี่ยนอย่างมีนัยยะ สีหน้ากลับมาเ็าดั่งเดิม พร้อมกับมองเข้าไปในห้องของมู่อวิ๋นจิ่น
ฉู่ลี่เดินไปที่ห้องของมู่อวิ๋นจิ่น ผลักประตูเข้าไปพบจื่อเซียงกำลังเก็บเสื้อผ้าของมู่อวิ๋นจิ่น
พอได้ยินเสียงเปิดประตู จื่อเซียงนึกว่าเป็มู่อวิ๋นจิ่น พอมองกลับไปถึงกับชะงัก รีบลุกขึ้นทำความเคารพ “คารวะองค์ชายเพคะ”
ฉู่ลี่พยักหน้ารับ และมองไปรอบๆ ห้อง
ฉู่ลี่หันไปยิ้มให้จื่อเซียง “จื่อเซียง ่ที่ผ่านมานี้ พระชายาเข้าวังไปเฝ้าฉินไท่เฟย ไม่ได้อยู่ที่จวน เ้าสามารถไปเที่ยวเล่น หรือไปคุยเล่นกับแม่นมเสิ่นได้หมด”
จื่อเซียงพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว “มิน่า ั้แ่เช้าตรู่ยังไม่เห็นหน้าคุณหนู ที่แท้เข้าวังไปแล้วนี่เอง”
จื่อเซียงพูดจบจัดชุดใส่ตู้เสื้อผ้าเรียบร้อยพอดี “เช่นนั้นบ่าวขอตัวก่อนเพคะ”
จื่อเซียงเดินออกไปแล้ว ด้านติงเซี่ยนก็ยืนดูให้แน่ใจว่านางออกจากเรือนลี่เฉวียนแล้วจริงๆ ก่อนจะควักห่อกระดาษที่มีผงสีเหลือง สาดไปบนพื้นปรากฏว่า มีบางอย่างเคลื่อนไหวออกจากใต้เตียง นั่นคืองูขาวตัวนั้นนั่นเอง
ฉู่ลี่หรี่ตาพิจารณางูขาวที่กำลีงเลื้อยเข้ามาผงสีเหลือง
“งูขาวตัวนี้มาจากชายแดน เป็สายพันธุ์เดียวกับงูเห่า มีพิษร้ายกาจ” ติงเซี่ยนอธิบาย
ต่อจากนั้นติงเซี่ยนก็ร่ายต่อไปว่า “กู่ฉงมาจากชายแดน งูขาวก็มาจากชายแดนเช่นกัน ตามหลักแล้ว องค์หญิงห้าไม่น่าจะมีได้……”
ติงเซี่ยนพูดได้ครึ่งเดียวก็เงียบปากลงทันที
“จัดการมันซะ” ฉู่ลี่จ้องไปที่งูขาว ก่อนหันหลังเดินจากไป
……
ในตอนนี้ มู่อวิ๋นจิ่นอยู่ในห้องของฉู่ลี่เพียงผู้เดียว โดยยกหมอนขึ้นมาหนุนด้านหลัง นั่งครุ่นคิดเื่ราวที่พบเจออย่างเงียบเชียบ
เมื่อคืนคนชุดดำนั้นที่มู่อวิ๋นจิ่นไล่ตามไปก็คือฉู่ชิงเฉียงไม่ผิดแน่ นางเป็คนไม่จำอดีตที่เคยโดนมาเลยสิน่ะ
นางให้โอกาสฉู่ชิงเฉียงมาแล้วหลายครั้ง เพื่อให้งานรู้จักห้ามปรามตัวเอง แต่นางกลับไม่สนใจใยดีแม้แต่น้อย
ในเมื่อเป็เช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็ไม่จำเป็ต้องไว้หน้านางอีกต่อไป
ระหว่างที่ครุ่นคิดพิจารณาเื่ราว มีคนเปิดประตูเข้ามาด้านใน
ด้วยไหวพริบปฏิภาณที่ว่องไว มู่อวิ๋นจิ่นรีบนอนราบไปกับเตียง ลืมตามองหลังคา้า
ฉู่ลี่ยกถาดอาหารเข้ามาวางไว้บนโต๊ะ โดยไม่ต่อว่าที่เห็นนางลุกขึ้นมาผิงหัวเตียงเมื่อครู่
“ลุกขึ้นมาทานอาหารได้แล้ว” ฉู่ลี่เอ่ย
มู่อวิ๋นจิ่นยู่ปากคิดว่าจะไม่ทาน แต่แล้วกลิ่นหอมลอยโชยเตะจมูก มีหรือที่นางจะไม่ลุกขึ้นมานั่งทาน
นางพยายามรวบรวมแรงพยุงตัวขึ้นมานั่ง โดยที่ฉู่ลี่เอาแต่นั่งมองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เ้าช่างอ่อนแออะไรได้ขนาดนี้”
ฉู่ลี่จนปัญญา เดินเข้าไปอุ้มมู่อวิ๋นจิ่นขึ้นมา และเพิ่มหมอนอีกสองใบช่วยหนุนหลัง จากนั้นวางนางลงบนเตียงดังเดิม
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งผิงเตียงด้วยความสุขสบายและยิ้มมุมปาก ราวกับว่าการได้ใช้ฉู่ลี่มารับใช้นาง เป็เื่ที่สนุกเหลือเกิน
“ช่วยยกอาหารมาให้ข้าที” มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วจ้องไปที่ถาดอาหาร
ฉู่ลี่ทำตามอย่างไม่ขัดข้อง
เมื่อฉู่ลี่ยกถาดอาหารมาวาง ดูเหมือนจะไม่อยากให้มู่อวิ๋นจิ่นทานเอง เขาใช้ช้อนตักอาหารป้อนเข้าปากนางไป
สีหน้าของมู่อวิ๋นจิ่นพลันแดงระเรื่อขึ้น ยกมือเตรียมไปหยิบชามอาหารมา “ข้าทานเองได้”
“แขนเ้าเป็แผลขนาดนี้จะทานยังไง?” ฉู่ลี่ยังคงตักอาหารใส่ปากนาง
มู่อวิ๋นจิ่นพูดอย่างไม่ไว้หน้า “ข้าเป็แผลที่มือข้างซ้าย ก็ใช้ข้างขวาทานข้าวก็สิ้นเื่!”
“ก็ได้ เ้าเอาไป……” ฉู่ลี่วางช้อนลงในชามข้าว ส่งให้นางตรงหน้า
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือเข้าไปรับ โดยกะใช้มือซ้ายรับชาม มือขวาจับช้อน แต่พอจะขยับมือซ้าย แผลที่เพิ่งทำก็ฉีกขาดเืไหลออก จนนางต้องร้องเสียงต่ำ
นางขดตัวงอลงทันใด แม้แต่หัวก็ไม่เงยขึ้น
“ทานข้าว” ฉู่ลี่ดึงชามจากมือมู่อวิ๋นจิ่นเข้ามาไว้ดังเดิม
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นข้าวยื่นเข้ามาถึงปากรู้สึกเก้อเขิน ทว่าด้วยความหิวโหยที่ไม่ได้ทานอะไรมานาน จึงอ้าปากงับอย่างเลี่ยงเสียมิได้
ต่อจากนั้นฉู่ลี่ก็นั่งลงข้างเตียงนอน ป้อนอาหารมู่อวิ๋นจิ่นทีละคำๆ ให้กับนาง
คราวนี้หน้าของมู่อวิ๋นจิ่นแดงก่ำเป็ลูกตำลึงและทานจนหมดเกลี้ยง
ฉู่ลี่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เช็ดปาก”
“อืม” มู่อวิ๋นจิ่นรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก แล้วชี้ไปที่กาน้ำ “ข้าอยากดื่มน้ำ”
ฉู่ลี่หันกลับมามองมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนเดินไปรินน้ำใส่แก้วให้
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข มองดูฉู่ลี่จากด้านหลัง
ทันใดนั้น ความเ็ปที่แผลแปลบขึ้นมาทั้งร่าง
“ก๊อกๆๆ” ประตูมีเสียงคนเคาะเบาๆ
“เข้ามาได้” ฉู่ลี่เอ่ยปาก
ประตูถูกผลักออกอย่างมือ หมอหญฺงถือกล่องยาเดินเข้ามา
หมอหญิงทำความเคารพฉู่ลี่ ตามด้วยมู่อวิ๋นจิ่นที่นอนอยู่บนเตียง พร้อมกับส่งยิ้มน้อยๆ ให้
“พระชายา บ่าวมาช่วยเปลี่ยนยาให้ใหม่เพคะ” หมอหญิงเดินไปที่ข้างเตียง เปิดกล่องยาออก
มู่อวิ๋นจิ่นมองหมอหญิงผู้นี้อย่างพินิจ ราวกับเคยพบหน้าสตรีวัยกลางคนที่ไหนมาก่อน หรือว่านางจะเป็คนใต้บังคับบัญชาของฉู่ลี่กัน
หมอหญิงมองหน้ามู่อวิ๋นจิ่นแวบหนึ่ง จากนั้นก้มหน้าเปิดแขนเสื้อของนางขึ้น
“ห๊ะ! แขนเสื้อของพระชายาทำให้ยาที่ทาซึมติดกับเนื้อผ้าจนหมด มิทราบว่าจะสะดวกถอนอาภรณ์ตัวนอกไหมเพคะ ยาที่ทาจะได้ออกฤทธิ์อย่างเต็มที่เพคะ” หมอหญิงอธิบาย
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าแล้วยกมือขวาขึ้นมาหมายปลดกระดุม แต่นึกขึ้นมาได้ว่าฉู่ลี่ยืนอยู่ในห้องนี่หน่า
“เ้าออกไปข้างนอกก่อนจะได้ไหม?” มู่อวิ๋นจิ่นฉีกยิ้ม
หมอหญิงถึงกับเบิกตาโพลง หัวเราะคิกคัก “พระชายากับองค์ชายแต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว ยังถือสาในจุดนี้อีกหรือเพคะ?”
ฉู่ลี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินที่หมอหญิงเอ่ย เขารู้สึกชื่นชมในคำพูดที่ช่างเหมาะสมของหมอหญิงเป็อย่างยิ่ง พลางชายตามองไปดูสีหน้าของมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความสุข
มู่อวิ๋นจิ่นหันมองหมอหญิงด้วยความตะลึงงัน ตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของหมอหญิงผู้นี้ หากนางเป็หมอข้างนอก แล้วรู้ว่าการแต่งงานของฉู่ลี่และนางเป็การแต่งงานจอมปลอม อาจทำภัยมาสู่พวกเขาได้
คิดมาถึงตรงนี้ มู่อวิ๋นจิ่นคิดว่าแค่อาภรณ์ตัวนอกไม่เห็นเป็อะไร ด้วยยังมีชุดด้านในอยู่ ยังไงก็มองไม่เห็นส่วนสำคัญได้
ดังนั้นมู่อวิ๋นจิ่นจึงถอดอาภรณ์ตัวนอก เผยให้เห็นผิวพรรณที่ขาวเรียบเนียน ด้านในเหลือเพียงผ้าบางเบาสีชมพูปิดบริเวณทรวงอกทั้งหมด
“รีบทายาให้ข้าเร็ว” มู่อวิ๋นจิ่นยกแขนข้างซ้ายขึ้น ให้หมอหญิงเปลี่ยนยา
หมอหญิงพยักหน้า แต่ด้านของมู่อวิ๋นจิ่น แขนขวาอยู่ฝั่งหมอหญิง ทำให้เอื้อมไปทายาที่แขนซ้ายได้ลำบาก หมอหญิงจึ้งเอ่ยขึ้น “พระชายาสามารถขยับตัวเอาแขนซ้ายมาทางนี้ได้ไหมเพคะ?”