“ท่านพ่อ พอเถิด” ในที่สุดซูิเยว่ก็อดทนต่อไปไม่ไหว สีหน้าเ็า ก่อนหน้านี้ถึงแม้ซูโม่จะเ็ากับนางแค่ไหน นางก็ยังโอบกอดความหวังในความรักของครอบครัวอยู่
แต่ในวันนี้ นางสิ้นหวังในเื่นี้มากจนถึงที่สุดแล้ว “คำพูดที่เหลือท่านก็ไม่จำเป็ต้องพูดอีกแล้ว ไม่ทราบว่าที่ท่านพ่อมาในวันนี้มีเื่อะไร หากไม่มีอะไร ลูกเหนื่อยแล้วเ้าค่ะ”
ซูโม่ไม่ได้พูดแก้ตัวอะไรอีก แล้วหันไปมองจี๋โม่หาน “องค์ชาย เื่ฎีกาของฝ่าากระหม่อมรับทราบแล้ว แต่ว่าอย่างไรนางก็ยังไม่ได้แต่งงานอย่างเป็ทางการ หากเป็เช่นนี้จะทำให้นางเสียชื่อเสียง วันนี้ข้าจึงอยากจะมารับนางกลับไป อย่างไรข้าที่เป็พ่อคนนี้ก็ไม่อยากเห็นนางถูกคนติฉินนินทา”
เมื่อคำพูดของซูโม่จบลง ไอเย็นเยียบบนตัวของจี๋โม่หานก็ทวีความรุนแรงขึ้นทันที เขาแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งที “ตอนที่นางอยู่ในคุก เหตุใดเ้าถึงไม่ค่อยจะเป็ห่วงนางเท่าไหร่ ตอนที่นางาเ็จนหายใจรวยริน เหตุใดเ้าถึงไม่เป็ห่วงนาง แม่หนูอยู่ที่นี่มาสิบกว่าวันเ้าก็ไม่เคยมาหานางเลย ตอนนี้กลับมาสนใจนางขึ้นมา ใต้เท้าสกุลซู เ้าทำอะไรแปลกๆ อยู่นะ”
“พ่ะย่ะค่ะ เป็กระหม่อมที่ทำไม่ถูก” ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับการพูดจาเสียดสีของซูิเยว่หรือว่าการเย้ยหยันของจี๋โม่หาน ซูโม่ก็ไม่ได้โกรธเลยสักนิด
ถึงจะถูกจี๋โม่หานพูดเช่นนี้ใส่ ใบหน้าของเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกผิดเลยสักนิด “รอจนพวกท่านแต่งงานกันอย่างเป็ทางการแล้ว เื่ในอนาคตกระหม่อมจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จี๋โม่หานพูดกลับไป “แม่หนูจะพักอยู่ที่นี่ หากให้นางกลับไป ข้าก็ไม่วางใจ ใต้เท้าสกุลซูโปรดวางใจเถิด ของสู่ขอข้าจะส่งไปให้เ้าเอง”
การที่เขาทำเช่นนี้เป็การบอกออกไปตรงๆ ว่าเขาไม่เชื่อใจซูโม่
ซูโม่ยังคงไม่โกรธแล้วตอบกลับเสียงเรียบ “องค์ชายพูดเช่นนี้เกรงว่ามันจะไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ จะอย่างไรตอนนี้พวกท่านก็ยังไม่ได้แต่งงานกันอย่างเป็ทางการ ตอนนี้นางยังคงเป็คนของสกุลซู เกรงว่าองค์ชายจะตัดสินใจแทนนางไม่ได้”
จี๋โม่หานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองซูิเยว่ “เช่นนั้นแม่หนูคิดว่าอย่างไร?”
ซูิเยว่พูดโดยไม่ต้องคิด “ท่านพ่อไม่ต้องเป็ห่วงข้าหรอก ลูกอยู่ที่นี่ก็สบายดี ข้าเองก็ไม่ได้กลัวว่าคนอื่นจะนินทาอะไรข้า หากท่านพ่อไม่มีเื่อะไรแล้วก็กลับไปเถิดเ้าค่ะ”
สีหน้าของซูโม่ปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย แววตาหม่นลง เขาจ้องซูิเยว่อยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งนางเองก็ไม่ได้หวาดกลัวและจ้องกลับไป
“ในเมื่อเ้าไม่อยากกลับไป เช่นนั้นก็อาศัยอยู่ที่นี่เถิด” หลังจากนั้นซูโม่ก็สะบัดแขนเสื้ออย่างแรงแล้วลุกขึ้น “องค์ชาย เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา”
“ไม่ส่งนะ”
ซูโม่ร้องเหอะออกมาเสียงไม่ดังไม่เบามาก แล้วสาวเท้ายาวๆ กลับไปโดยที่ไม่หันกลับมามอง
หลังจากซูโม่กลับไปได้ครู่หนึ่ง ซูิเยว่ก็ยังนั่งนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
จี๋โม่หานถอนหายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวนางเบาๆ แล้วถามออกมาอีกครั้ง “ไม่กลับไปแล้วจริงๆ หรือ?”
ซูิเยว่เอนตัวพิงพนักพิงแล้วถอนหายใจยาวออกมา “ไม่รู้เพคะ”
นางไม่อยากจะกลับไปที่จวนสกุลซูอีกแล้วจริงๆ แต่นางยังมีเื่มากมายที่ยังทำไม่เสร็จ นางเองก็ไม่อาจฉีกหน้าของซูโม่ได้ การต่อสู้ของพวกนางกับฮ่องเต้คิดว่าคงจะดำเนินไปอีกนานมาก
จี๋โม่หานหัวเราะออกมาเบาๆ “ไม่เป็ไร เช่นนั้นเ้าก็ค่อยๆ คิดแล้วกัน ไม่ว่าเ้าจะตัดสินใจอย่างไรข้าก็จะสนับสนุนเ้า”
“เพคะ”
เช้าวันต่อมา คนในวังก็มาหาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเป็คนข้างกายของฮองเฮา นางบอกว่าเวินเยว่เรียกซูิเยว่เข้าวัง
หลังจากค้นเจอกากยาที่จวนครั้งที่แล้วทำให้ชะล้างความน่าสงสัยของเวินเยว่ได้ ทางด้านขุนนางในราชสำนักก็ช่วยพูดอย่างเต็มความสามารถว่าเวินเยว่นั้นไร้ความผิด ต่อมาฮ่องเต้ก็ได้ยกเลิกคำสั่งกักขังเวินเยว่และคืนสิทธิ์ของฮองเฮาให้นาง
หลายวันมานี้าแของซูิเยว่ก็ดีขึ้นพอสมควร แต่ก็ยังไม่ได้รับข่าวอะไรจากเวินเยว่เลย นางอยากจะรู้ความจริงทั้งหมดจริงๆ
“เช่นนั้นข้าจะไปกับเ้า” ตอนนี้จี๋โม่หานไม่วางใจเื่ซูิเยว่เลยสักนาที
“ได้สิเพคะ” ซูิเยว่เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ “แต่ว่าวังหลังนั้นหากไม่ได้เรียกตัว ท่านก็ไม่สามารถเข้าไปได้”
“ไม่เป็ไร ข้าจะรอเ้าที่ประตูวัง”
จี๋โม่หานยืนกรานจะไปส่งซูิเยว่ด้วยตัวเอง คนข้างกายของฮองเฮาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร รถม้าที่ฮองเฮาส่งมารับซูิเยว่ก็ออกตัวไปด้วยความเร็วไม่มากแต่ก็ไม่ช้าเกินไปตามหลังรถม้าของจวนองค์ชายสาม กระทั่งมาถึงหน้าประตูวังถึงได้หยุดลง
“เช่นนั้นหม่อมฉันไปแล้วนะ”
“ระวังตัวด้วย” จี๋โม่หานจับมือของซูิเยว่ไม่ยอมปล่อย
“วางใจเถิด ฮองเฮาเป็คนดีมาก หม่อมฉันไปพบนางคงไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นหรอก”
ซูิเยว่ลงจากรถม้า แล้วตามหลังคนนำทาง เดินไปได้สิบกว่านาทีก็ถึงตำหนักบรรทมของฮองเฮา
ภายในโถงตำหนัก เวินเยว่นั่งหันหลังให้ประตูข้างโต๊ะน้ำชา ตอนนี้มีกลิ่นหอมสบายๆ โชยมา กาน้ำชาที่ต้มอยู่ที่โต๊ะคลายไอน้ำเดือดปุดๆ ออกมา
อากาศในเดือนเจ็ด ที่ใต้ตำหนักได้ฝังไส้เดือนเอาไว้ ดังนั้นอากาศจึงไม่ค่อยร้อนเท่าไร
คนที่พานางเข้ามากล่าว “เหนียงเหนียง พานางมาแล้วเพคะ”
“ออกไปเถิด” เวินเยว่ยกมือขึ้นมาโบก คนที่คอยดูแลภายในตำหนักต่างพากันออกไปและปิดประตู
ซูิเยว่เดินเข้ามายืนอยู่ข้างกายเวินเยว่ ก่อนจะย่อตัวทำความเคารพ “ถวายบังคมเพคะฮองเฮา”
เวินเยว่เงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องเกรงใจหรอก นั่งลงเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะเหนียงเหนียง”
ซูิเยว่นั่งลงตรงข้ามเวินเยว่ การมาครั้งที่สองนี้ไม่ได้เกร็งเหมือนครั้งแรก อาจจะเพราะเดิมทีนิสัยของเวินเยว่ก็ดีมากอยู่แล้ว หรือบางทีอาจจะเพราะคำพูดพวกนั้นที่จี๋โม่หานเล่าให้นางฟังในคืนนั้น
ตลอดชีวิตของเวินเยว่นั้นล้วนไม่อาจทำอะไรได้มาก ทั้งยังพักอยู่ในวังหลังด้วย สายตาของคนอื่นนางจึงดูมีอำนาจมากมาย เป็มารดาของคนทั้งแคว้น แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าภายในใจของนางนั้นเ็ปมากแค่ไหน
ตำแหน่งอยู่สูง ตัวก็ถูกวางไว้บนที่สูง
เวินเยว่ยกกาน้ำชาขึ้นมารินให้ซูิเยว่หนึ่งแก้ว ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าว “เพิ่งจะส่งมาวันนี้ ลองชิมดูสิ”
ซูิเยว่ก้มหน้าแล้วก็ยิ้ม ก่อนจะยกชาขึ้นมาจิบ “เป็ชาที่ดีจริงๆ ด้วยเพคะ”
นางวางแก้วชาลงแล้วเงยหน้ามองเวินเยว่ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “เหนียงเหนียง หม่อมฉัน....”
“ข้ารู้” เวินเยว่ตัดบทนาง “ข้าเคยรับปากเ้า ข้าจะบอกทุกเื่ที่ข้ารู้ให้เ้าฟัง”
ซูิเยว่เม้มปากไม่ได้พูดอะไร
เวินเยว่ถอนหายใจ ใบหน้าย้อมไปด้วยความโศกเศร้า ต่อมาก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง ภายในรอยยิ้มมีความเ็ปอยู่หลายส่วน
“ตอนนั้นที่ข้าทำเื่นี้ก็ทุ่มเททุกอย่างลงไปทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอันตราย ข้าลงมือทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้วและเตรียมตัวที่จะโดนจับ หากสามารถตายไปพร้อมกับเขาได้ ข้าเองก็ยินดี แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเื่ไม่คาดฝันขึ้น พอถูกจับได้ ข้าก็ไม่พอใจ ข้าไม่ยินดีที่จะตายไปอย่างนี้ ดังนั้นข้าจึงเดิมพันอีกครั้ง ให้อาอวี้ไปหาเ้า ความจริงแล้วข้าเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก แต่ครั้งนี้ข้าต้องขอบคุณเ้าจริงๆ ที่ช่วยข้าเอาไว้”
อาอวี้คงจะเป็หญิงชราที่ไปหานางตอนนั้น
ซูิเยว่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วมองเวินเยว่ด้วยความใ นางคิดไม่ถึงว่าสตรีที่ภายนอกดูอ่อนโยนคนหนึ่งตอนนั้นกลับมีความคิดที่จะยอมแลกชีวิตเช่นนี้ ความมุ่งมั่นนี้ หากเป็คนอื่นก็คงจะทำไม่ได้
ซูิเยว่เม้มปาก “เหนียงเหนียง...ท่านเกลียดฮ่องเต้ขนาดนั้นจริงๆ หรือเพคะ?”