นิสัยของสวีเหวินเหวินไม่ต่างอะไรนักกับซูอินก่อนกลับชาติมาเกิด สงบเงียบเรียบร้อย เสียใจก็อดทนเก็บไว้ ไม่ปริปากพูดง่ายๆ หากไม่มีใครถาม
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ค่อนข้างเป็เื่ใหญ่มากเกินกว่าจิตใจที่เป็เด็กของเธอจะรับไหว
จิตใจของเธอไม่อยู่กับตัวจนไม่สามารถอยู่ร่วมพิธีจนจบ จึงตัดสินใจจะกลับบ้าน
“ฉันคิดว่าเธอควรไปโรงพยาบาลก่อน แล้วเล่าให้คุณป้าหยางฟัง ถามว่าควรทำยังไงกับเื่นี้”
เมื่อได้ฟังข้อเสนอแนะของซูอิน เธอจึงหมุนตัวไปโรงพยาบาลทันที
โรงพยาบาลประชาชนประจำเมือง อู๋อู๋ที่เห็นแสงสว่างอีกครั้งแทบไม่สามารถกลั้นความรู้สึก เมื่อเห็นหยางอวี้หลานกำลังจะไปเข้าห้องน้ำ เธอรีบตามไปและรั้งหยางอวี้หลานไว้ในนั้น
หลังจากทักทายอย่างเรียบง่าย เธอก็เข้าประเด็นหลักทันที
“อวี้หลาน พวกเราเป็เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนที่โรงเรียนแพทย์ ตอนนั้นเราสนิทกันมาก เรียนจบก็ถูกส่งมาที่โรงพยาบาลประชาชนประจำเมืองรุ่นเดียวกัน หลายปีมานี้ถือว่าเป็พี่น้องที่เห็นใจซึ่งกันและกัน เหวินเหวินก็นับถือฉันเป็คุณป้า หลังจากนี้เมื่อเธอเข้าเรียนและทำงาน หากเจอเื่ลำบาก ฉันไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน”
ถึงแม้หยางอวี้หลานจะยังไม่สามารถตัดสินใจว่าโควตาในครั้งนี้ควรมอบให้ใคร แต่ในฐานะผู้ที่เคยมีรายชื่อได้รับโควตาทำให้คำแนะนำของอีกฝ่ายค่อนข้างมีน้ำหนัก
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ อู๋อู๋ก็แสดงอาการว่าเต็มไปด้วยความจริงใจ
เธอกับหลิงเมิ่งเปรียบดั่งดอกไม้สีขาวที่เติบโตตามมาตรฐาน บวกกับรูปลักษณ์ยิ่งง่ายในการโจมตีเกราะป้องกันของผู้อื่นให้พังทลาย
ระยะนี้หยางอวี้หลานมีเื่ทางบ้านทำให้รู้สึกอึดอัด แม้ว่าเหวินเหวินจะไม่เคยตำหนิเธอ แต่แม่สามีไม่เคยพยายามเลี่ยงที่จะพูดจาไม่ดีกับเธอ
เหวินเหวินมีผลการเรียนไม่ค่อยดี หาก้าเข้าโรงเรียนมัธยมปลายดีๆ จำเป็ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ ไม่ต้องพูดถึงเื่ที่ครอบครัวของเธอไม่มีเงิน เพราะต่อให้มีก็คงไม่สามารถเลี่ยงคำพูดว่า “เสียเงินเปล่า” ที่ออกจากปากของแม่สามี
บุตรสาวคนนี้ของเธอ…
ในใจของหยางอวี้หลานเริ่มสั่นไหว
สวีเหวินเหวินมาถึงพอดี เมื่อเห็นหน้าแม่ก็ตรงเข้าสวมกอดหยางอวี้หลาน
“แม่คะ~”
อู๋อู๋ดีใจ
การที่เธอเอ่ยถึงสวีเหวินเหวินก็แค่พูดส่งๆ เพราะคนเป็แม่ที่ไหนจะไม่เป็ห่วงลูกตัวเอง เพื่อบุตรสาวแล้ว หยางอวี้หลานต้องยอมประนีประนอมแน่นอน
เมื่อหยางอวี้หลานเห็นสวีเหวินเหวินร้องไห้โฮ ก็รู้สึกแปลกใจ
เธอพาสวีเหวินเหวินมายังห้องตรวจด้านข้างที่ว่างอยู่ หลังจากปลอบจนสงบ หยางอวี้หลานก็ได้รู้ความจริงจากคำพูดที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อของสวีเหวินเหวิน
“อินอินเห็นแบบนั้นจริงเหรอ”
สวีเหวินเหวินยังคงสะอื้น ยกมือปาดน้ำตา “อินอินไม่มีทางโกหกหนูค่ะ”
หยางอวี้หลานเองก็เชื่อในตัวของซูอิน
ใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาหลายปี เธอรู้ดีว่าแม่สามีเป็คนอย่างไร หากเทียบกับแม่เฒ่าสวี เธอเต็มใจเชื่อซูอินที่เป็เพื่อนร่วมชั้นของเหวินเหวินมากกว่า เพราะเด็กสาวไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหก
จากสิ่งที่เห็นทำให้เธอรู้ว่าอันที่จริงในบ้านมีเงินอยู่มาก แต่กลับถูกแม่เฒ่าสวีเอาไป
เพราะอะไร
ไม่นานหยางอวี้หลานจึงนึกถึงคำพูดที่แม่สามีพูดติดต่อกันมาหลายปี “เธอคงจะปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ”
สวีลี่ฉวินสูญเสียความสามารถในการทำงานเพราะพิการ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทั้งครอบครัวต้องพึ่งพารายได้จากเธอเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนี้แม่สามีจึงกลัวมากว่าเธออาจจะทนชีวิตที่ยากลำบากไม่ได้ และทิ้งครอบครัวไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเื่เช่นนั้น หล่อนจึงเก็บบัตรกดเงินไว้ที่ตัวเอง
หลังจากที่มีการประกาศรายชื่อผู้ได้รับโควตา เธอดีใจมาก เมื่อกลับมาแจ้งเื่นี้กับที่บ้าน แม่สามีก็มีสีหน้าหม่นหมอง
ในเวลานั้นเธอกำลังปลาบปลื้มยินดีจึงไม่ได้สนใจ ตอนนี้เมื่อลองคิดดูว่าขนาดเธอทำงานปกติ แม่สามียังหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ หากกลับจากการศึกษาหลักสูตรระยะสั้น และรู้ว่าเธออาจได้เลื่อนตำแหน่ง แม่สามีจะมีความคิดอื่นอีกไหม
เหตุผลที่เธอตัดสินใจสละโอกาสที่มีค่าในการเข้ารับการศึกษาหลักสูตรระยะสั้น เื่ไม่มีเงินเป็เพียงส่วนหนึ่งที่น้อยนิด เธอมีงานที่มั่นคง การจะกู้เงินสักเล็กน้อยไม่ใช่เื่ยาก สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ หากอาการาเ็ที่ขาของสวีลี่ฉวินกำเริบ ในบ้านก็ไม่ควรขาดใครไป
เวลานั้นเธอไม่คิดเคลือบแคลง แต่ในวันนี้เธอสงสัยและอดไม่ได้ที่จะคิดไปไกลกว่านั้น
หลายปีที่ผ่านมาอาการป่วยของเขาคงที่ ทำไมไม่เกิดขึ้นก่อนหน้าหรือหลังจากนี้ แต่อาการป่วยของเขามักจะกำเริบใน่เวลาสำคัญเสมอ
เื่ทั้งหมดล้วนแต่ทำไปเพื่อรั้งไม่ให้เธอเข้าร่วมการเข้าศึกษาหลักสูตรระยะสั้น
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หยางอวี้หลานก็รู้แจ้งกระจ่างขึ้นมาทันที
ในปีนั้นเพราะสวีลี่ฉวินช่วยเธอไว้ทำให้เขาต้องพิการ คุณหมอสาวผู้ร่าเริงสดใสกลายเป็คนเศร้าซึม เธอรู้สึกผิดกับเื่นี้มาตลอด แต่ต่อให้รู้สึกผิดมากแค่ไหน เกือบยี่สิบปีมานี้ภายใต้การทำร้ายจิตใจของสองแม่ลูกคู่นั้น ก็ทำให้ความรู้สึกผิดของเธอลดลงทุกวัน
ในเวลานี้เมื่อความจริงเปิดเผย ในใจของหยางอวี้หลางเหลือเพียงความอ่อนล้า
เมื่อไรวันเวลาเช่นนี้จะจบลงเสียที ที่สวีลี่ฉวินช่วยชีวิตเธอไว้ตอนนั้น หลายปีมานี้แม่สามีของเธอมักจะยกเื่นี้ขึ้นมาพูด เพื่อบีบบังคับให้เธอยอมรับใช้ ในแต่ละวันชีวิตของเธอจืดชืดไร้ชีวิตชีวา แค่มอบชีวิตนี้คืนให้แก่ตระกูลสวี ปัญหาต่างๆ ก็จะจบ
ความรู้สึกในแง่ลบเช่นนี้อยู่ได้เพียงไม่นาน เสียงสะอื้นของคนที่อยู่ข้างๆ ก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากเธอ
เมื่อมองสวีเหวินเหวินที่ดวงตาแดงก่ำก็ทำให้หยางอวี้หลานรู้สึกสงสาร หากเกิดเื่หรือเหตุที่คาดไม่ถึงกับตัวเธอ เหวินเหวินจะทำอย่างไร
ดูเหมือนว่าเธอจะพบเสาหลักของตนเองแล้ว จิติญญาแห่งการต่อสู้อย่างไม่ลดละพุ่งขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ เพื่อเหวินเหวินเธอจะมีความคิดแย่ๆ แบบนั้นไม่ได้ เพื่อเหวินเหวินเธอจะต้องเปลี่ยนแปลง
ตลอดยี่สิบปีที่ดิ้นรนเพื่อชีวิตของตนเอง ในที่สุดสมองที่เต็มไปด้วยความสับสนก็ตื่นเสียที
แม่เฒ่าสวีนำเงินไปให้ใคร
หยางอวี้หลานคิดว่านี่คือส่วนสำคัญของเื่นี้
เมื่อความคิดกระจ่างชัด เธอหันไปปลอบสวีเหวินเหวินที่กำลังร้องไห้ หลังจากสงบแล้ว ก็กำชับว่าอย่าแพร่งพรายเื่นี้ออกไปเด็ดขาด
เช่นเดียวกับทุกครอบครัวที่เป็ปิตาธิปไตย สวีเหวินเหวินมีชีวิตที่ไม่ดีนัก ไม่เป็ที่ชื่นชอบของย่า บิดาก็ขี้โมโห ทำให้เธอสนิทกับมารดาโดยปริยาย เมื่อปาดน้ำตาแล้ว เธอรับปากอย่างหนักแน่นว่าจะไม่บอกเื่นี้กับย่าและพ่อ
หลังจากที่ส่งสวีเหวินเหวิน หยางอวี้หลานจึงกลับมายังห้องตรวจข้างๆ อีกครั้ง
“เหวินเหวินกลับไปแล้วหรือ ทำไมร้องไห้หนักอย่างนั้นล่ะ ฉันเห็นก็รู้สึกสงสาร”
อู๋อู๋รีบเข้าเื่ สีหน้าเผยให้เห็นถึงความกังวลที่พยายามปกปิด
คนที่รู้จักกันมานานจนรู้ใจ เป็เพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อนร่วมงาน ซึ่งรวมๆ แล้วก็นานกว่ายี่สิบปี หยางอวี้หลานรู้จักอู๋อู๋ดี หากเป็เหมือนที่ผ่านๆ มา เธอคงแสร้งทำเป็ไม่สนใจ และพยายามรักษาความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงาน แต่ตอนนี้เธอรู้สึกสั่นไหว ในหัวสับสนวุ่นวาย หากทำงานเสร็จก็้าอยู่เงียบๆ ไม่อยากรับมือกับอะไรทั้งสิ้น
“อืม ฉันให้เหวินเหวินกลับไปแล้ว หมออู๋ ฉันเข้าใจความหมายของเธอ แต่การจะได้รับโอกาสเพื่อศึกษาในหน่วยรักษาพยาบาลครั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ต่อให้ต้องหยิบยืมเงิน ฉันก็จะเข้าร่วมอย่างแน่นอน”
อู๋อู๋ตกตะลึง
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกับที่เธอคิดไว้สักนิด
เปลวเพลิงลุกโชนในหัวใจ คำพูดติดในลำคอ กวาดสายตาดูรอบๆ เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานกำลังมองมา ภาพเหตุการณ์ขายหน้าสองครั้งก่อนยังคงชัดเจน อู๋อู๋ยังไม่ลืมบทเรียนครั้งนั้น จึงทำได้เพียงพยายามข่มความโกรธ
“หมอหยางพูดอะไร ฉันแค่เห็นว่าครอบครัวของคุณกำลังลำบาก เลยอยากถามว่า้าความช่วยเหลือบ้างไหม”
“ขอบคุณค่ะ”
เมื่อรับมือกับสิ่งนี้ได้แล้ว หยางอวี้หลานก็กลับไปนั่งประจำที่และสะสางงานที่คั่งค้าง เลิกงานเธอหยิบภาพครอบครัวที่อยู่บนโต๊ะทำงาน ตรงดิ่งไปยังชุมชนเล็กๆ ที่ซูอินกล่าวถึง
แม่เฒ่าสวีรู้นิสัยลูกสะใภ้ดี รายนั้นหมกมุ่นเื่งาน จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาเห็นได้ว่าหยางอวี้หลานใส่ใจสวีเหวินเหวินจนแทบไม่สนใจเื่อื่น หลายปีที่ผ่านมาเธอจึงไม่ได้ปกปิดเื่นี้
แม่หม้ายคือกลุ่มเป้าหมายที่หยางอวี้หลานสนใจที่สุด ปัจจุบันในชุมชนมีการจัดสรรพื้นที่ หลายปีมานี้เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ยังอยู่ เกือบทุกคนจึงรู้จักบ้านของซุนลี่เหมย
เพียงไม่นานหยางอวี้หลานที่ถือรูปมาด้วยก็ได้รับคำตอบ
แม่สามีของเธอมาที่นี่เพื่อพบหลานชายของตนเอง!
