เยี่ยนฟางหวายังไม่ทันตั้งสติจากฉากสะพรึงตรงหน้า เมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว ทั้งร่างก็พลันเย็นเฉียบขึ้นมาอีกหน
ผู้ใดเรียกใต้เท้าเ้ากรมเมืองมา?
ประการแรกใช้ท่านหมอหลวงจางปิดปากทุกคนในจวน ตามด้วยเชิญเ้ากรมเมืองมา ั้แ่คนของบ้านใหญ่มาก่อกวนจนกระทั่งตีบ่าวหญิงสองคน นับเวลาดูยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ ใครกันที่ลงมือรอบคอบเช่นนี้?
ตอนนี้สวนมวลบุปผาหอมมีเยี่ยนเจาเจาอยู่คนเดียว หรือว่านางเป็คนจัดการ?
ใจเยี่ยนฟางหวาเต้นระรัว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเยี่ยนเจาเจาที่อยู่ข้างกายกลายเป็คนแปลกหน้า แต่นางยังเชื่อไม่ลงอยู่ดีว่าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเยี่ยนเจาเจาจะมีความสามารถเพียงนี้
นางดูแคลนเยี่ยนเจาเจาจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงลืมเสียสนิทว่าใครเป็คนที่ต้อนนางจนก้าวขาไม่ออก และยังโดนเยี่ยนหลิวซื่อกักบริเวณอีก หากมิใช่นางแอบหนีออกมาก็ไม่รู้ว่าต้องอุดอู้ไปถึงเมื่อไหร่
ใต้เท้าเ้ากรมเมืองพากุนซือมาสองคน ข้างหลังเขายังมีเฝ่ยชุ่ยที่มักปรนนิบัติข้างกายเยี่ยนเจาเจายามทานข้าวยืนอยู่ด้วย
เหตุการณ์ในเช้าวันนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน อีกทั้งตอนนี้ข้างกายเจาเจามีคนใช้งานได้เพียงไม่กี่คน อาเหวินกับอาอู่ต้องตามนางไปคุมสถานการณ์ ส่วนเื่เชิญท่านหมอหลวงจางก็สะเพร่าไม่ได้ เลยมอบหมายให้ปี้สี่ที่แก่วัยสุดเป็คนจัดการ และยกเื่เชิญใต้เท้าเ้ากรมเมืองให้แก่เฝ่ยชุ่ยซึ่งอายุน้อยลงมาแทน
นางกลับมาเร็วขนาดนี้ แปลว่าทำงานรวดเร็ว เป็คนเก่งใช้ได้ทีเดียว
เมื่อเฝ่ยชุ่ยพาใต้เท้าหลิวเข้าไปในหอเซียวเซียงก็พบว่าทั้งเรือนโดนทุบตีจนเละตุ้มเป๊ะ อีกทั้งที่มุมกำแพงยังมีบ่าวหญิงหลังอาบเืสองคนถูกทิ้งไว้ด้วย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ใต้เท้าหลิวปิดจมูกหลบออกไป เผลอขมวดคิ้วแน่น
เขาเป็ปัญญาชน และยังเป็จิ้นซื่อชูเซิน[1] ที่ดำรงตำแหน่งเ้ากรมเมืองมายี่สิบสองปี ใจซื่อมือสะอาด แม้นผลงานไม่นับว่าโดดเด่น แต่กลับทำงานรอบคอบ
เฝ่ยชุ่ยถือเทียบขององค์หญิงฉงหยางไว้ในมือ เขายังไม่ทันบ้วนปากล้างหน้า ก็พาคนมาเรือนองค์หญิงด้วยตนเอง
เยี่ยนฟางหวาไม่รอให้เยี่ยนเจาเจาพูด นางรีบปาดน้ำตาชิงเล่าเหตุการณ์ก่อนทันที ตอนท้ายยังใส่ไฟบอกว่าเยี่ยนเจาเจาอกตัญญู เห็นพี่สาวของตนเองและท่านทวดโดนปีศาจรุกราน แทนที่จะช่วยขับไล่ปีศาจ กลับสร้างความวุ่นวายที่นี่แล้วยังตีคนอีกด้วย
เยี่ยนฟางหวาร้องไห้ราวกับดอกท้อต้องหยาดฝน ดูแล้วน่าสงสารนัก
สีหน้าใต้เท้าหลิวพลันดำคล้ำ สายตาที่มองเยี่ยนฟางหวาผู้สะอื้นไห้มีความรำคาญแต่ก็แฝงโทสะไว้ เยี่ยนฟางหวาเห็นเช่นนั้นก็ลอบยินดี นางอยากรู้นักว่าคราวนี้เยี่ยนเจาเจาจะมีจุดจบอย่างไร!
ทว่าเยี่ยนเจาเจาที่เฝ้ามองสีหน้าของทุกคนอยู่ด้างข้าง กลับเห็นสิ่งอื่นชัดเจนแจ่มแจ้ง
เกรงว่าเยี่ยนฟางหวาจะคำนวณลูกคิดกระดานนี้พลาดเสียแล้ว
“เ้าพูด!”
ใต้เท้าหลิวมองเยี่ยนเจาเจาที่อยู่อีกฝั่ง เขาไม่ถ่อมตัวเลยแม้แต้นิด แม้นางเป็บุตรสาวเพียงคนเดียวขององค์หญิงฉงหยางก็ตาม
เยี่ยนเจาเจาวางมือข้างเอว ยอบกายคารวะ ก่อนจะกล่าวอย่างกระชับว่า “ยามเช้าข้าได้ยินว่าฮูหยินเฒ่าและพี่หญิงจากบ้านใหญ่ป่วยหนัก จึงให้เด็กรับใช้ไปเชิญท่านหมอหลวงจางมาตรวจทั้งสองคน
คาดไม่ถึงว่าเด็กรับใช้ของข้าเพิ่งออกจากเรือน ก็มีคนกลุ่มใหญ่เข้ามาเอะอะโวยวาย พวกเขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ก่อเื่จนทั้งเรือนตกอยู่ในสภาพนี้
ที่นี่คือเรือนพักของพี่ชายผู้เป็ญาติผู้พี่ของข้า เขาเป็ปัญญาชนที่รักสงบที่สุด แต่ตอนนี้กลับโดนรบกวนเสียจนเละเทะ ข้าไม่เคยพบคนเหล่านี้ในชีวิตประจำวันมาก่อนก็รู้สึกกลัวขึ้นมา จึงเรียกคนไปเชิญใต้เท้ามา ข้าผิดเองเ้าค่ะ
ท่านแม่กับท่านพ่อของข้าไม่อยู่ เรือนใหญ่ไม่มีเ้านายสักคน พวกบ่าวล้วนฟังคำพูดของเ้านาย บัดนี้เกิดเื่วุ่ยวายกลายเป็เช่นนี้ ข้าละอายใจนักเ้าค่ะ”
เยี่ยนเจาเจาพูดช้าๆ แต่ชัดถ้อยชัดคำ นางเล่าเื่ราวออกมาอย่างกระจ่างด้วยบุคลิกสง่างามเพียบพร้อม แตกต่างกับเยี่ยนฟางหวาที่พูดไปร้องไห้ไปราวฟ้ากับเหว
เมื่อพูดมาถึงตอนท้าย ดวงตาของนางก็แดงก่ำโดยไม่รู้ตัว เพราะนางรู้สึกคับข้องใจจริงๆ พวกคนบ้านใหญ่เห็นท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ก็คิดว่านางรังแกง่าย จึงมาก่อกวนสวนมวลบุปผาหอมจนบรรยากาศอึมครึมเช่นนี้
เยี่ยนเจาเจาหันหลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหยาดน้ำตาที่คลอหางตาของตน ก่อนจะมองใต้เท้าหลิวอย่างขออภัย “ให้ใต้เท้าหัวเราะเยาะแล้วเ้าค่ะ”
ใต้เท้าหลิวมีสีหน้าไม่น่ามองยิ่งกว่าเดิม ท่าทางตึงเครียดราวกับพายุจะถล่ม
ใบหน้าเยี่ยนฟางหวายังมีน้ำตา แต่กลับกลั้นรอยยิ้มเกือบไม่อยู่ ในใจอยากเห็นเยี่ยนเจาเจาโดนตำหนิให้จนตรอกจนแทบบ้า
ถึงขั้นเรียกเ้ากรมเมืองมาเพราะปัญหาเล็กน้อยในบ้านเช่นนี้ ดูท่าความฉลาดก่อนหน้าของนางคงเป็แค่เื่บังเอิญ เยี่ยนเจาเจายังโง่งมเหมือนเดิม
“ใครสั่งใครสอนให้เ้าโกหกทั้งเพแบบนี้ !”
ใต้เท้าหลิวปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แม้จะเป็ผู้มีอำนาจก็ตาม เขาไม่เคยก้มหัวประจบสอพลอใคร ถึงอีกฝ่ายเป็ลูกหลานขุนนาง เขาก็ด่าไม่ยั้ง นี่จึงเป็เหตุผลที่ทำให้ฮองเฮาพอพระทัยจนแต่งตั้งเขาเป็เ้ากรมเมือง
เยี่ยนฟางหวาก้มหน้าเช็ดน้ำตา แต่มุมปากแสยะเกือบถึงใบหู
เยี่ยนเจาเจา มาดูกันว่าเ้าจะเอาอะไรสู้กับข้า!
“คุณหนูใหญ่จวนเยี่ยน ท่านโตขนาดนี้แล้ว ได้ยินมาว่าปีถัดไปก็จะเข้าสถานศึกษาขั้นสูง แต่ท่านยังไม่รู้ว่า ‘คำสอนของขงจื๊อไม่มีเื่ชีวิตหลังความตายและเื่เหนือธรรมชาติ’ อีกหรือ?
สตรีบอบบางและฮูหยินเฒ่าในจวนป่วยฉับพลันก็ควรไปเชิญท่านหมอไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาโหวกเหวกโวยวายจนที่นี่กลายเป็อะไรไม่รู้?
ดูสิ เรือนดีๆ ตกอยู่ในสภาพไหน!ข้าจะเข้าไปรายงานท่านโหวน้อยเยี่ยนต่อหน้าฝ่าา!”
เมื่อใต้เท้าหลิวมองไปยังพู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึกที่แตกกระจายทั่วเรือน รวมทั้งหนังสือเปื่อยยุ่ยบนพื้น ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเสียอกเสียดาย
รอยยิ้มเยี่ยนฟางหวายังไม่ทันแย้มบานก็แข็งค้าง นางแทบไม่กล้าเชื่อหูของตนเอง
อะไรนะ?
ความจริงเป็ตัวนางเองที่โดนด่า มิใช่เยี่ยนเจาเจาที่แอบอ้างบารมีพยัคฆ์หรือ?
เยี่ยนเจาเจามองสีหน้าเหลือเชื่อของพี่สาวแสนดีออกั้แ่ต้น นางเห็นความภาคภูมิใจบนใบหน้าของเยี่ยนฟางหวาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็แดงก่ำอย่างอับอาย น้ำตาจอมปลอมจึงมีของจริงไหลออกมาแทน
เยี่ยนเจาเจารู้จักใต้เท้าหลิวผู้นี้ดี มิเช่นนั้นคงไม่ให้เฝ่ยชุ่ยไปเชิญเขามาั้แ่เนิ่นๆ
ใต้เท้าหลิวเป็คนซื่อสัตย์สุจริต ตอนบากบั่นร่ำเรียน เขาได้แต่งงานกับแม่นางที่มีใจให้กันั้แ่เล็ก โดยมีนางเป็ภรรยาเพียงผู้เดียว ทั้งคู่รักใคร่กลมเกลียวกันมาก แต่กลับมีคนไร้ตา ยัดเยียดคณิกาเข้าเรือนหลังของเขา
โซ่วหม่า[2] คนนั้นประพฤติตัวไม่ดี เมื่อเรียกร้องความสนใจแล้วไม่ได้รับความโปรดปราน จึงแต่งตัวเป็ปีศาจมาหลอกบุตรชายคนเดียวของใต้เท้าหลิวจนป่วยหนักอยู่หลายวันกว่าจะหาย
ใต้เท้าหลิวเป็ปัญญาชน เขาไม่เคยเชื่อสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติเหล่านี้มาั้แ่ต้น เมื่อมีคนในเรือนเอามาแอบอ้างเพื่อทำร้ายบุตรของตนเอง จึงยิ่งจงเกลียดจงชังมันหนักกว่าเดิม
จะว่าไปก็ช่างบังเอิญนัก ที่ใต้เท้าหลิวมองนักพรตเหล่านี้โยนตำราและแบบฝึกคัดลายมือของหนานิเหอไปทั่วแล้วทนไม่ได้พอดี กอปรกับเมื่อครู่เยี่ยนฟางหวาพูดปาวๆ ว่าตนเองกลัวปีศาจรุกรานฮูหยินเฒ่า จึงเท่ากับไปแตะเกล็ดย้อนของใต้เท้าหลิวเข้าเต็มเปา ทำให้เขาโกรธสุดขีด
“บ่าว เรียกมือปราบข้างนอกเข้ามาจับโจรที่ก่อกวนจวนขององค์หญิง ข้าอยากเห็นนักว่าคนพวกนี้เป็สาวกลัทธิเต๋าจริงๆ หรือเป็นักต้มตุ๋นหลอกลวงคนกันแน่!”
ใต้เท้าหลิวโกรธจัด แบบฝึกคัดลายมือที่เปื่อยยุ่ยบนพื้นนั้นช่างงดงามอย่างยิ่ง เขาปวดใจจริงๆ สายตาที่มองเยี่ยนฟางหวาจึงแทบจะฉีกนางออกเป็ชิ้นๆ
เยี่ยนฟางหวารู้สึกละอายกับสายตาแผดเผาของใต้เท้าหลิวจนทนไม่ไหวปิดหน้าร้องไห้แล้ววิ่งเตลิดหนีไป ขณะที่เยี่ยนเจาเจามองแผ่นหลังของนางที่ห่างออกไปอย่างเฉยเมย ั์ตาแฝงประกายเ็า
เชิงอรรถ
[1] จิ้นซื่อชูเซิน หมายถึง กลุ่มบัณฑิตที่สอบผ่านการสอบหน้าพระที่นั่ง โดยมีคะแนนเป็อันดับสี่รองลงมาจากทั่นฮวา
[2] โซ่วหม่า หมายถึง เด็กสาวหน้าตาดีจากครอบครัวยากจนที่ถูกซื้อตัวมาเพื่อฝึกสอนการเดินหมาก เล่นฉิน ขับร้อง ร่ายรำ พอโตขึ้นจะถูกขายเป็อนุเศรษฐีหรือเข้าสำนักคณิกา