สำหรับฉินจินฮุยผู้นี้เขาไม่ได้แต่งขึ้นมาส่งเดช เขามีตัวตนอยู่จริง เพียงแต่ถูกคนรับใช้ในบ้านทำร้าย ระหว่างทางกลับบ้านเกิดเสียชีวิตอย่างอนาถครึ่งทาง เป็ิญญาอาฆาตตามติด ต่อมาบังเอิญได้พบกับฉิงชางจวิน โดยฉิงชางจวินถือโอกาสแก้แค้นให้กับเขา ดังนั้นจึงรู้สึกซาบซึ้งใจและมาเป็ผู้ใต้บังคับบัญชาของฉิงชางจวินในปรโลก ดังนั้น ณ ตอนนี้เจียงเฉิงเยว่จึงสวมรอยเป็เขา แม้ว่าพ่อค้าแซ่สวีผู้มั่งคั่งคนนี้จะให้คนไปตรวจสอบอย่างไรคงตรวจสอบสาเหตุไม่ได้
บิดาของอี่ซินกล่าว “หากคุณชายฉิงไม่รังเกียจ ไม่ลองตามสวีไปที่บ้านต่ำต้อยเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักสักสองสามวัน? หากบุญคุณที่ช่วยชีวิตไม่ได้ตอบแทน สวีคงยากที่จะเป็ตนเอง”
“นี่...” เจียงเฉิงเยว่รู้สึกลำบากใจขึ้นมา แต่เมื่อคิดอีกสักพัก หากภายหลังปรากฏสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ก็ค่อนข้างสะดวกที่จะใช้ตัวตนของคนรู้จักเพื่อปรากฏตัวข้างกายอิ๋งเอ๋อร์ เมื่อคิดถึงตรงนี้จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ท่านสวีกล่าวเกินไปแล้ว เช่นนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด...”
ด้วยเหตุนี้ ฉิงชางจวินจึงใช้ตัวตนของฉินจินฮุยเพื่อเหยียบย่างเท้าเข้าสู่ประตูใหญ่ของจวนสกุลสวี
เวลานั้น เจียงเฉิงเยว่รีบช่วยชีวิตคนภายใต้สถานการณ์คับขัน เขาได้ใช้รูปลักษณ์ที่แท้จริงของตนเองปรากฏต่อหน้าทุกคนในจวนสกุลสวี ตัวเขาเสียชีวิตเมื่อยังเด็ก ดังนั้นจึงดูเหมือนยังไม่ถึงวัยสวมมงกุฎในเวลานี้ จึงมีอายุไล่เลี่ยกับพี่ชายคนโตของสีวีอี่ซิน ทุกคนในสกุลสวีต่างก็เอ็นดูบุตรสาวคนเล็กผู้นี้ที่สุด เมื่อรู้ว่าเขาเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตน้องสาวของตนเอง พี่น้องของสวีอี่ซินจึงซาบซึ้งและขอบคุณเป็พันหมื่นครั้ง รวมกับเจียงเฉิงเยว่เคยอยู่ในตลาดมาก่อน ความกะล่อนปลิ้นปล้อนของเขามีทั้งการรุกและถอยอย่างเหมาะสม แน่นอนว่าเขาสามารถเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มที่ยังไม่ถึงวัยสวมมงกุฏที่แท้จริงได้อย่างง่ายดาย เพียงหลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาปะปนอยู่ในจวนสกุลสวีราวกับปลาได้น้ำ กลายเป็พี่น้องกับคุณชายไม่กี่คนของจวน
อี่ซินน้อยเย่อหยิ่งั้แ่เยาว์วัย หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าในวันนั้น บิดามารดาพานางไปคำนับขอบคุณเจียงเฉิงเยว่ในพระคุณที่ช่วยชีวิต แต่นางกลับซ่อนตัวอยู่ด้านหลังมารดาอย่างเขินอายเล็กน้อย ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ความน่ารักอ่อนช้อยที่หาได้ยากของคุณหนูใหญ่เอาแต่ใจผู้นี้ทำให้ทั้งครอบครัวแอ่นหน้าแอ่นหลังด้วยความสนุกสนาน เจียงเฉิงเยว่เองอดส่ายศีรษะไม่ได้ด้วยรอยยิ้ม
ใน่ไม่กี่วันที่พักอยู่ในจวนสกุลสวี เจียงเฉิงเยว่เคยถามฉินจินฮุยตัวจริงแล้ว จึงหาเวลาว่างไปเยี่ยมบ้านบรรพบุรุษของจวนสกุลฉิน ซื้อทาสรับใช้ไว้สองสามคน ทั้งให้คนบูรณะมันเสียหน่อย สกุลสวีร้องขอการจ่ายค่าใช้จ่ายให้ตนเอง แต่ฉิงชางจวินซึ่งเป็สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลกผู้นี้จะขาดเงินทองเหล่านี้ได้อย่างไร เขายิ้มแล้วหยิบตั๋วเงินสองสามใบซึ่งมีมูลค่าร้อยถึงสองร้อยตำลึงทองขึ้นมา กล่าวเพียงว่าเป็ทรัพย์สินของบรรพบุรุษ ทำให้ทุกคนในสกุลสวีหุบปาก พลันมีความเคารพต่อ ‘คุณชายฉิน’ ผู้นี้มากขึ้น
แน่นอนว่าฉินจินฮุยตัวจริงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเช่นกัน บิดาและพี่ชายของเขาย้ายไปที่โหย่วโจวเพื่อเข้ารับตำแหน่งใน่ปีแรกๆ บิดาของเขาเป็รองรัฐมนตรี นับว่าเป็ขุนนางชั้นผู้น้อยด้วยเช่นกัน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงมากยิ่งขึ้น เจียงเฉิงเยว่สร้างตัวตนของผู้ฝึกฝนธรรมดาให้ตนเอง เพื่อสะดวกต่อคุณชายฉินผู้นี้ที่สามารถ ‘ท่องโลก’ ได้ทุกเวลา ปรากฏหรือหายไปเป็ครั้งคราวได้อย่างสมเหตุสมผล
ฉะนั้น ตัวตนปลอมนี้ของฉินจินฮุย ทำให้เจียงเฉิงเยว่ไปเยี่ยมอิ๋งเอ๋อร์ด้วยฐานะคนรู้จักอย่างเปิดเผยในเวลาว่างเป็ครั้งคราวได้
เด็กหญิงยิ่งเติบโตขึ้นกลับมีน้ำมีนวล บิดามารดาของนางร่ำรวยที่สุดในเขตนี้ และค่อนข้างมีชื่อเสียงในท้องถิ่น โดยปกติแล้วจะไม่ละเลยการศึกษาของบุตร สวีอี่ซินนั้นฉลาดหลักแหลมั้แ่ยังเด็ก เมื่ออายุสิบเอ็ดก็เชี่ยวชาญในศาสตร์ทั้งสี่อย่างพิณ หมากล้อม ตำราและวาดภาพ แม้ว่ารูปลักษณ์ยังเติบโตไม่เต็มที่ แต่กลับสามารถมองเห็นความงามไร้ที่ติในอนาคตได้หลายส่วน ก่อนที่ชื่อเสียงอันงดงามของคุณหนูรองแห่งจวนสกุลสวีจะค่อยๆ เป็ที่รู้จักของทุกคนในท้องถิ่น
เคล็ดวิชาที่เจียงเฉิงเยว่ร่ายบนตัวของนางถูกกระตุ้นเป็ครั้งที่สอง หลังจากมีประสบการณ์ก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่ง เจียงเฉิงเยว่จึงหลีกเลี่ยงความล่าช้า ่เวลาที่เกือบจะรู้ว่านั่นคืออะไร เขายกมือขึ้นใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา
เพียงครู่เดียวเขาเห็นร่างที่ตกลงมาอย่างรวดเร็วในทิศทางของสัญญาณเตือน
เขาต้องใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาครั้งแล้วครั้งเล่าจึงจะมาถึง จากนั้นคว้าเข็มขัดของเด็กสาวไว้ได้ทันเวลาแล้วยกนางขึ้นกลางอากาศ
เด็กสาวใจนหน้าซีด ฉิงชางจวิน าาผีผู้หนึ่งซึ่งไร้ลมหายใจตกตะลึงจนต้องหายใจเข้าเฮือกใหญ่
เขาวางเด็กสาวลง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองระเบียงที่สูงเกือบสิบจั้ง โดยรอบไม่มีเสียงผู้ใด เขาหันไปมองสวีอี่ซินแล้วอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “เ้าปีนขึ้นไปสูงเช่นนั้นเพื่ออะไร คนรับใช้ของเ้าเล่า มีเพียงเ้าคนเดียวหรือ?”
สวีอี่ซินเบิกตากว้างมองเขา เป็เวลานานจึงพูดด้วยความใอย่างไม่เชื่อถือ “ฉิน...พี่ฉิน?!”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที
ดูแลอย่างโจ่งแจ้งโดยใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา ทั้งยังลืมที่จะล่องหน! จะอธิบายเื่นี้อย่างไร? นี่ไม่ถูกต้อง...สถานการณ์เมื่อครู่สายเกินไปที่จะล่องหนเสียแล้ว!
“เอ่อ...” ศีรษะของเจียงเฉิงเยว่เต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ไม่รู้ว่าควรยอบรับดีหรือไม่ เขาคิดในใจอย่างเงียบงันว่าอย่าได้ถามเป็อันขาดว่าทำไมตนถึงมาอยู่ที่นี่ได้! เขาไม่รู้จะตอบอย่างไรจริงเชียว
“พี่ฉิน...ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
เจียงเฉิงเยว่หลับตาลงแล้วกัดฟัน จากนั้นหันศีรษะมองนางด้วยความยากลำบาก ลอบยิ้มด้วยความลำบากใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
สวีอี่ซินยังไม่ทันได้ถามอีก ด้านนอกพลันมีเสียงคนดังแว่วมา “เมื่อครู่เสียงอะไรน่ะ?”
“มีเสียงอุทานใช่หรือไม่ ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม?”
“อืม...ข้าก็ได้ยินเหมือนกัน”
“ไปกันเถอะ ไปดูสักหน่อย”
เจียงเฉิงเยว่ใ เขารีบกำชับสวีอี่ซิน “ต่อไปนี้ไม่อนุญาตให้ปีนขึ้นลงในที่สูง เข้าใจหรือไม่?” กล่าวจบร่างเตรียมที่จะหลบหนี เมื่อครู่ยามที่บินมาด้วยเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาสองครั้ง คิดว่าสวีอี่ซินคงไม่ทันที่จะมองอย่างละเอียด แต่ยามนี้อยู่ตรงหน้านาง เขากลับไม่กล้าใช้เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาอีก ไม่กล้าทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อหน้านาง
เขายังไม่ทันหลบหนีไปได้ กลับถูกดึงแขนเสื้อไว้แน่น
หลังจากเจียงเฉิงเยว่หันกลับไป เขาเห็นว่าในดวงตาของสาวน้อยคนนั้นเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น มองเขาอย่างมีชีวิตชีวาแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ารู้แล้ว พี่ฉิน! ท่านคือเทพคุ้มครองของข้าใช่หรือไม่?!”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง
สวีอี่ซินเอ่ยต่อ “บิดามารดาของข้าเคยบอกข้าว่าตอนที่ข้ายังเด็ก ตกลงไปในแม่น้ำจนเกือบจมน้ำตาย ก็เป็ท่านที่มาจากไหนไม่รู้ช่วยข้าไว้เช่นกัน”
เจียงเฉิงเยว่ “ข้า...” เขาเหลือบเห็นใครบางคนผ่านมุมประตูจากหางตา หลังจากหันมองในห้องส่วนตัวอีกครั้ง เขาที่เป็ชายหนุ่มอยู่ตามลำพังกับเด็กสาวช่างดูไม่เข้าท่านัก จึงรีบบอกกับนาง “ข้าไปแล้ว เ้าระวังตัวด้วย!” ขณะที่พูดเขาไม่สนใจสิ่งอื่นใด เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาหายไปทันทีอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากนั้น เดิมทีเจียงเฉิงเยว่้าไปจวนสกุลสวีเพื่อเยี่ยมนางอีกครั้งพร้อมอธิบายให้ฟังในนามของฉินจินฮุย แต่คิดไปคิดมาแล้วเขาไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร จึงทำได้เพียงยืดเวลา ยังไม่ทันที่จะคิดกลอุบายดีๆ ออกมาอธิบายได้ ไม่เกินครึ่งเดือนหลังจากนั้น สัญญาณเตือนบนร่างของสวีอี่ซินกลับถูกกระตุ้นอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ เจียงเฉิงเยว่จึงต้องไปช่วยเหลือนางจากที่สูง ซึ่งเกือบจะเหมือนกับครั้งก่อนทุกประการ
ภายหลังเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากวางสวีอี่ซินลง เขาจึงมีเวลามองไปโดยรอบ เมื่อมองดูแล้ว ฉิงชางจวินโกรธจนเกือบจะะโด่าใส่เด็กสาวอายุสิบเอ็ดปีตรงหน้า
สถานการณ์เดียวกัน ความอันตรายเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันเพียงอย่างเดียวเปลี่ยนจากยามกลางวันเป็กลางคืน ขณะนี้บริเวณโดยรอบเงียบเชียบไร้เสียง สวีอี่ซินมองเขาด้วยแววตาเป็ประกายอย่างตื่นเต้นและสนุกสนาน
เจียงเฉิงเยว่พลันตอบสนอง ครั้งนี้นางทำโดยเจตนา!
“เ้า!” ฉิงชางจวินสะบัดแขนเสื้อ “เ้าทำเช่นนี้แล้วสนุกหรือ?!”
สวีอี่ซินพูดอย่างตื่นเต้น “พี่ฉิน! ท่านคือเทพคุ้มครองของข้าจริงหรือ!”
ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่หมองคล้ำยามถูกนางทำให้โกรธจนกระอักเื! หากคนตรงหน้าไม่ใช่สตรี เขาคงได้ตบหน้าอีกฝ่ายไปแล้วจริงเชียว! เขายังคงอดกลั้นแล้วเอ่ยกับนางด้วยใบหน้าเ็า “หากครั้งต่อไปยังนำชีวิตของตัวเองมาเล่นสนุกเช่นนี้อีก เช่นนั้นต่อไปเ้าจะตายหรืออยู่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า! พลังิญญากับเวลาของข้าจะไม่สิ้นเปลืองไปกับคนที่ไม่้ามีชีวิตอยู่อีกเด็ดขาด!”
สวีอี่ซินตกตะลึง แล้วจึงรับรู้ความร้ายแรงของปัญหา นางเก็บรอยยิ้มแล้วมองเขาอย่างน่าสงสาร “พี่ฉิน...”
เจียงเฉิงเยว่ยังไม่หายโกรธ เขาหมุนตัวสะบัดแขนเสื้อจากไปโดยไม่มองนาง
สวีอี่ซินร้อนใจโดยพลัน นางรีบยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อของเขาไว้แน่น น้ำเสียงสั่นเครือจากการร้องไห้ “พี่ฉิน ข้าขอโทษ! ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ! ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว ต่อไปข้าไม่ทำอีกแล้ว! พี่ฉิน ท่านอย่าโกรธ...”
ทันใดนั้น เจียงเฉิงเยว่สะบัดแขนเสื้อออกจากมือของนาง กำลังเตรียมจะจากไปกลับถูกโอบที่เอวไว้แน่น เด็กสาวที่สูงไม่ถึงไหล่ของเขาเริ่มมีััร้อนชื้นที่ด้านหลัง สวีอี่ซินร้องไห้อย่างเศร้าโศก “พี่ฉิน ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว! ท่านอย่าเพิกเฉยต่อข้า อย่า อย่า...พี่ฉินอย่าโกรธข้าเลย”
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจเล็กน้อย ยื่นมือไปแยกมือของนางออกจากเอว แต่ใครจะคิดว่าเด็กสาวจะยิ่งกอดเขาแน่นขึ้น ภายใต้การดิ้นรนกลับสลัดออกไม่หลุด
“พี่ฉิน ฮือ ฮือ...พี่ฉิน...ข้าผิดไปแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่ปล่อยให้นางกอดและร้องไห้อยู่สักพัก เสื้อผ้าด้านหลังของเขาเกือบจะเปียกโชกไปด้วยน้ำตา จึงตระหนักได้ว่าเช่นนี้ไม่ได้การแล้ว หลังจากนั้น เขาออกแรงดิ้นรนจนหลุดพ้นจากมือของนาง ใบหน้าของสวีอี่ซินเต็มไปด้วยความหวาดผวาและซีดเซียว สุดท้ายแล้วเจียงเฉิงเยว่ทนไม่ไหวจึงไม่จากไป เพียงมองนางด้วยใบหน้าเ็าต่อไป
เด็กน้อยคนนี้เฉลียวฉลาด เริ่มเข้าใจขึ้นมา นางรีบสะอื้นไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน[1] “พี่ฉิน...ท่านอย่าไม่สนใจข้า ข้า...ต่อไปข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว! ครั้งที่แล้ว...ข้าตกลงมาด้วยความไม่ระวังจริง ข้า...ข้าอยากเจอท่าน แต่ท่านไม่มาเจอข้าหลายปีแล้ว ครั้งที่แล้วพอท่านมาครู่หนึ่งก็จากไป ข้า ข้า้าถามให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่ทัน ดังนั้น...ดังนั้นข้าจึง...ข้าขอโทษ! ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว!”
อารมณ์คุกรุ่นของเจียงเฉิงเยว่เกิดขึ้นและจางหายไปอย่างรวดเร็ว ณ ตอนนี้เมื่อเห็นอี่ซินน้อยร้องไห้อย่างเศร้าโศก จึงลองคิดดูอีกทีว่าตนเองใช่ว่าไม่มีความผิดสักหน่อย สีหน้าเขายังคงเ็า แต่กลับดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้นาง เอ่ยต่อไปอย่างแข็งกระด้าง “เช็ดน้ำตาเสีย!”
อี่ซินน้อยรับมาอย่างเชื่อฟัง เช็ดน้ำตาตามที่เขาสั่ง ทั้งสองคนเงียบไปเป็เวลานาน นอกจากเสียงสะอึกสะอื้นของอี่ซินน้อยแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก เมื่อยืนเงียบอยู่เป็เวลานาน เจียงเฉิงเยว่เอ่ยขึ้น “พี่ฉินของเ้าไม่สามารถรับเ้าได้ทุกครั้ง และไม่อาจมาถึงทันเวลาได้ทุกครั้ง หากเมื่อครู่ช้าไปเพียงชั่วขณะ ชีวิตน้อยๆ นี้ของเ้าคงได้พบยมราชแล้ว เ้าเข้าใจหรือไม่?”
อี่ซินน้อยไม่พูดไม่จา นำผ้าเช็ดใบหน้าแล้วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
หลังเจียงเฉิงเยว่เห็นว่านางยังสะอึกสะอื้นอยู่ก็ถอนหายใจมองไปรอบๆ แล้วถาม “ครั้งนี้เ้าจงใจสลัดทุกคนออกไปหรือ?”
อี่ซินตัวน้อยพยักหน้า “อืม ข้า...ข้ารู้ว่าพี่ฉินไม่้าเห็นพวกเขา” เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ กำลังจะเอ่ย แต่สิ่งที่เด็กสาวพูดกลับทำให้เขาตะลึงจนอ้าปากค้าง “พี่ฉิน...ท่านไม่ใช่มนุษย์ใช่หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
เด็กสาวมองมาที่เขา ท่าทางกลับเฉยเมยแล้วพูดต่อ “เมื่อครู่ข้ากอดท่าน แนบที่หลังของท่านอยู่นาน ข้า...ไม่ได้ยินเสียงหัวใจกับลมหายใจของท่าน”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
หลังเอ่ยจบ ทั้งสองคนนิ่งเงียบเป็เวลานาน
เจียงเฉิงเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามหยั่งเชิง “เ้า...ไม่กลัวหรือ?”
------------------------
[1] ดอกสาลี่ต้องหยาดฝน เป็สำนวน หมายถึง ผู้หญิงที่ร้องไห้ได้อย่างงดงาม
