อีกสองวันผ่านไป เย่เฟิงฝึกฝนคัมภีร์หล่อกายาเทพาขั้นที่ 1 เสร็จสมบูรณ์ ร่างกายของเขาจึงเปลี่ยนไปจนแกร่งขึ้น กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาทำร้ายเขาไม่ได้ ต่อให้ใช้อาวุธก็ตาม นั่นหมายความว่าพลังของเย่เฟิงในตอนนี้ก้าวข้ามขั้นบ่มเพาะกายาไปแล้ว ไม่มีใครเป็คู่ต่อสู้ของเขาได้
ภายในห้อง พลังหยวนมารวมตัวที่ร่างเย่เฟิงพลางส่องแสงระยิบระยับ พร้อมพลังหยวนในร่างไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณ บำรุงเส้นเืและขัดเกลาร่างกายของเขา
“ตอนนี้ข้าอยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 พลังหยวนภายในกายอยู่ในจุดอิ่มตัว ถึงเวลาทะลวงระดับการบ่มเพาะแล้ว” เย่เฟิงคิดในใจ พลันแสงกะพริบ ก่อนจะปรากฏผลไม้ที่มีกลิ่นหอมในมือของเขา นั่นก็คือผลเทียนเสวียน จากนั้นเย่เฟิงกินผลเทียนเสวียนอย่างไม่เกรงใจ
เมื่อเนื้อผลไม้เข้าปาก รสชาติแสนหอมหวานก็ได้ทำให้เย่เฟิงเคลิบเคลิ้ม มันตกลงสู่กระเพาะอาหาร ฤทธิ์ยาก็แผ่ซ่านไปทั่วท้องของเย่เฟิงในทันที ก่อนจะไหลเวียนไปทั่วกาย ทำให้เย่เฟิงรู้สึกอึดอัด เขาจึงรีบดูดซับฤทธิ์ยาที่ทรงพลังเ่าั้อย่างรวดเร็ว พลังหยวนที่กักเก็บในจุดตันเถียนและจุดชี่ไห่ก็ดูดซับฤทธิ์ยาเช่นกัน
จากนั้นมีหยวนชี่ฟ้าดินสีขาวหลั่งไหลสู่ร่างกายของเย่เฟิงอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะกลายเป็พลังหยวนมหาศาลและหลอมรวมเข้ากับฤทธิ์ยาเ่าั้ พร้อมกับมีหมอกปกคลุมร่างเย่เฟิงหนึ่งชั้น ทำให้ห้องของเขาราวกับหม้อนึ่งก็ไม่ปาน ทั้งยังมีกลิ่นยาจากผลเทียนเสวียนแผ่ออกมา
หลายชั่วยามต่อมา ทุกอย่างภายในห้องสงบนิ่ง เย่เฟิงค่อย ๆ เก็บพลัง ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาคู่นั้นดูล้ำลึกขึ้น กลิ่นอายเปลี่ยนไป ดูไม่ธรรมดา
“ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ต่อให้ตอนนี้ข้าเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ก็สู้ได้แล้ว” เย่เฟิงพึมพำพลางยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ การที่สามารถทะลวงระดับการบ่มเพาะใน่เรียนรู้ทักษะเคล็ดวิชาสองประเภทได้ นับว่าไม่เลว หลังจากนั้นเย่เฟิงเดินออกไปข้างนอก ดูเหมือนใกล้เวลาที่เขาต้องคืนคัมภีร์ทักษะที่ยืมมาแล้ว เขาจึงมุ่งหน้าไปยังหอวิชาเพื่อคืนมัน
ไม่นานนักเย่เฟิงมาถึงจัตุรัสที่หอวิชาตั้งอยู่ ซึ่งเหมือนเช่นเคย มีผู้คนสัญจรไปมาจำนวนมาก ระหว่างทางก็มีคนจำเย่เฟิงได้ไม่น้อย ทั้งยังมองเขาด้วยสายตาหวาดผวา ผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 4 ในรายนามขั้นบ่มเพาะกายาแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียน มีสิทธิ์ที่จะทำให้ผู้อื่นเกรงกลัว ยิ่งกว่านั้นเย่เฟิงในเวลานี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสำนักยุทธ์เทียนเสวียน วีรกรรมที่เขาก่อไว้ยังแพร่สะพัดไปทั่วสำนัก ทำให้เป็ที่รู้จักของใครหลาย ๆ คน ศิษย์ใหม่เพิ่งเข้าสำนักไม่ถึงสามเดือน แต่กลับสร้างชื่อเสียงและฐานะได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งในอดีตไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ซึ่งต่อไปไม่มีใครที่จะเหมือนเขาแน่นอน
“สวะอย่างเ้ามาทำอะไรที่นี่อีก คัมภีร์หล่อกายาเทพาเล่มนั้นไม่นึกว่าเ้าจะรอดมาได้ ช่างดวงแข็งเสียจริง!” เย่เฟิงเพิ่งเข้ามาในหอวิชาก็มีสามเงาร่างมาขวางทางเขาทันทีและมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน หนึ่งในนั้นคือจางิที่เคยดูถูกเย่เฟิงในหอวิชาก่อนหน้านี้ ส่วนอีกสองคนน่าจะเป็สหายของจางิ ล้วนแต่เป็ผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายา
“เ้าอีกแล้วหรือ?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น เขาและจางิไม่มีความบาดหมางต่อกัน แต่อีกฝ่ายกลับยั่วยุเขาไม่เลิก
“หมาดีจะไม่ขวางทาง1 ประโยคนี้เ้าคงเข้าใจนะ ไสหัวไปซะ!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นโดยไม่คำนึงถึงฐานะของอีกฝ่ายที่เป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ ทำให้ผู้คนแถวนั้นหันมามองทางด้านนี้ไม่น้อย
“นั่นจางินี่ เขากำลังมีเื่กับเย่เฟิงอันดับที่ 4 ในรายนามขั้นบ่มเพาะกายา” พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนต่างตาเป็ประกาย พวกเขารู้ว่าจางิคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ และมีพลังที่ร้ายกาจเป็อย่างมาก แต่ตอนนี้จางิกำลังมีเื่กับเย่เฟิงที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายา เย่เฟิงอาจจะเป็ฝ่ายเสียเปรียบ ถึงอย่างไรระดับการบ่มเพาะของทั้งสองก็ห่างชั้นกันมาก
“เ้าว่าอะไรนะ หรือเ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว?” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ จางิขึ้นเสียงใส่เย่เฟิง
“ก็แค่สุนัขรับใช้ มีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้า ไปให้พ้น!” ดวงตาของเย่เฟิงส่องประกายคมกริบ ทำให้อีกฝ่ายอดผงะถอยหลังไม่ได้ แต่ตอนที่ชายหนุ่มคนนั้นถอยหลัง กลับรู้สึกว่ามีสายลมพุ่งมาหาเขาด้วยความรวดเร็ว เขาอยากหลบ แต่กลับไม่ทันการณ์
“เพียะ!” เสียงดังกึกก้อง เย่เฟิงตบหน้าชายผู้นั้นอย่างแรง ทำให้ชายผู้นั้นถึงกับร้องโอดครวญและร่างกระเด็นปลิวออกไป เืต้องไหลออกจากปากและไม่รู้ว่ามีฟันกี่ซี่ที่หลุดออกมา
“นี่...” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ตกตะลึง เย่เฟิงผู้นี้ไร้ความเกรงกลัวใด ๆ อย่างที่คนเขาลือกันจริง ๆ พูดจาไม่เข้าหูก็ลงมือทันที หนำซ้ำคนที่เขาทำร้ายยังเป็ลูกน้องของจางิ
“เ้าทำร้ายเขา เ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ!” สีหน้าของจางิอึมครึมอย่างฉับพลัน จากนั้นเขาอัดพลังหยวนใส่ฝ่ามือ ก่อนจะปล่อยพลังฝ่ามือโจมตีเย่เฟิงพร้อมด้วยสายลมพัดโหม แต่เย่เฟิงกลับมีสีหน้าเรียบเฉย เขาก้าวออกมาพร้อมปล่อยหมัดออกไป เพียงแค่พลังกายอย่างเดียวก็มีพลังมหาศาลแล้ว ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น คลื่นทำลายล้างแพร่กระจาย เย่เฟิงยืนนิ่งดุจหินผา แต่จางิถูกคลื่นกระแทกจนร่างกระเด็นปลิวไปกองกับพื้นพร้อมกระอักเืและสีหน้าต้องขาวซีด
“ทำไมเ้าแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้ ไม่มีทางเป็ไปได้” จางิยังคงไม่เชื่อว่านี่เป็ความจริง แต่สีหน้ากลับตื่นใและตัวสั่นเทาไม่หยุด เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ แต่กลับถูกเย่เฟิงที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาทำร้าย แล้วจะไม่ทำให้เขาใได้อย่างไร
ผู้คนต่างต้องตาเบิกโพลงขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า พลางรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริง ในสายตาของพวกเขา ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่คือผู้สูงส่ง เป็การดำรงอยู่ที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายามิอาจเอาชนะได้ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้ทำลายความคิดเ่าั้ของพวกเขาไปทั้งหมด
เย่เฟิงเพิ่งเข้าสำนักไม่ถึงสามเดือน แต่กลับสร้างวีรกรรมที่น่าใไม่หยุดหย่อน วันนี้ที่หอวิชาเขาปะทะกับจางิ แต่ผลสุดท้ายคือเย่เฟิงเอาชนะจางิผู้อยู่ขั้นรวมชี่ พลังเช่นนี้น่ากลัวกว่าที่ได้ยินมาเสียอีก
“นี่น่ะหรือความภาคภูมิใจที่เ้าชอบโอ้อวด?” เย่เฟิงกล่าวพลางเอาสองมือไพล่หลัง ดวงตาคมกริบจ้องมองจางิด้วยความดูแคลน
ก่อนหน้านี้เย่เฟิงอยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 ก็สามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 1 ได้ บัดนี้เขาทะลวงขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 แล้ว ทั้งยังฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพาขั้นที่ 1 สำเร็จ พลังของเขาจึงก้าวหน้าไปมากโข กระทั่งก้าวข้ามจางิ แล้วจางิจะใช่คู่ต่อสู้ของเย่เฟิงได้อย่างไร
“เ้าอยู่ขั้นรวมชี่ แต่เ้ามักจะดูถูกข้าว่าเป็เศษสวะ ตอนนี้เ้ากลับรับการโจมตีของข้าไม่ได้ แล้วยังกล้ามีหน้าอยู่ที่นี่อีกหรือ ไสหัวไปซะ!” เย่เฟิงขึ้นเสียงใส่จางิ จากนั้นเขาเดินไปข้างในหอวิชาโดยไม่สนใจพวกจางิ
“สวะ เ้าล่วงเกินข้า เ้าได้เจอดีแน่!” จางิกล่าวเสียงเบา พี่ใหญ่ของเขาก็อยู่ที่สำนักยุทธ์นี้เช่นกัน ทั้งยังเป็ผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 4 ในรายนามขั้นรวมชี่ ย่อมจัดการเย่เฟิงได้อย่างง่ายดาย ทุกคนเห็นเย่เฟิงออกไปก็แยกย้ายกัน ซึ่งพวกเขารู้จักจางเฮ่าพี่ใหญ่ของจางิ จึงอดเป็กังวลแทนเย่เฟิงไม่ได้
“มาแล้วหรือ” ภายในหอวิชา เมื่อเฒ่าจิงรับรู้ว่าเย่เฟิงมาแล้ว ดวงตาของเขาก็พลันเปิดกว้าง
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า และกล่าวว่า “ใกล้ครบกำหนดแล้ว ข้าจึงมาคืนคัมภีร์”
จากนั้นเย่เฟิงส่งทักษะหอกปลิดชีวีและคัมภีร์หล่อกายาเทพาคืนให้เฒ่าจิง เขานั้นจดจำเนื้อหาของสองทักษะนี้แล้ว จะมีหรือไม่มีก็เหมือน ๆ กัน
“ฝึกเป็อย่างไรบ้าง?” เฒ่าจิงเอ่ยถาม พลางคิดในใจว่าเย่เฟิงไม่น่าจะฝึกสองทักษะนี้ได้
“ฝึกทักษะหอกปลิดชีวีถึงกระบวนที่สอง ส่วนคัมภีร์หล่อกายาเทพาก็ฝึกขั้นที่ 1 ได้เสถียรแล้ว” เย่เฟิงกล่าวด้วยท่าทีนิ่งเฉย แต่เฒ่าจิงได้ยินเช่นนั้นกลับใและไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ข้าอาจจะฟังผิด เ้าพูดอีกรอบซิ” เสียงของเฒ่าจิงผันผวนเล็กน้อยขณะขอให้เย่เฟิงพูดอีกครั้ง
“ฝึกทักษะหอกปลิดชีวีถึงกระบวนที่สอง ส่วนคัมภีร์หล่อกายาเทพาก็ฝึกขั้นที่ 1 ได้เสถียรแล้ว” เย่เฟิงพูดอีกครั้งและไม่รู้ว่าทำไมเฒ่าจิงถึงแสดงท่าทีเช่นนี้
“ฝึกสองทักษะในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน ฝึกทักษะหอกปลิดชีวีไปถึงกระบวนที่สอง ส่วนคัมภีร์หล่อกายาเทพาก็ฝึกถึงขั้นที่ 1 ความเร็วเช่นนี้ สัตว์ประหลาดชัด ๆ!” เฒ่าจิงคิดในใจ เขาไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบายเย่เฟิง จึงทำได้เพียงเรียกเย่เฟิงว่าสัตว์ประหลาด เขาดูแลหอวิชามาหลายสิบปี ยังไม่เคยได้ยินว่ามีศิษย์คนไหนฝึกสองทักษะเคล็ดวิชาที่มีระดับยากในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้ ซึ่งเย่เฟิงเป็คนแรก ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ เย่เฟิงอยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 เท่านั้น มีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำต้อย แต่กลับมากพร์
“ที่เ้าพูดมาเป็ความจริงหรือ?” เฒ่าจิงเอ่ยถามด้วยเสียงสั่น
“ไยผู้เยาว์ต้องโกหกเล่า” เย่เฟิงกล่าวพลางยักไหล่
“ไหน แสดงทักษะหอกปลิดชีวีให้ข้าดูหน่อย” เฒ่าจิงกล่าวโดยที่ยังคงไม่เชื่อ
เย่เฟิงพยักหน้า เมื่อมองไปรอบ ๆ แล้วไม่เห็นใคร จากนั้นเขาก็เริ่มสำแดงจากกระบวนที่หนึ่งของทักษะหอกปลิดชีวี จนถึงคัมภีร์หล่อกายาเทพา เพื่อให้เฒ่าจิงดู
“สำเร็จจริง ๆ ด้วย!” เฒ่าจิงตาทอประกายด้วยความตื่นเต้น เขามองเย่เฟิงด้วยสายตาลุกโชนพร้อมพูดต่อไปว่า “ไว้ระดับการบ่มเพาะของเ้าถึงขั้นรวมชี่ ข้าจะให้เ้าเข้าถึงชั้นสามของหอวิชา”
เย่เฟิงตาเป็ประกาย ชั้นสามของหอวิชา ที่นั่นมีเพียงผู้าุโสำนักยุทธ์จึงจะเข้าถึงได้ แต่เฒ่าจิงบอกว่าถ้าหากเขาบรรลุขั้นรวมชี่จะให้เขาเข้าถึงชั้นสาม สำหรับเย่เฟิงแล้ว ถือว่าเป็พระคุณอย่างมาก
“เช่นนั้นขอบคุณผู้าุโมาก ผู้เยาว์จะหมั่นฝึกฝนเพื่อยกระดับการบ่มเพาะ” เย่เฟิงกล่าวขอบคุณพร้อมโค้งคำนับเฒ่าจิง
-----------------------------------------------------
[1] หมาดีจะไม่ขวางทาง หมายถึง คนดีจะไม่กีดกันหรือกีดขวางสิ่งที่ผู้อื่นจะทำเหมือนสุนัข ถ้าหากมีคนจะเดินผ่าน หากเป็สุนัขที่ดีก็ต้องหลีกทางให้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้